รอมฎอนรำลึก : (สงคราม) ตะบู๊ก


1,543 ผู้ชม

อับดุลลอฮฺ อิบนิ กะอฺบ อิบนิ มาลิก อัลอันซอรีย์ ผู้รายงานฮะดีษ เป็นบุตรของกะอฺบ นักฮะดีษผู้สูงอายุและตาบอด ได้เล่าเรื่องราวที่ตื่นเต้นที่สุด เพื่อให้เกิดความเสียใจและผลักดันให้มีการขอลุแก่โทษอันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาใจใส่ของมนุษย์ห้าสิบวันเต็มนับตั้งแต่เกิดเรื่องราวขึ้น ...


รอมฎอนรำลึก : (สงคราม) ตะบู๊ก

ท่านกะอฺบ กับสงครามตะบู๊ก

وَعَلَى الثَّلاَثَةِ الَّذِينَ خُلِّفُوا حَتَّى إِذَا ضَاقَتْ عَلَيْهِمْ الأَرْضُ بِمَا رَحُبَتْ

وَضَاقَتْ عَلَيْهِمْ أَنفُسُهُمْ وَظَنُّوا أَنْ لاَ مَلْجَأَ مِنْ اللَّهِ إِلاَّ إِلَيْهِ

ثُمَّ تَابَ عَلَيْهِمْ لِيَتُوبُوا إِنَّ اللَّهَ هُوَ التَّوَّابُ الرَّحِيمُ

"และสำหรับชายสามคน (คือ กะอุบ์ อิบนุมาลิก มุรอเราะฮ์ อิบนุ อัรร่อบีอ์ และฮิลาล อิบนุอุมัยยะฮ์) ที่ถูกทำให้ล่าช้าจนกระทั่งแผ่นดินได้คับแคบแก่พวกเขา ทั้ง ๆ ที่มันกว้างใหญ่ไพศาล และตัวของพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดไปด้วย แล้วพวกเขาก็คาดคิดกันว่าไม่มีที่พึ่งอื่นใดเพื่อให้พ้นจากอัลลอฮ์ไปได้ นอกจากกลับไปหาพระองค์
แล้วพระองค์ก็ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้กลับเนื้อกลับตัวสำนักผิดต่อพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ"
[อัตเตาะบะฮฺ 9 :118]

จากอับดุลลอฮฺ บิน กะอฺบ บินมาลิก โดยเขา(อับดุลลอฮฺ) เคยเป็นผู้หนึ่งที่จูงกะอฺบ จากบรรดาลูกๆ ขณะที่กะอฺบตาบอด กล่าวว่า : ฉันได้ยินกะอฺบ บินมาลิก ได้เล่าเรื่องของเขาขณะที่ไม่ได้ออกไปกับท่านร่อซูลิลลาฮฺ ในสงครามตะบู๊ก

กะอฺบได้เล่าว่า : ข้าพเจ้าไม่เคยที่จะไม่ออกไปในสงครามที่ท่านร่อซูลฯได้ยกทัพไปเลย นอกจากในสงครามตะบู๊ก ความจริงข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกไปในสงครามบัดรฺ แต่ผู้ที่ไม่ได้ออกไปนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้รับการตำหนิเลย ท่านร่อซูลฯและบรรดามุสลิมได้ออกไปเพื่อต้องการ(ขัดขวาง)กองคาราวานของชาวกุรอยชฺ จนกระทั่งอัลลอฮฺได้ให้เผชิญหน้ากันระหว่างพวกเขา(มุสลิม) และศัตรูของพวกเขา(อาหรับกุรอยชฺ) โดยมิได้มีการกำหนดมาก่อน ข้าพเจ้าได้เคยปรากฏตัวต่อท่านร่อซูลฯในค่ำคืนที่อัลอะเกาะบะฮฺ (ชื่อสถานที่ในตำบลมินา) ขณะที่พวกเราได้สัญญาว่าจะยึดมั่นในศาสนาอิสลาม และสิ่งที่ข้าพเจ้ารักมากก็คือ การที่ข้าพเจ้าได้ปรากฏตัวในสมรภูมิบัดรฺ(แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกไป) และถึงแม้ว่าสงครามบัดรฺนั้นเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่ชนมากกว่าคืนที่อัลอะเกาะบะฮฺ

แล้วเรื่องของข้าพเจ้าก็คือ ขณะที่ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปกับท่านร่อซูลฯในสงครามตะบู๊กนั้น ข้าพเจ้ามิใช่เป็นคนอ่อนแอหรือยากจน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ขณะที่ไม่ได้ไปออกสงครามนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยได้ตระเตรียมพาหนะไว้ถึงสองตัว จนกระทั่งข้าพเจ้าได้เตรียมไว้ถึงสองตัวในสงครามครั้งนั้น และท่านร่อซูลฯก็ไม่เคยที่จะไปรบแห่งใด นอกจากต้องทำให้เข้าใจว่าจะยกทัพไปทางอื่น แม้กระทั่งสงครามครั้งนี้ ท่านร่อซูลฯได้ยกทัพไปในขณะที่มีอากาศร้อนจัด และต้องเดินเป็นระยะทางไกลและกันดาร และต้องรบกับ(ศัตรู)จำนวนมาก ดังนั้นท่านร่อซูลฯจึงได้แจ้งให้บรรดามุสลิมทราบ เพื่อพวกเขาจะได้ตระเตรียม(สิ่ง)ที่จำเป็นในการสงคราม แล้วท่านร่อซูลฯได้แจ้งให้พวกเขาทราบถึงทิศทางที่ท่านต้องการ(ยกทัพไป) และบรรดามุสลิม(ที่จะร่วมทัพไป)กับท่านร่อซูลฯนั้นมากมาย โดยที่บันทึกและผู้ที่จดจำไม่อาจรวบรวมจำนวนพวกเขาได้ กะอฺบได้ให้ความหมายของคำว่า "ที่บันทึกและผู้จดจำ" คือบัญชีรายชื่อทหาร

