คำแนะนำทางการแพทย์ 19 ข้อ สำหรับเดือนรอมฏอน


10,419 ผู้ชม

คำแนะนำทางการแพทย์ 20 ข้อ สำหรับเดือนรอมฏอน ถอดความจากข้อเขียนของ  ดร.หัซซาน  ชัมชีบาชา  ตีพิมพ์ในวารสาร  “อะฮลันวะซะฮลัน “ ของสายการบินซาอุดิอารเบีย  ฉบับประจำเดือนรอมฏอน  ฮ.ศ.1415  กุมภาพันธ์  2538 ...


คำแนะนำทางการแพทย์ 19 ข้อ สำหรับเดือนรอมฏอน

ถอดความจากข้อเขียนของ ดร.หัซซาน ชัมชีบาชา ตีพิมพ์ในวารสาร "อะฮลันวะซะฮลัน " ของสายการบินซาอุดิอารเบีย ฉบับประจำเดือนรอมฏอน ฮ.ศ.1415 กุมภาพันธ์ 2538

ข้อที่ 1 "จงกินจงดื่มและจงอย่าสุรุ่ยสุร่าย" ซูเราฮอัลอะอรอฟ อายะฮ 31

นี่เป็นโองการหนึ่งในอัลกุรอ่านซึ่งรวมวิชาโภชนาการไว้ทั้งหมดภายใต้คำพูด 3 คำ หากผู้ถือศีลอดปฏิบัติตามโองการดังกล่าว ตลอดช่วงเดือนรอมฏอนพร้อมทั้งหลีกเหลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมัน ขนมหวานและอาหารหนักในปริมาณที่มากจนเกินควรแล้ว เมื่อรอมฏอนผ่านไปน้ำหนักตัวของเขาจะลดลงเล็กน้อยและไขมันในร่างกายของเขาก็จะน้อยลงด้วย และเขาก็จะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีและมีความสุขอย่างที่สุด จึงกล่าวได้ว่า เดือนรอมฏอนปกป้องหัวใจของผู้ถือศีลอด และให้การพักผ่อนแก่ร่างกายของเขา ทั้งนี้เนื่องจากขนมหวานต่างๆ เนื้อสัตว์และอาหารประเภทนมเนยที่เขารับประทานเข้าไปนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นไขมันภายในร่างกาย ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและทำให้หัวใจต้องทำงานอย่างหนัก ซึ่งพวกเราจำนวนไม่น้อยทีเดียว ที่เคยชินกับการบรรจุอาหารหลากหลายชนิดเข้าไปในห้องจนอิ่มแปร้ แล้วตามด้วยน้ำอัดลมหรือน้ำแข็งเพื่อดับกระหายในเวลาละศีลอด

อย่างไรก็ดีบรรดานักวิจัยได้ยืนยันว่า จากการศึกษาทางวิชาการชี้ว่า ถึงแม้มุสลิมจำนวนมากจะละเลยกฏเกณฑ์ด้านสุขภาพ เกี่ยวกับโภชนาการไปอย่างน่าเสียดายก็ตาม และถึงแม้ว่าพวกเขาจะรับประทานอาหารที่มีไขมัน และขนมหวานอันหลากหลายในรอมฏอนก็ตามที แต่การถือศีลอดในเดือนรอมฏอนของพวกเขาก็อาจสามารถทำให้น้ำหนักตัวของพวกเขาลดลง 2 – 3 กิโลกรัมได้

ข้อที่ 2 "มนุษย์จะยังคงอยู่ในความดีงาม ตราบที่พวกเขารีบละศีลอด " อัลหะดีษ บันทึกโดย บุคอรียและมุสลิม

การรีบละศีลอดเมื่อได้เวลาเป็นซุนนะฮ ของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และยังมีผลดีต่อสุขภาพและจิตใจของผู้ถือศีลอดอีกด้วย เพราะเมื่อได้เวลาละศีลอดนั้น ร่างกายผู้ถือศีลอดกำลังอยู่ในช่วงที่มีความต้องการสิ่งที่จะมาชดเชยน้ำและกำลังงานที่ได้สูญเสียไปตลอดทั้งวันมากที่สุด การล่าช้าในการละศีลอดจะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดของผู้ถือศีลอดลดลงอีก ซึ่งจะทำให้เขายิ่งรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียและเป็นการทรมานตัวเองโดยปราศจากความจำเป็น นอกเหนือจากทีเป็นการกระทำที่ไม่ต้องด้วยซุนนะฮของท่านร่อซูลแล้ว

ข้อที่ 3 " เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านละศีลอด ก็จงละศีลอดด้วยอินผลัม " อัลหะดีษ บันทึกโดย อัตติรซีย

