สงครามนี้เกิดขึ้นในวันที่ 17 รอมฎอน ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช สงครามเกิดขึ้นเนื่องมาจาการที่ท่านศาสนทูต ซ.ล. ส่งศอฮาบะฮฺไปขัดขวางกองคาราวานสินค้าของชาวกุเรชที่เดินทางกลับมาจากแคว้นชาม มุ่งหน้าสู่นครมักกะฮฺ ...
รอมฎอนรำลึก : (สงคราม) บะดัรฺ
สงครามบะดัร
สงครามนี้เกิดขึ้นในวันที่ 17 รอมฎอน ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช สงครามเกิดขึ้นเนื่องมาจาการที่ท่านศาสนทูต ซ.ล. ส่งศอฮาบะฮฺไปขัดขวางกองคาราวานสินค้าของชาวกุเรชที่เดินทางกลับมาจากแคว้นชาม มุ่งหน้าสู่นครมักกะฮฺ ท่านไม่ประสงค์จะให้เกิดสงคราม แต่เมื่อกองคาราวานสินค้าที่นำโดยอบูซุฟยานสามารถหลบหนีไปได้ ภายหลังจากที่ได้ขอกำลังความช่วยเหลือจากชาวกุเรช ชาวกุเรชจึงได้ยกกองกำลังมาประมาณ 1,000 คน ประกอบด้วยนักรบเสื้อเกราะจำนวน 600 คน เป็นทหารม้าเสื้อเกราะ 100 คน ที่เหลือเป็นนักรบเสื้อเกราะเดินเท้า มีอูฐ จำนวน 700 ตัว และได้นำทาสหญิงมาร่วม ตีกลองร้องรำและเยาะเย้ยชาวมุสลิม
ส่วนกองกำลังมุสลิมมีจำนวนเพียง 313 หรือ 314 คนเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นชาวอันศอรฺ มีอูฐจำนวน 70 ตัว ม้า 2 หรือ 3 ตัวเท่านั้น พวกเขาหลายๆคนผลัดกันขี่อูฐหมุนเวียนกันไป ก่อนที่ท่านนบี ซ.ล.จะเริ่มทำสงคราม ท่านต้องการถามความเห็นของศอฮาบะฮฺเกี่ยวกับการทำสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นจากชาวอันศอรฺ ชาวมุฮาญิรีนเห็นด้วยกับการทำสงครามทุกประการ ซึ่งเมื่อชาวอันศอรฺทราบว่าท่านนบี ซ.ล.ต้องการความเห็นจากพวกเขา ซะอฺด บินมุอ๊าซ ซึ่งเป็นผู้นำชาวอันศอรฺจึงกล่าวว่า "โอ้ท่านศาสนทูต เราได้ศรัทธาและเชื่อฟังต่อท่าน เราปฏิญาณแล้วว่าสิ่งีท่ท่านนำมาคือสัจธรรม เราได้สัญญากับท่านแล้วว่าเราจะเชื่อฟังท่าน โอ้ท่านศาสนทูต จงดำเนินการไปตามประสงค์เถิด เราจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ขอสาบานด้วยองค์ผู้ทรงแต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรม หากท่านนำทัพลุยลงไปในทะเลนี้ เราก็จะร่วมลงไปลุยด้วย จะไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเราที่รั้งรอเด็ดขาด เราไม่หวั่นกับการที่ต้องพบเจอกับศัตรูของเราในวันข้างหน้า พวกเราเป็นผู้อดทนยามออกศึก เป็นคนจริงยามรบ อัลลอฮฺจะให้ท่านเห็นการกระทำของพวกเราในสิ่งที่ท่านมีแต่จะพึงพอใจ จงนำเราไปด้วยพรแห่งอัลลอฮฺเถิด" เมื่อได้ยินเช่นนั้นท่านศาสนทูต ซ.ล.จึงมีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ท่านกล่าวว่า "จงลุยไปด้วยพรแห่งอัลลอฮฺเถิด ขอจงสบายใจได้เลย อัลลอฮฺได้สัญญาต่อฉันว่า จะให้ได้รับประการใดประการหนึ่งในนั้น อาจจะเป็นกองคาราวานสินค้า หรืออาจจะเป็นกองทัพของชาวมักกะฮฺ" ต่อมาท่านศาสนทูต ซ.ล.ได้เดินทางไปจนถึงบ่อน้ำแรกในทุ่งบัดร์ ท่านจึงจะตั้งฐานทัพที่นั่น หุบ๊าบ บินมุนซิรจึงกล่าวว่า "โอ้ท่านศาสนทูต นี่เป็นที่ตั้งที่อัลลอฮฺบัญชาท่านที่ไม่สามารถขยัยเขยื้อนไปข้างหน้าหรือถอยมาด้านหลังได้อีก หรือเป็นความเห็น เป็นยุทธวิธี เป็นกลศึก" ท่านศาสนทูต ซ.ล.ตอบว่า "มันเป็นเพียงความเห็น เป็นยุทธวิธี และเป็นกลศึก" หุบ๊าบ บินมุนซิรจึงเสนอให้ท่านย้ายไปตั้งฐานทัพในที่ที่เหมาะสมกว่าและทำให้มุสลิมสามารถป้องกันมิให้ฝ่ายศัตรูผู้ตั้งภาคีดื่มน้ำได้ ท่านศาสนทูต ซ.ล.จึงย้ายฐานทัพไปยังสถานที่ที่หุบ๊าบ บินมุนซิรเสนอแนะ และตั้งฐานทัพ ณ ที่นั่น ต่อมา ซะอฺด บินมุอ๊าซได้เสนอให้ทำซุ้มสำหรับท่านศาสนทูต ซ.ล.ที่อยู่แนวหลังของกองทัพมุสลิม หากว่าอัลลอฮฺให้มุสลิมชนะ ท่านก็จะสมประสงค์ หากการณ์ไม่เป็นไปตามนั้นก็สามารถขี่อูฐหนีกลับไปยังนครมะดีนะฮฺได้ ซะอฺด บินมุอ๊าซกล่าวต่อไปว่า "ผู้ที่ไม่ได้ออกรบพร้อมกับเราที่อยู่ที่นั่น มีความรักต่อท่านไม่น้อยไปกว่าเราเลย หากพวกเขารู้ว่าจะมีการทำสงครามเกิดขึ้น ย่อมไม่รั้งรออยู่ที่นั่นแน่" ท่านศาสนทูต ซ.ล.จึงขอพรให้เขา และยอมให้ทำซุ้ม
