ชุดตรวจการ ตั้งครรภ์ จะใช้หลังมีเพศสัมพันธ์กี่วัน ถึงจะทราบผล?


2,038 ผู้ชม

เมื่อมีการตกไข่ ไข่จะมีอายุให้เชื้ออสุจิมาปฏิสนธิได้เพียง 1 วันเท่านั้น เมื่อปฎิสนธิแล้วจะแบ่งตัวและเดินทางมาที่โพรงมดลูก ฝังตัวเข้ากับเยื่อบุโพรงมดลูกในวันที่ 7 หลังการปฏิสนธิ เมื่อตัวอ่อนฝังตัว เราถือว่าเริ่มตั้งครรภ์



คำถามที่หลายคนสงสัย อยากรู้เกี่ยวกับการตรวจว่าท้องหรือไม่
เมื่อไรจึงจะเหมาะในการตรวจการตั้งครรภ์

เมื่อมีการตกไข่ ไข่จะมีอายุให้เชื้ออสุจิมาปฏิสนธิได้เพียง 1 วันเท่านั้น เมื่อปฎิสนธิแล้วจะแบ่งตัวและเดินทางมาที่โพรงมดลูก ฝังตัวเข้ากับเยื่อบุโพรงมดลูกในวันที่ 7 หลังการปฏิสนธิ เมื่อตัวอ่อนฝังตัว เราถือว่าเริ่มตั้งครรภ์ ตัวอ่อนจะเริ่มสร้างฮอร์โมน Beta HCG เพื่อกระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เยื่อบุมดลูกสมบูรณ์มากขึ้น
ตรวจการตั้งครรภ์ได้เมื่อไร?
 
Beta HCG ถูกสร้างขึ้นมาจะเข้าไปในกระแสเลือด จะมีความเข้มข้นมากขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น และจะขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ
เราใช้ฮอร์โมน Beta HCG ในการตรวจภาวะการตั้งครรภ์โดยการเจาะเลือด ตั้งแต่วันที่ 9-10 หลังจากปฏิสนธิ และตรวจโดยการใช้ชุดตรวจปัสสาวะ ตั้งแต่วันที่ 15 เป็นต้นไป หลังจากวันดังกล่าว ความชัดเจนจะยิ่งมีมากขึ้น
ตรวจตั้งครรภ์
ถ้าเราทราบ วันตกไข่ หรือวันปฏิสนธิเราก็จะรู้ว่าควรจะ ตั้งครรภ์ ได้เมื่อไรในกรณีที่ไม่ ทราบวันตกไข่ ทราบแต่วันมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย ก็พอจะประยุกต์ใช้ได้คือ เมื่อมีเพศสัมพันธ์และเชื้ออสุจิเข้าไปที่ปากมดลูก มันอาจจะมีชีวิตรอการปฎิสนธิได้ นานที่สุด 5 วัน หมายความว่า ถ้าไข่ตกภายใน 5 วัน หลังการมีเพศสัมพันธ์ ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ถ้าเกินนั้นไม่ควรจะมีการตั้งครรภ์
ดังนั้น ถ้ามีการตั้งครรภ์ ผลตรวจเลือดควรเป็นบวกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย 15 วัน หรือตรวจปัสสาวะเป็นบวก หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย 20 วันขึ้นไป ถ้าตรวจแล้วเป็นลบก็แปลว่าไม่ตั้งครรภ์
ตัวอย่างเช่น ไม่ทราบวันตกไข่ มีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย 1 มกราคม ไข่ที่ตกวันที่ 1-5 มกราคม มีโอกาสได้รับปฏิสนธิ ไข่ที่ตกวันที่ 6 มกราคม หรือหลังจากนั้นไม่ควรได้รับการปฏิสนธิ ดังนั้น ถ้าตรวจเลือดวันที่ 15 มกราคม หรือ ตรวจปัสสาวะวันที่ 20 มกราคม ก็จะบอกได้เลยว่าตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์
โดยสรุปก็คือ การตรวจปัสสาวะเพื่อการทดสอบด้วยตนเอง เป็นเพียงการทดสอบเบื้องต้นที่จะบอกว่าตนเองน่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ ถ้าได้ผลบวก แต่อาการของเราไม่ตรงกับอาการที่น่าจะท้อง หรือตรงกันก็ตาม แต่ผลตรวจแตกต่างออกไปก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ที่ใช้วิธีตรวจที่แม่นยำมากขึ้น เช่นการตรวจเลือดหาระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ หรือการทำ อัลตราซาวนด์ เป็นต้น
ที่มา                 health.campus-star.com

อัพเดทล่าสุด