กะอฺบกล่าวว่า การที่ชายคนหนึ่งปรารถนาที่จะหลบ(ไม่ออกไปสงคราม)นั้นมีน้อยมาก นอกจากคิดว่าเรื่องนั้นคงจะถูกปิดสำหรับเขา ตราบใดที่ไม่มีโองการจากอัลลอฮฺแจ้งลงมา และท่านร่อซูล ได้ออกไปสงครามครั้งนั้นขณะที่ผลไม้ต่างๆกำลังสุก แดดก็ไม่ร้อนจัด ข้าพเจ้าเองก็ชอบผลไม้เสียด้วย ท่านร่อซูลฯได้ตระเตรียมกองทัพ และบรรดามุสลิมก็(ตระเตรียม)ร่วมกับท่าน ข้าพเจ้าก็เริ่มตระเตรียมพร้อมกับท่าน และแล้วข้าพเจ้าก็กลับใจไม่ทำสิ่งใดเลย ข้าพเจ้านึกในใจว่า ข้าพเจ้าสามารถเตรียมพร้อมเมื่อข้าพเจ้าต้องการ

เหตุการณ์ยังคงอยู่อย่างนั้นสำหรับข้าพเจ้า จนกระทั่งการเตรียมการอย่างจริงจังได้มีขึ้น แล้วท่านร่อซูลฯก็ได้(นำทัพ)เคลื่อนออกไป(จากนครมะดีนะฮฺ) โดยบรรดามุสลิมไปพร้อมกับท่าน ข้าพเจ้าก็ยังมิได้ทำอะไรเลยในการเตรียมตัว เดินไปเดินมาโดยมิได้ทำสิ่งใด

เหตุการณ์ยังคงอยู่อย่างนั้นสำหรับข้าพเจ้า จนกระทั่งพวกเขา(กองทัพ)ได้เริ่มเคลื่อนไป และสงครามก็ได้คืบคลานเข้ามา ข้าพเจ้าคิดว่าจะออกเดินทางและไปให้ทันพวกเขา และพวกเขาก็หวังว่าข้าพเจ้าจะทำเช่นนั้น แต่แล้วการเดินทางก็ไม่ถูกกำหนดแก่ข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าได้ออกไปในหมู่ผู้คนหลังจากท่านร่อซูลฯนำกองทัพออกไปแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าเสียใจที่ข้าพเจ้านั้นไม่พบแบบอย่างที่ดีอยู่ในตัวเองเลย นอกจากเป็นคนที่ถูกกล่าวหาว่าหน้าไหว้หลังหลอก หรือ เป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่อ่อนแอ ที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงอนุโลมให้

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ มิได้กล่าวถึงข้าพเจ้าเลย จนกระทั่งท่านได้ไปถึงตะบู๊ก ท่านจึงพูดขึ้นโดยที่ท่านนั่งอยู่ในหมู่ทหารที่ตะบู๊ก(ว่า) กะอฺบ บิน มาลิก ทำอะไรอยู่? (จึงไม่ได้มากับกองทัพ) ชายคนหนึ่งจากบนีซะละมะฮฺได้กล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ เสื้อผ้าที่สวยงามของเขาได้หน่วงเหนี่ยวเขาไว้ มุอาซ บิน ญะบัล จึงได้กล่าวกับชายผู้นั้นว่า สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นร้ายแรงมาก โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ พวกเราไม่ทราบเรื่องของเขาเลย นอกจากความดี ท่านร่อซูลุลลอฮฺ นิ่งเงียบ

ขณะที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺและท่านร่อซูลฯนั่งอยู่นั้น ท่านได้เห็นชายคนหนึ่งแต่งชุดขาว ซึ่งเปลวแดดได้เคลื่อนไหวไปกับเขาด้วย แล้วท่านร่อซูลฯก็กล่าวขึ้นว่า "จงเป็นอบาคอยซะมะฮฺเถิด" เขาผู้นั้นก็คือ อบาคอยซะมะฮฺ อัลอันซอรีย์ ซึ่งเขาเคยเป็นผู้บริจาคตะมัรหนึ่งซออฺ ขณะที่บรรดาพวกหน้าไหว้หลังหลอกได้กล่าวหาท่านร่อซูลฯ

กะอฺบ บิน มาลิก ได้เล่า (ต่อไปว่า) เมื่อข่าวได้มาถึงข้าพเจ้าว่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ กำลังมุ่งหน้ากลับจากตะบู๊ก ข้าพเจ้ามีความหม่นหมอง เริ่มที่จะกล่าวเท็จและจะสรรหาคำพูดที่จะทำให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากความโกรธของท่านร่อซูลฯในวันรุ่งขึ้น และได้ขอความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวกับผู้ที่มีสติปัญญาทุกคนในครอบครัว