ท่านอนัสร่อฏิยัลลอฮุรายงานว่า ท่านร่อซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจะละศีลอดด้วยอินทผลัมสด ก่อนที่ท่านจะละหมาด ( มัฆริบ ) ถ้าไม่มีก็ด้วยอินทผลัมแห้งและถ้าไม่มีก็ด้วยการดื่มน้ำเล็กน้อย ในขณะที่ผู้ถือศีลอดละศีลอด ร่างกายของเขากำลังต้องการอาหารประเภทน้ำตาล ซึ่งสามารถจะถูกดูดซับเข้าสู่เลือดได้อย่างรวดเร็วและขจัดความหิวโหยให้หมดไปในขณะเดียวกันนั้นร่างกายของเขาก็ต้องการน้ำด้วยและการละศีลอดด้วยน้ำและอินทผลัมก็ให้ทั้ง 2 ประการ นั่นคือการขจัดความหิวและขจัดความกระหาย

นอกจากนั้นทั้งอินทผลัมสดและแห้งยังอุดมด้วยเส้นใยที่จะช่วยป้องกันการท้องผูกและยังทำให้รู้สึกอิ่ม ดังนั้นภายหลังจากที่ผู้ถือศีลอดละศีลอดด้วยอินทผลัมแล้ว เขาจึงไม่มีความยากที่จะรับประทานอาหารอื่นในปริมาณมากๆ อีก

ข้อที่ 4 จงแบ่งการละศีลอดเป็น 2 ช่วง

ท่านร่อซูล ( ศ้อลฯ ) จะรีบละศีลอดด้วยอินทผลัมหรือน้ำต่อจากนั้นก็จะรีบไปละหมาดมัฆริบเสร็จแล้วจึงกลับมารับประทานอาหารละศีลอดต่อ การรับประทารอินทผลัมเล็กน้อยและน้ำจะเป็นการกระตุ้นกระเพาะอาหารอย่างแท้จริง และในขณะที่กำลังละหมาดมัฆริบนั้น กระเพาะก็จะดูดซับสารน้ำตาลและน้ำ ทำให้ความรู้สึกหิวกระหายเลือนหายไป ครั้นเมื่อผู้ถือศีลอดละหมาดเสร็จ และกลับมารับประทานอาหารปริมาณมากๆ ในคราวเดียวและอย่างเร่งรีบนั้น จะทำให้กระเพาะอาหารโป่งพอง ลำใส้เกิดอาการปั่นป่วนและอาหารย่อยยาก

ข้อที่ 5 จงเลือกอาหารที่ถูกอนามัย และมีสารอาหารครบถ้วน

อาหารที่ท่านรับประทานควรมีความหลากหลาย และมีสารอาหารครบทุกหมู่และควรให้อาหารมื้อละศีลอดมีสลัดผักมากๆ เพราะนอกจากมันจะอุดมไปด้วยเส้นใย ซึ่งช่วยไม่ให้ท้องผูกแล้ว มันยังทำให้รู้สึกอิ่มอันจะทำให้ไม่ต้องรับประทานอาหารมื้อนั้นในปริมาณมากๆ อีกด้วยและพึงหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ใส่เครื่องเทศ เครื่องชูรส และที่มีรสเปรี้ยวจัด รวมทั้งอาหารทอดและย่าง เพราะอาจทำให้ย่อยยากและลำใส้ปั่นป่วนได้

ข้อที่ 6 "พวกท่านจงรับประทานอาหารสะหู้รเถิด แท้จริงในอาหารสะหู้รนั้นมีความจำเริญ " อัลหะดีษ บันทึกโดยบุคอรียและมุสลิม

ท่านร่อซูล (ศ้อลฯ) ได้สั่งเสียในหะดีษดังกล่าวถึงความจำเป็นในการรับประทานอาหารสะหู้ร เพราะอาหารสะหู้รจะช่วยให้เราไม่รู้สึกอ่อนเพลีย และปวดศีรษะในตอนกลางวันของรอมฏอน และยังจะช่วยบรรเทาความกระหายน้ำอย่างรุนแรงอีกด้วย นอกจากนั้น ท่านรอซูล (ศ้อลฯ) ยังส่งเสริมให้ล่าช้าในการรับประทานอาหารสะหู้ร ท่านกล่าวว่า : "ประชาชาติของฉันจะยังคงอยู่ในความดีงามตราบที่พวกเขาล่าช้าในการรับประทานอาหารสะหู้รและรีบละศีลอด " อัลหะดีษ บันทึกโดย อะหมัด

และควรให้อาหารสะหู้รเป็นอาหารที่ย่อย เช่น นมโยเกิร์ต น้ำผึ้ง และผลไม้ต่างๆ เป็นต้น

