รู้แล้วรีบแชร์....เสาวรส สามารถระงับโรคมะเร็งขั้นต้นได้ แต่กินแบบไหนถึงจะดี ต้องอ่าน...!!!


1,812 ผู้ชม

เสาวรส เป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์ทั้งรส และกลิ่น หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบ แต่หารู้ไม่ว่า ผลไม้ชนิดนี้มีประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร และยังมีสรรพคุณทางยาสูงอีกด้วย ว่ากันว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งบางชนิดได้ จริงหรือไม่ ต้องติดตาม


เสาวรส เป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์ทั้งรส และกลิ่น หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบ แต่หารู้ไม่ว่า ผลไม้ชนิดนี้มีประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร และยังมีสรรพคุณทางยาสูงอีกด้วย ว่ากันว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งบางชนิดได้ จริงหรือไม่ ต้องติดตาม

ประโยชน์แต่ละส่วนของเสาวรส
เสาวรส ไม่ได้สามารถนำมารับประทานได้เพียงแค่ผลเท่านั้น แต่มีประโยชน์ทั้ง ยอด ดอก เนื้อไม้ หรือรากยอดของเสาวรสนั้น จะมีรสชาติขมนิดหน่อย นิยมรับประทานคู่กับน้ำพริก มีประโยชน์ในเรื่องของการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และสามารถบำรุงผิวพรรณ ไปพร้อมๆ กันได้ใบ จะมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์ และฮาร์แมน ใช้ลดความดันโลหิต หากนำมาตำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาต้มดื่ม จะสามารถช่วยถ่ายพยาธิในร่างกายได้ และยังมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะได้ดีอีกด้วยดอก มีฤทธิ์คล้ายยาระงับประสาทอย่างอ่อน เหมาะกับผู้ที่นอนหลับยาก หรือหลับไม่สนิทเป็นอย่างยิ่งเนื้อไม้ ว่ากันว่า สามารถใช้รักษาบาดแผล และสามารถใช้เป็นยาถอนพิษ บางประเภทได้ โดยนำเนื้อไม้ไปตำให้แหลก และนำมาทาบริเวณแผลราก สามารถรักษาอาการผื่นคันได้ ให้เอารากไปต้มก่อนรับประทาน

สรรพคุณที่เด่นชัดของเสาวรส
เสาวรส สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ บางตำราบอกไว้ว่าสามารถระงับโรคมะเร็งขั้นต้นได้ เนื่องจากว่ามีกากใยอาหาร และน้ำปริมาณมาก ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ทำให้สามารถขับสารพิษ ที่ตกค้างภายในร่างกายได้ และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงขึ้นด้วย แต่หากรับประทานมากจนเกินไปอาจก่อนให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมในสตรีได้

เกร็ดความรู้
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ เนื่องจากเสาวรสมีน้ำตาลอยู่สูงมีการวิจัย จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่า “ผลของน้ำเสาวรสต่อต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบในผู้สูงอายุ”การรับประทานอาหารเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นเวลานาน อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางประเภท ดังนั้น ไม่ว่าอาหารใดที่มีประโยชน์มากขนาดไหน ก็ควรสลับสับเปลี่ยน หมุนเวียน รับประทาน มิฉะนั้นอาจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายได้
ที่มา                     www.tnews.co.th

อัพเดทล่าสุด