เมื่อมีผู้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้เดินทางกลับ ความคิดไม่ดีก็มลายหายไปสิ้นจากข้าพเจ้า จนกระทั่งรู้ว่าความจริงนั้น ข้าพเจ้าไม่พ้นจากความโกรธด้วยความโกหกอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ตั้งใจจะ (พูด)ความจริง ท่านร่อซูลฯเดินทางมาถึงเวลาเช้า และเมื่อท่านเข้ามาจากการเดิน ท่านจะเริ่มที่มัสยิด ท่านจะทำรุกัวะอฺ (ละหมาด) ในมัสยิดสองรอกอะฮฺ แล้วท่านก็นั่งอยู่กับประชาชน

เมื่อท่านทำดังกล่าวแล้ว บรรดาผู้ที่ไม่ได้ออกไปสงครามก็มาหาท่าน โดยมาขอโทษต่อท่านและกล่าวสาบาน ปรากฏว่าพวกเขาทั้งหมดมีประมาณแปดสิบกว่าคน ท่านร่อซูลฯได้ทรงรับ (การขออภัยโทษ) บางคนจากพวกเขาอย่างเปิดเผย และรับการสัตยาบันของพวกเขาและขออภัยโทษ (ต่ออัลลอฮฺ) ให้แก่พวกเขา และได้มอบความในใจของพวกเขาต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา

จนกระทั่งข้าพเจ้ามาถึง เมื่อข้าพเจ้าให้สลาม ท่านก็ยิ้มอย่างการยิ้มของผู้ที่โกรธ แล้วท่านกล่าวว่า "จงมานี่" ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปจนกระทั่งนั่งอยู่ระหว่างมือทั้งสองของท่าน (คือต่อหน้าท่าน) ท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "อะไรที่ทำให้ท่านไม่ได้ออกไปสงคราม (ครั้งนี้) ท่านมิใช่หรือที่ได้ซื้อพาหนะของท่านไว้แล้ว?"

กะอฺบเล่าว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ หากว่าข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ผู้อื่นจากท่านในโลกนี้ ข้าพเจ้าจะ (สามารถ) ออกให้พ้นจากความโกรธของอัลลอฮฺด้วยข้อแก้ตัว ข้าพเจ้าได้รับความฉะฉาน (ในการพูด) แต่ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ข้าพเจ้าทราบดีว่า หากข้าพเจ้าพูดกับท่านในวันนี้ด้วยคำเท็จที่ท่านจะยินยอม(ให้อภัย)แก่ข้าพเจ้าด้วยคำพูดนั้น แน่นอน ไม่ช้า อัลลอฮฺจะทรงทำให้ท่านกริ้วข้าพเจ้า และหากข้าพเจ้าพูดกับท่านด้วยคำพูดที่สัตย์จริง ท่านก็จะโกรธข้าพเจ้าในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าหวังจากอัลลอฮฺซึ่งบั้นปลายที่ดีในเรื่องนี้ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ไม่เคยปรากฏความขัดข้องแก่ข้าพเจ้าเลย ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ไม่เคยปรากฏแก่ข้าพเจ้าเลย (ที่มีผู้ใด) แข็งแรงและสุขสบายกว่าข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้ามิได้ออกไปสงครามพร้อมท่าน

กะอฺบเล่าว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า สำหรับ(ท่าน)นี้ แน่นอน เป็นความสัตย์จริง ท่านจงลุกขึ้นไปเถิด จนกว่าอัลลอฮฺจะตัดสินในเรื่องของท่าน มีชายหลายคนจากตระกูลสะละมะฮฺได้เดินตามข้าพเจ้ามา พวกเขาได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ พวกเราไม่เคยทราบเลยว่าท่านได้กระทำความผิดก่อนนี้เลย ความจริงท่านหมดความสามารถในการที่ท่านไม่ได้ออกไปสงคราม ไม่ได้แก้ตัวต่อท่านร่อซูลฯ เป็นการเพียงพอแก่ท่านแล้วซึ่งความผิดของท่าน (คือ) การขออภัยโทษของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ให้แก่ท่าน

กะอฺบเล่าว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ พวกเขายังคงเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้าจนกระทั่งข้าพเจ้าอยากจะกลับไปยังท่านร่อซูลุลลอฮฺฯ และกล่าวโกหก แล้วข้าพเจ้าก็กล่าวแก่พวกเขาว่า มีผู้ใดได้ประสบอย่างนี้เหมือนข้าพเจ้าอีกไหม? พวกเขาตอบว่า มีซิ… มีชายอีกสองคนที่ประสบอย่างนี้เหมือนกับท่าน ซึ่งทั้งสองได้พูดเช่นเดียวกับที่ท่านได้พูด และได้ถูกกล่าวแก่ทั้งสองเช่นเดียวกับที่ได้ถูกกล่าวแก่ท่าน

กะอฺบกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามว่าทั้งสองนั้นเป็นใคร พวกเขาตอบว่า มุรอเราะฮฺ บิน ร่อบีอะฮฺ อัลอามิรีย์ และฮิลาล บิน อุมัยยะฮฺ อัลวากิฟีย์ กะอฺบกล่าว (ต่อไป) ว่า พวกนั้นได้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงความหลังของบุคคลทั้งสองซึ่งเป็นคนดี ความจริงทั้งสองได้เคยออกรบในสมรภูมิบัดรฺ และข้าพเจ้าเคยนึกอยู่เสมอว่า บุคคลทั้งสองนั้นเป็นตัวอย่างที่ดี กะอฺบเล่าว่า ข้าพเจ้าได้มั่นใจยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขาได้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงบุคคลทั้งสอง