ข้อที่ 7 พึงหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้กระหาย

พึงหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือเผ็ดจัดและอาหารที่ใส่เครื่องเทศและเครื่องชูรสมากๆ โดยเฉพาะมื้อสะหู้ร เพราะอาหารจำพวกนี้จะยิ่งเพิ่มความรู้สึกกระหายน้ำ และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกระป๋อง และอาหารประเภทฟาส์ทฟู้ด และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่ไม่ควรให้มากจนเกินไป

ข้อที่ 8 ข้อแนะนำเพื่อไม่ให้ท้องผูก

หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่มักจะมีอาการท้องผูก ก็ให้รับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากๆ เช่น สลัดผัก ผักและผลไม้ชนิดต่างๆ และจงหลีกเลี่ยงการรับประทานขนมหวาน โดยให้รับประทานผลไม้แทน และจงทำละหมาดตะรอเวียหอย่างสม่ำเสมอ และบริหารร่างกายหรือออกกำลังกายอย่างที่เคยปฏิบัติ

ข้อที่ 9 พึงหลีกเลี่ยงการนอนหลังการละศีลอด

ผู้ถือศีลอดบางคนชอบที่จะนอนหลังการรับประทานอาหารละสีลอด อันที่จริงการนอนหลังอาหารมื้อใหญ่ และมากไปด้วยไขมันนั้นจะเพิ่มความเฉื่อยชาและเกียจคร้านให้มากขึ้น ข้อแนะนำสำหรับผู้นิยมการนอนหลังอาหารละศีลอดก็คือให้รับประทานอาหารละศีลอดในปริมาณพอสมควรให้ทำการละหมาดอิชาอและละหมาดตะรอเวียห ซึ่งอิริยาบทต่างๆ ในการละหมาดจะช่วยให้อาหารย่อยและทำให้ผู้ถือศีลอดกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและกระชุ่มกระช่วยขึ้น

ข้อที่ 10 รอมฏอน : โอกาสของการเลิกสูบบุหรี่

เป็นที่ยืนยันว่าประโยชน์ของการเลิกสูบบุหรี่ที่ผู้เลิกสูบจะได้รับนั้นจะเริ่มตั้งแต่วันแรกที่เลิกสูบเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะเมื่อใดที่เขาหยุดสูบบุหรี่เลือดของเขาก็จะเริ่มมีโอกาสดูดซับอ๊อกซิเจนไปหล่อเลี้ยง และยังจะทำให้หัวใจทำงานเบาขึ้นหลังจากที่ต้องทำงานหนักมาโดยตลอดในช่วงสูบบุหรี่

รอมฏอนจึงเป็นโอกาสดีสำหรับท่านที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาดเมื่อท่านสามารถงดสูบบุหรี่เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ตลอดกลางวันของรอมฏอนได้แล้วทำไมท่านจะไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาดได้ทีเดียวหรือ แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องที่เกินกำลังความสามารถของท่านเลย เพียงแต่ท่านจะต้องมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเลิกมันเท่านั้น และพึงระลึกอยู่เสมอถึงผลร้ายหรือโทษของบุหรี่ที่มีต่อตัวของผู้สูบเองและต่อผู้คนที่อยู่รอบข้าง

ข้อที่ 11 "ถ้าเป็นวันถือศีลอดของคนหนึ่งในหมู่พวกท่าน เขาจะต้องไม่เกี้ยวพาราศีและจะต้องไม่โกรธฉุนเฉียว " อัลหะดีษ บันทึกโดย บุคอรียและมุสลิม

นอกจากความโกรธฉุนเฉียวจะเป็นอารมณ์ที่ผู้ถือศีลอดไม่ควรให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่ท่านร่อซูล (ศ้อลฯ) ห้ามแล้ว อารมณ์โกรธฉุนเฉียวยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย กล่าวคือขณะเกิดอารมณ์โกรธหรือโมโหนั้น ร่างกายจะขับฮอร์โมนแอ็ดรีนาลีนออกมาในปริมาณมากกว่าปรกติ และถ้าหากอารมณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงแรกที่เริ่มถือศีลอด ซึ่งเป็นเวลาที่อาหารสะหู้รกำลังถูกย่อย ก็อาจจะทำให้ระบบการย่อยปั่นป่วนและการซึมซับไม่ดี แต่ถ้าเกิดขึ้นในช่วงกลางวัน ก็จะทำให้สารกลีโคเจนบางส่วนในตับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกูโคซ ซึ่งสร้างพลังงานให้กับร่างกาย ทำให้ผู้มีอารมณ์โกรธมีความอยากที่จะใช้กำลังเข้าต่อสู่ประหัดประหารคู่กรณี ซึ่งพลังงานดังกล่าวเป็นพลังงานที่สูญเปล่าไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้นั้นกำลังอยู่ระหว่างถือศีลอด