เมื่อได้เวลาที่กองทัพทั้งสองได้เข้าปะทะกัน ท่านศาสนทูต ซ.ล.ได้จักแถวทหารมุสลิมด้วยตนเอง ท่านให้ขวัญกำลังใจและส่งเสริมให้พวกเขาสละชีพเพื่ออัลลอฮฺ ท่านกล่าวว่า "ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีชายคนใดที่ทำสงครามในวันนี้และถูกสังหาร โดยที่เขาต่อสู้ด้วยความอดทนและมุ่งหวังผลบุญ และยืนหยัดต่อสู้โดยไม่ถอย นอกจากอัลลอฮฺจะให้เขาเข้าสวรรค์" แล้วท่านกับท่านอบูบักรก็กลับมายังซุ้ม โดยมีซะอฺด บินมุอ๊าซยืนถือดาบคอยปกป้องท่านศาสนทูต ซ.ล.ทำการขอพรจากอัลลอฮฺ ส่วนหนึ่งของดุอาอฺได้แก่ "โอ้อัลลอฮฺ ข้าขอคำมั่นสัญญาของพระองค์ หากว่าคนกลุ่มนี้วิบัติแล้วพระองค์จะไม่ถูกกราบไว้อีก" ท่านได้ก้มสุญูดอย่างยาวนาน จนกระทั่งอบูบักรกล่าวว่า พอเถิดท่าน อัลลอฮฺจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้แก่ท่านอย่างแน่นอน"
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ปรากฏว่ามุสลิมเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ฝ่ายผู้ตั้งภาคีเสียชีวิตประมาณ 70 คน ผู้ที่เสียชีวิตได้แก่ อบูญะฮฺล์ และผู้นำชาวกุเรชบางคน และถูกจับเป็นเชลยจำนวนประมาณ 70 คน ท่านศาสนทูต ซ.ล.บัญชาให้ฝังศพผู้เสียชีวิตทั้งหมดและกลับเข้านครมะดีนะฮฺ ท่านได้สอบถามความคิดเห็นของศอฮาบะฮฺเกี่ยวกับการจัดการเชลย อุมัรเสนอให้สังหารเสียหมด อบูบักรเสนอให้มีการไถ่ตัว ท่านศาสนทูต ซ.ล.จึงชอบข้อเสนอของอบูบักรและให้ฝ่ายผู้ตั้งภาคีไถ่ตัวเชลยศึก
โองการอัลกุรอานเกี่ยวกับสงครามบะดัรฺได้ถูกประทานลงมาหลายโองการด้วยกัน อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ อาละอิมรอน ว่า
123. และแน่นอน อัลลอฮ์ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าที่บะดัรมาแล้วทั้งๆ ที่พวกเข้าเป็นพวกด้อยกว่า ดังนั้นพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอ์เถิด หวังว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ
124. จงรำลึกถึงขณะที่เจ้า (มุฮัมมัด)กล่าวแก่บรรดามุมินว่า ไม่เพียงกอแก่พวกเจ้าเลยหรือ การที่พระเจ้าของพวกท่านจะหนุนกำลังแก่พวกท่าน ด้วยมะลาอิกะฮ์จำนวนสามพันโดยถูกส่งลงมา
125. เพียงพอแน่นอน หากพวกเจ้าอดทนและยำเกรง และพวกเขาจะมายังพวกเจ้าทันทีทันใดขณะนี้ แล้วพระเจ้าของพวกเจ้าก็จะหนุนกำลังแก่พวกเจ้าอีก ด้วยจำนวนมะลาอิกะฮ์ห้าพัน โดยมีเครื่องหมาย
126. และอัลลอฮ์มิได้ทรงให้กำลังหนุนนั้นมีขึ้น นอกจากเพื่อเป็นข่าวดีแก่พวกเจ้า และเพื่อที่หัวใจของพวกเจ้าจะได้สงบด้วยกำลังหนุนนั้นและความช่วยเหลือทั้งหลายนั้นไม่มี(จากที่อื่นใด) นอกจากที่อัลลอฮ์ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น
127. เพื่อพระองค์จะทรงบั่นทองส่วนหนึ่งออกจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหรือทรงให้พวกเขาได้รับความอัปยศแล้วพวกเขาก็จะถอยกลับไปในฐานะผู้ผิดหวัง
จากหนังสือ วิเคราะห์บทเรียนและข้อคิดจาก ชีวประวัติท่านนบีมุฮัมมัด ซ.ล.