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้ห้ามการพูดจากับพวกเราทั้งสามคนจากบรรดาผู้ที่ไม่ได้ออกสงครามกับคนอื่นๆ กะอฺบเล่าว่า ประชาชนทั้งหลายได้ออกห่างจากพวกเรา หรือกะอฺบเล่าว่า ประชาชนทั้งหลายได้ห่างเหินแก่พวกเรา จนกระทั่งแผ่นดินนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปสำหรับข้าพเจ้าเสียแล้ว มันไม่ใช่แผ่นดินที่ข้าพเจ้ารู้จัก ข้าพเจ้าได้อยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 50 คืน ส่วนเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้าได้น้อมรับและเก็บตัวอยู่ในบ้านของทั้งสองโดยร้องไห้อยู่ตลอดเวลา สำหรับข้าพเจ้านั้น หนุ่มแน่นและแข็งแรงกว่าเพื่อน ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงออกไป (มัสยิด) และละหมาดร่วมกับมุสลิมทั้งหลาย และเดินไปรอบๆตลาด ไม่มีผู้ใดพูดกับข้าพเจ้าเลย

และเมื่อข้าพเจ้ามาที่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ข้าพเจ้าได้ให้สลามแก่ท่าน โดยที่ท่านนั่งอยู่ที่ที่ละหมาดหลังจากละหมาดแล้ว และข้าพเจ้านึกในใจว่า ท่านได้ขยับริมฝีปากทั้งสองของท่านตอบรับสลามหรือเปล่า? หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ละหมาดใกล้กับท่านและแอบมองท่าน และเมื่อข้าพเจ้าหันมาทางละหมาดของข้าพเจ้า ท่านได้มองมายังข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าหันไปพบท่านเช่นนั้น ท่านได้ผินหน้าออกไปจากข้าพเจ้า

ความเหินห่างของบรรดามุสลิมได้เป็นอยู่อย่างนั้นแก่ข้าพเจ้าเป็นเวลานาน ข้าพเจ้าก็ได้เดิน(ออกมา) จนกระทั่งมาถึงรั้วสวนของอบีเกาะตาดะฮฺ ซึ่งเป็นลูกของอาข้าพเจ้า และเป็นผู้ที่ข้าพเจ้ารักที่สุด ข้าพเจ้าให้สลามเขา แต่ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ เขามิได้ตอบรับสลามของข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่เขาว่า โอ้อบาเกาะตาดะฮฺ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ท่านทราบไหมว่า ข้าพเจ้านั้นรักอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์อย่างที่สุด เขานิ่ง ข้าพเจ้าก็ถามเขาอีก เขาก็นิ่งอีก และถามอีก เขาก็ตอบว่า อัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์รู้ดีที่สุด ข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาคลอเบ้า และหันหลังกลับเดินออกจากรั้วสวนของเขา

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินอยู่ในตลาดนครมะดีนะฮฺ บังเอิญมีชาวนาจากเมืองชามคนหนึ่งซึ่งนำอาหารมาขายที่นครมะดีนะฮฺกล่าวว่า ใครจะชี้ตัวกะอฺบ บิน มาลิกให้ฉันทราบได้ ประชาชนก็ได้ชี้มาที่ข้าพเจ้า ชาวนาคนนั้นก็เดินมาหาข้าพเจ้าพร้อมกับยื่นหนังสือของกษัตริย์กอซซานให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงอ่านดูในจดหมายนั้นมีความว่า ได้มีข่าวมาถึงเราว่าสหายของท่านนั้นได้เหินห่างท่านแล้ว แต่อัลลอฮฺไม่ทรงทำให้ท่านต่ำต้อยและถูกทอดทิ้ง ขอท่านจงมาหาเราเถิด เราจะให้ความช่วยเหลือแก่ท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวขึ้นในขณะที่อ่านหนังสือนั้นว่า นี่เป็นภัยอันตรายอีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ขยี้หนังสือฉบับนั้นโยนลงไปในเตาแล้วจุดไฟเผามันเสีย

เวลา 40 วัน จาก 50 วันผ่านไป และอัลวะฮีย์ของอัลลอฮฺยังมิได้ปรากฏ ก็พอดีมีผู้ถือคำสั่งจากร่อซูลุลลอฮฺ มาหาข้าพเจ้าและกล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้ใช้ให้ท่านออกห่างจากภรรยาของท่าน ข้าพเจ้าถามว่า ข้าพเจ้าจะต้องหย่านางหรือให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร? ผู้ถือคำสั่งตอบว่า ไม่ต้องหย่านาง แต่ว่าท่านจงออกห่างจากนางและจงอย่าเข้าใกล้นางเป็นอันขาด และท่านร่อซูลฯได้สั่ง(ผู้ถือคำสั่ง) ไปยังเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ภรรยาของข้าพเจ้าว่า เธอจงกลับไปที่พ่อแม่ของเธอ อยู่กับท่านทั้งสองจนกว่าอัลลอฮฺจะทรงพิพากษาในเรื่องนี้

และภรรยาของฮิลาล บิน อุมัยยะฮฺ ได้มาหาท่านร่อซูลุลลอฮฺ และกล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ แท้จริง ฮิลาล บิน อุมัยยะฮฺนั้น ชราภาพมาก ไม่มีคนคอยรับใช้เขา ท่านจะรังเกียจไหมที่ดิฉันจะอยู่คอยรับใช้เขา? ท่านร่อซูลฯตอบว่า ไม่เป็นการน่าเกลียด แต่จงอย่าให้เขาร่วมหลับนอนกับเธอ นางกล่าวว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ที่จริงเขามิได้เคลื่อนไหวประการใดเลย และขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ เขายังคงร้องไห้ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นจนกระทั่งบัดนี้

ญาติของข้าพเจ้าบางคนได้พูดกับข้าพเจ้าว่า หากท่านขออนุญาตท่านร่อซูลุลลอฮฺ ในเรื่องภรรยาของท่านบ้าง (ท่านร่อซูลฯก็คงจะอนุญาต) และความจริงท่านร่อซูลฯก็ได้อนุญาตให้ภรรยาของฮิลาล บิน อุมัยยะฮฺ อยู่รับใช้เขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่ขออนุญาตท่านร่อซูลุลลอฮฺ ในเรื่องของนางหรอก และไม่รู้เหมือนกันว่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ จะพูดว่ากระไรเมื่อข้าพเจ้าขออนุญาตต่อท่านในเรื่องของนาง? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ายังหนุ่มแน่น

ข้าพเจ้าได้อยู่อย่างนั้นเป็นเวลาสิบคืนก็ครบกำหนดห้าสิบคืนที่ห้ามพูดกับพวกเรา แล้วข้าพเจ้าก็ได้ละหมาดอัลฟัจญร์ (ซุบฮฺ) อยู่บนบ้านในตอนเช้าของคืนที่ห้าสิบ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งอยู่ในสภาพที่อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวถึง (ลักษณะ) พวกเราไว้ หัวใจของข้าพเจ้าหดหู่และแผ่นดินที่กว้างนั้นคับแคบแก่ข้าพเจ้าเหลือเกิน ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงขณะที่ได้ยินผู้ซึ่งขึ้นไปอยู่บนยอดเขาซัลอฺ ตะโกนอย่างสุดเสียงว่า โอ้กะอฺบ บิน มาลิก จงทราบข่าวดีเถิด ข้าพเจ้าได้ก้มลงสุญูด และทราบว่า แท้จริงความพ้นภัยได้มาถึงข้าพเจ้าแล้ว ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้แจ้งให้ประชาชนทราบถึงการอภัยโทษของอัลลอฮฺ อัซซะวะญัล แก่พวกเรา ขณะที่ท่านร่อซูลฯทำการละหมาดอัลฟัจญร์

บรรดาประชาชนได้ไปแจ้งข่าวดีแก่พวกเรา บรรดาผู้แจ้งข่าวได้ไปทางเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้า ชายคนหนึ่งขี่ม้าด้วยความเร็วมาหาข้าพเจ้าและขึ้นไปบนยอดเขา เสียงของเขาเร็วกว่า(เจ้าของ)ม้าเสียอีก เมื่อชายคนที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงแจ้งข่าวดีของเขาได้มาถึง ข้าพเจ้าได้สวมเสื้อสองตัวของข้าพเจ้าให้แก่เขาเนื่องด้วยข่าวดีที่เขาได้มาแจ้งให้ทราบ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ในวันนั้นข้าพเจ้าไม่มีเสื้ออีกเลยนอกจากสองตัวนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ขอยืมผ้าสองผืน (จากอบีเกาะตาดะฮฺ) มาสวมใส่ แล้วออกเดินมุ่งไปที่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ประชาชนได้มาพบข้าพเจ้าเป็นกลุ่มๆ อวยพรแก่ข้าพเจ้าเนื่องใน (โอกาสที่ได้รับ) การอภัยโทษ โดยพวกเขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า การอภัยโทษของอัลลอฮฺได้ทำให้เกิดการอวยพรแก่ท่าน

จนกระทั่งข้าพเจ้าได้เข้าไปในมัสยิด บังเอิญท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้นั่งอยู่แล้ว รอบๆท่านมีประชาชนมากมาย ฏอลฮะฮฺ บิน อุบัยดิลลาฮฺ ได้ลุกขึ้นยืนและวิ่งมาจับมือและอวยพรข้าพเจ้า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ไม่มีผู้ใดจากพวกมุฮาญิรีน (พวกอพยพ) ได้ยืนขึ้นนอกจากเขาเท่านั้น ซึ่งปรากฏว่า กะอฺบไม่เคยลืมการกระทำดังกล่าวของฏอลฮะฮฺเลย

กะอฺบเล่า (ต่อไป) ว่า เมื่อข้าพเจ้าได้กล่าวสลามแก่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ท่านได้กล่าวโดยที่ใบหน้าของท่านยิ้มแย้มด้วยความปิติว่า ท่านจงดีใจกับวันที่ดีที่สุดที่ผ่านมาสำหรับท่านตั้งแต่มารดาของท่านได้คลอดท่านมา ข้าพเจ้าได้ถามว่า (ข่าวดีนั้น) มาจาก (ความคิด) ของท่านใช่ไหม โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ หรือว่ามาจากอัลลอฮฺ? ท่านตอบว่า ไม่ (มิได้เป็นความคิดของเรา) แต่มาจากอัลลอฮฺ อัซซะวะญัล และปรากฏว่าท่านร่อซูลุลลอฮฺดีใจ ใบหน้าของท่านเปล่งรัศมีจนกระทั่งใบหน้าของท่านนั้นเสมือนดวงจันทร์ โดยที่พวกเราทราบลักษณะนั้นของท่านเป็นอย่างดี

เมื่อข้าพเจ้าได้นั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ข้าพเจ้าก็ถามว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ จากการได้รับอภัยโทษของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าจะต้องบริจาคทรัพย์สิน (ทั้งหมด) ของข้าพเจ้าเป็นทานเพื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์(ด้วยหรือเปล่า)? ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้ตอบว่า ท่านจงเก็บไว้แก่ท่านส่วนหนึ่งจากทรัพย์สินของท่าน จะเป็นการดีสำหรับท่าน และข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเก็บส่วนของข้าพเจ้าที่อยู่ที่คอยบัรไว้

และข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ แท้จริง อัลลอฮฺ ตะอาลา นั้น พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าพ้นภัยด้วยการพูดความจริง และจากการได้รับอภัยโทษของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าจะไม่พูดนอกจากความสัตย์จริง ตราบที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ข้าพเจ้าไม่ทราบเลยว่า (มี)ผู้ใดจากบรรดามุสลิมที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทดลองเขาในการพูดความจริง ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้กล่าวความจริงแก่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ที่ดีไปกว่าสิ่งที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทดลองแก่ข้าพเจ้า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ข้าพเจ้าไม่เคยตั้งใจโกหกอีกเลยนับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้พูดความจริงแก่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ จนกระทั่งวันนี้ และความจริง ข้าพเจ้าหวังความคุ้มครองของอัลลอฮฺต่อไปตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

กะอฺบได้กล่าวว่า และอัลลอฮฺ ตะอาลาได้ลงโองการว่า "ความจริง อัลลอฮฺได้ทรงให้อภัยแก่ท่านนบี และบรรดาพวกมุฮาญิรีน และพวกอันซอร ซึ่งเขาเหล่านั้นได้ติดตามท่านนบีในเวลาที่ลำบากยากเข็ญ" จนกระทั่งถึง (โองการที่ว่า) "แท้จริง พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงปรานีผู้ทรงเมตตาแก่พวกเขา และสำหรับบุคคลทั้งสามที่ได้ถูกล่าช้า (การให้อภัยโทษ) จนกระทั่งแผ่นดินที่กว้างนั้นได้คับแคบแก่พวกเขา" จนกระทั่งถึง "พวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และจงอยู่พร้อมกับบรรดาผู้ซื่อสัตย์ทั้งหลาย"

กะอฺบได้เล่า (ต่อไป) ว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ พระองค์ไม่เคยให้ความโปรดปรานแก่ข้าพเจ้าเลย (ในอดีต) หลังจากที่พระองค์ได้ให้ทางที่ถูกต้องแก่ข้าพเจ้า (ในการนับถือ) ศาสนาอิสลามที่ยิ่งใหญ่ฯสำหรับตัวข้าพเจ้าไปกว่าการพูดความจริงต่อท่านร่อซูลุลลอฮฺ โดยที่ข้าพเจ้ามิได้พูดโกหกต่อท่าน (มิเช่นนั้นแล้ว) ก็จะเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้รับความหายนะ ดังเช่นบรรดาผู้ที่โกหกได้รับ

และแท้จริง อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงกล่าวประณามบรรดาผู้ที่โกหก ขณะที่พระองค์ทรงประทาน อัลวะฮฺยุ ซึ่งพระองค์ไม่เคยกล่าวแก่ผู้ใดมาก่อน อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงกล่าวว่า "พวกเขา (บรรดาผู้ที่โกหก) จะกล่าวสาบานด้วยอัลลอฮฺต่อพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าได้กลับมายังพวกเขา พวกเจ้าจงหันเหออกจากพวกเขาเถิด (โดยยอมให้พวกเขาตามความต้องการ) แท้จริง พวกเขาเป็นผู้ที่สกปรกโสมม ที่พำนักของพวกเขาก็คือนรกญะฮันนัม เพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายมา พวกเขาได้สาบานต่อพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจะได้ยินยอมแก้พวกเขา ถ้าแม้นว่าพวกเจ้าจะยินยอมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงยินยอมให้แก่พวกที่ชั่วช้าเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด"

กะอฺบได้เล่า (ต่อไป)ว่า พวกเราทั้งสามคนได้ถูกล่าช้ากว่าเรื่องของพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้รับ (การแก้ตัว) ของพวกเขาในขณะที่พวกเขาได้กล่าวสาบานต่อท่าน และท่านก็รับสัตยาบันของพวกเขาและขออภัยโทษให้แก่พวกเขา และท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้ปล่อยเรื่องของพวกเราไว้จนกระทั่งอัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตัดสินเรื่องของเราดังกล่าว

อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงกล่าวว่า "สำหรับบุคคลทั้งสามที่ถูกล่าช้า (ในการให้อภัยโทษ)" (ความหมาย) ที่ได้ถูกกล่าวว่าล่าช้านั้น มิใช่การที่พวกเรามิได้ออกสงคราม แต่ความจริงคือ การเพิกเฉยของท่านร่อซูลฯ ต่อพวกเรา และการปล่อยให้ล่าช้าของท่านร่อซูลฯ ต่อเรื่องราวของพวกเรา มากกว่าผู้ที่ได้สาบานต่อท่านและแก้ตัวต่อท่าน และท่านก็ได้ยอมรับต่อพวกนั้น

[บันทึกโดย อัลบุคอรี และ มุสลิม]

ความหมายของฮะดีษ

อับดุลลอฮฺ อิบนิ กะอฺบ อิบนิ มาลิก อัลอันซอรีย์ ผู้รายงานฮะดีษ เป็นบุตรของกะอฺบ นักฮะดีษผู้สูงอายุและตาบอด ได้เล่าเรื่องราวที่ตื่นเต้นที่สุด เพื่อให้เกิดความเสียใจและผลักดันให้มีการขอลุแก่โทษอันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาใจใส่ของมนุษย์ห้าสิบวันเต็มนับตั้งแต่เกิดเรื่องราวขึ้น กุรอ่านได้ถูกประทานลงมาเป็นรายละเอียดและชี้บอกถึงเรื่องราว เพื่อให้เป็นเรื่องที่มีชีวิตชีวาคงอยู่ยืนนาน มนุษย์ต่างก็จะได้เล่าถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างนิ่งในยามคับขันและยามสงคราม

ท่านร่อซูลฯ รู้ถึงการชุมนุมของพวกโรมันซึ่งมีเจตนาที่จะทำสงครามบุกเมืองมะดีนะฮฺ ท่านจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะออกไปบุกก่อน โดยการปฏิบัติตามอุดมคติแห่งการทำสงครามที่โด่งดัง การจู่โจมเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการป้องกัน ท่านได้เรียกร้องให้มีการตระเตรียมและได้ประกาศให้ผู้คนทราบถึงอันตรายของสภาพการณ์นั้นๆ และสงครามนั้นต้องการความวิริยะอุตสาหะและทรัพย์สิน

กะอฺบเคยเป็นผู้ที่มีเรือนร่างแข็งแรง มีทรัพย์สินมาก ผลไม้ของเขากำลังสุด พืชไร่กำลังอยู่ในระหว่างเก็บเกี่ยว ขณะนั้นอากาศกำลังร้อน จิตใจค่อนข้างต้องการพักผ่อนและต้องการหาความสำราญ เขาไม่มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการทำสงคราม แต่เขามีความรู้สึกว่าจะให้ล่าช้าออกไปอีกสักหน่อย แล้วจะติดตามทหารไปทีหลัง

แต่ทว่าทหารช่างเคลื่อนทัพเร็วเหลือเกิน และช่างรวดเร็วอะไรเช่นนั้นถ้าเขาไม่ได้เข้าร่วมทำสงคราม เขาจะทำอย่างไร? เขาจะแก้ตัวด้วยการโกหกกระนั้นหรือ? หรือเขาจะยึดหลักความจริง การโกหกอาจช่วยให้เขาพ้นจากความโกรธเคืองของท่านร่อซูลฯได้ และท่านอาจพอใจและให้อภัยเขา แต่ทว่าอัลลอฮฺเป็นผู้รู้ถึงความเร้นลับ พระองค์จะรับการโกหกนั้นหรือไม่ เขาจะไม่ปลอดภัยนอกจากจะพูดความจริง

กะอฺบได้มองออกไปยังเมืองมะดีนะฮฺซึ่งว่างเปล่าปราศจากชายฉกรรจ์ ไม่มีใครหลงเหลืออยู่นอกจากคนไร้สมรรถภาพ ผู้หญิง เด็ก คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก แสดงความเป็นมุสลิมแต่ซ่อนการปฏิเสธไว้ในใจ และบุคคลอีกสองคนจากสาวกท่านร่อซูลฯ ซึ่งเขาเหล่านั้นได้ร่วมทำสงครามที่บัดรฺและที่อื่นๆนอกจากบัดรฺ ไม่มีใครรวมอยู่ในสภาพอย่างเขานอกจากซอฮาบะฮฺทั้งสอง

ท่านร่อซูลกลับมาและเริ่มละหมาดที่มัสยิดหลังจากที่ท่านไปยังสถานที่ทำสงครามแล้วไม่พบศัตรู เนื่องด้วยพวกนั้นรู้ถึงเจตนาของท่าน รู้ถึงการตั้งใจอย่างแน่วแน่ของท่าน อัลลอฮฺได้ช่วยเหลือท่านโดยให้ศัตรูเกิดความกลัวเสียก่อนเลยหนีกลับไป พวกหน้าไหว้หลังหลอกซึ่งมีประมาณแปดสิบหรือเก้าสิบคนต่างก็รีบมาหาท่าน มาแก้ตัวกับท่านโดยอ้างว่ามีอุปสรรคและอ้างสาเหตุมดเท็จนานาประการ และขออภัยโทษต่อท่าน ท่านร่อซูลฯก็ให้อภัยและยอมรับในอุปสรรคของพวกเขา

ระหว่างที่มีการขออภัยโทษกันอยู่นั้น กะอฺบได้มาหาท่านนบีและให้สลามแก่ท่านร่อซูลฯ ท่านมองดูเขาพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยัน แล้วก็ถามกะอฺบถึงสาเหตุที่เขาไม่ได้เข้าร่วมสงคราม กะอฺบบอกไปตามความจริงว่าเขาเกียจคร้านและไม่เอาใจใส่ ซอฮาบะฮฺอีกสองคนก็มาบอกท่านร่อซูลฯอย่างที่กะอฺบบอก การไม่เอาใจใส่ การเพิกเฉยในเวลาที่มีนั้นอันตรายใกล้เคียงกับเจตนา (จะไม่ทำ) จำเป็นจะต้องถูกลงโทษ แต่โทษจะเป็นอย่างไรนั้น เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่มีขึ้น เขาเหล่านั้นต้องรอคอยบัญญัติแห่งอัลลอฮฺที่จะมีมาในเรื่องของพวกเขา และถูกขับไสออกจากสังคมที่เขาเหล่านั้นอาศัยอยู่

เขาเหล่านั้นตระหนี่ไม่ยอมเสียสละในการคุ้มกันสังคมแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ไม่มีใครพูดและคบค้าสมาคมด้วย แม้แต่ภรรยาของพวกเขาก็ยังถูกห้ามมิให้เข้าใกล้เป็นเวลาห้าสิบวันเต็ม ห้าสิบวันแห่งความปวดร้าวทางจิตใจ และความรู้สึกเนื่องจากความโหดร้ายของการตำหนิของจิตใจและความรู้สึกภายในที่ขมขื่นผิดหวัง บางครั้งถึงกับร้องไห้ออกมา และบางครั้งก็ต้องเก็บซ่อนไว้ในใจ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากความยุ่งยาก อัลลอฮฺทรงรับการกลับตัวของผู้ที่กลับตัวสู่พระองค์

เขาเหล่านั้นต้องอดทนต่อการตอบแทน ต้องรับเอาการทรมานนั้นไว้ และคนเหล่านั้นกลายเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้อื่น ส่วนพวกหน้าไหว้หลังหลอก โป้ปดมดเท็จ อัลลอฮฺได้ทรงตำหนิเขาเหล่านั้นอย่างรุนแรง ทั้งยังได้ประจานคนเหล่านั้น และทรงให้เขาเหล่านั้นโกหกมดเท็จอย่างนั้นตลอดไป

นี่เป็นตัวอย่างที่เป็นจริงซึ่งจะพบได้ในปัจจุบันนี้ และมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยและทุกสภาพแวดล้อม กะอฺบได้เล่าถึงตัวอย่างที่มีชีวิตชีวาน่าตื่นใจ และขยายความอย่างละเอียด เราหยุดอยู่กับกะอฺบในรายละเอียดนั้น ทุกช่วงเวลาของความปวดร้าว น้ำตาแห่งความเสียใจ ความเดือดพล่านของความสิ้นหวังและหัวใจของเรารู้สึกสงสารกะอฺบ

กษัตริย์มอซซาล อันนัสรอ ได้มีพระราชสารมาถึงกะอฺบ เพื่อขอคำปรึกษาหารือ และแสดงความรักความปรารถนาดีต้องการให้กะอฺบหนีไปหาพระองค์ จะได้พ้นจากสิ่งที่เขากำลังประสบอยู่ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ทันทีว่านั่นเป็นเพียงการทดสอบจากอัลลอฮฺที่มีต่อเขา เขายอมรับการทรมานในการขอลุแก่โทษ เพื่อให้เกิดความสะอาดบริสุทธิ์จากการฝืนกระทำความชั่ว และตกไปอยู่ในสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่า

ฮะดีษทั้งหมดนี้ เป็นข้อเตือนใจพร้อมทั้งข้อแนะนำสั่งสอน เราขอนำเอาข้อคิดเพียงบางส่วนมากล่าว ดังต่อไปนี้

สิ่งที่ได้จากฮะดีษนี้

1. ความประเสริฐของสมรภูมิบัดรฺ, อัลอะกอบะฮฺ, และตะบู๊ก ซึ่งเป็นสงครามที่มีความยิ่งใหญ่กว่าสงครามใดๆ บรรดาสาวกของท่านร่อซูลฯมีความภูมิใจที่ได้เข้าร่วมในสงครามที่กล่าวมาแล้ว

2. ความเข้มแข็งของการบัญชาการ ความกลัวของมุสลิมีนต่อความโกรธกริ้วของท่านร่อซูลฯ และแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดของท่านร่อซูลฯในความจริงนั้นมีแค่ไหน

3. อนุมัติให้เข้าไปหาเพื่อนได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เมื่อไม่กลัวว่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด หรือมีข้อบกพร่องน่าอาย ให้เทิดทูนการภักดีต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เหนือภารกิจทางด้านดุนยาและการแสวงหาแต่ดุนยา

4. การตื่นตัวอยู่เสมอของจิตใจ และพลังแห่งการยึดถือศาสนาของบรรดาสาวก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุม

5. ความประเสริฐของความซื่อสัตย์ ความสิริมงคลของความซื่อสัตย์ การตำหนิการโกหก และความเลวร้ายในผลลัพธ์ของมัน

6. การบริจาคทานในขณะที่ความเศร้าสลดหมดไปนั้น เป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮฺ

7. ให้เหลือทรัพย์สินบางส่วนไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง เพื่อที่จะไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น

8. ความประเสริฐของการต่อสู้ จำเป็นที่จะต้องลงโทษผู้หลบหนีหรือไม่ยอมออกไปทำสงคราม

9. การกลับตัวที่ถือว่าใช้ได้นั้นจะต้องด้วยเจตนาที่จริงใจ ไม่ใช่ด้วยภาพที่หลอกลวง ดังที่พวกหน้าไว้หลังหลอกได้กระทำ

10. หน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกันตามความแตกต่างของสภาพการณ์

11. ศัตรูนั้นพยายามแสวงหาประโยชน์จากจุดอ่อน เพื่อที่จะทะลวงเข้ามาทางจุดนั้น

อัพเดทล่าสุด