และในบางครั้งการเพิ่มของปริมาณฮอร์โมนแอ็ดรีนาลีนมากๆ ก็จะทำให้ผู้ที่เคยมีอาการเจ็บหรือแน่นหน้าอก เกิดอาการดังกล่างขึ้นอีก นอกจากนั้นการเกิดอารมณ์เครียดบ่อยๆ ยังจะเป็นสาเหตุของการเกิดโคเลสเตอรอลชนิดหนึ่ง ซึ่งมี่ส่วนสำคัญในการให้เส้นเลือดแข็งตัว

ข้อที่ 12 ข้อแนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

ก่อนที่หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจะถือศีลอดนางควรปรึกษาแพทย์หากแพทย์อนุญาต นางจึงถือศีลอด แต่ไม่ควรรับประทานอาหารละศีลอดในปริมาณที่มากเกินไป ให้รับประทานแต่พอประมาณ และควรแบางการรับประทานอาหารละศีลอดเป็น 2 มื้อ มื้อแรกเมื่อได้เวลาละศีลอด และมื้อที่ 2 ให้ห่างกับมื้อแรกประมาณ 4 ชั่วโมง และในการรับประทานอาหารสะหู้รควรจะล่าช้ามากที่สุดและควรรับประทานอาหารประเภทนมโยเกิร์ตให้มากและควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและขนมหวาน

นอกจากนั้นหญิงที่ให้นมบุตรยังควรที่จะจัดเตรียมน้ำและอาหารเหลว เพื่อให้เด็กได้รับประทานควบคู่ไปกับการให้นมของนางขณะถือศีลอด และอาหารที่นางรับประทารเองทั้งมื้อละสีลอด และมื้อสะหู้รควรเป็นอาหารที่เหมาะสมทั้งปริมาณและคุณภาพ และถ้าเป็นไปได้ก็ควรให้นมเด้กบ่อยครั้งในช่วงหลังละสีลอดถึงสะหู้ร และเมื่อใดที่รู้สึกอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อยก็ให้รีบละศีลอด และปรึกษาแพทย์

ข้อที่ 13 จงฝึกเด็กๆ ให้ถือศีลอดด้วยความนุ่มนวลและอ่อนโยน

ผู้ปกครองควรที่จะฝึกให้บุตรหลานถือศีลอดตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และเมื่ออายุได้ 10 ขวบ พวกเขาก็น่าที่จะสามารถถือศีลอดได้อย่างจริงจังแล้วอย่างไรก็ดี ไม่ควรลงโทษพวกเขาด้วยการตี หรือบังคับขู่เข็ญจนเกินควร เพราะอาจทำให้พวกเขาแอบรับประทานอาหารโดยไม่ให้ผู้ปกครองเห็น หรืออาจทำให้พวกเขาเพิ่มนิสัยที่ไม่ซื่อสัตย์มากขึ้น และควรฝึกให้พวกเขาถือศีลอดอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี ในลักษณะที่นุ่มนวลและค่อยเป็นค่อยไปในขณะเดียวกัน บิดามารดาหรือผู้ปกครองก็จะต้องคอยสังเกตบุตรหลานในขณะที่พวกเขาถือศีลอดด้วยหากพบว่าพวกเขามีอาการป่วยหรืออ่อนเพลียจนเกินไป ก็จงให้พวกเขารีบละสีลอดและขอเรียนว่ามีโรคบางชนิดที่ทำให้เด็กๆ ไม่สามารถถือศีลอดได้ นั่นคือโรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง และโรคเกี่ยวกับไต เป็นต้น

อนึ่ง ผู้ปกครองของเด็กๆ ควรให้บุตรหลานของท่านได้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบทุกหมู่ ทั้ง 2 มื้อ คือมื้อละศีลอดและมื้อสะหู้ร

ข้อที่ 14 " ผู้ใดที่เจ็บป่วย หรืออยู่ในระหว่างเดินทาง ก็ให้ถือศีลอดในวันอื่น " อัลบะเกาะเราะฮ อายะฮ 184

นับเป็นความเมตตาของอัลลอฮตะอาลาที่ทรงผ่อนผันให้ผู้ป่วยไม่ต้องถือศีลอดในรอมฏอน ฉะนั้นหากแพทย์มุสลิมบอกกับผู้ป่วยคนใดว่า หากเขาถือศีลอดจะทำให้อาการป่วยเพิ่มมากขึ้นหรืออาจถึงแก่ชีวิตในกรณีนี้เขาก็จำเป็นจะต้องงดการถือศีลอด

นอกจากผู้ป่วยจะได้รับการผ่อนผันโดยไม่ต้องถือศีลอดแล้ว ผู้เดินทางก็ยังได้รับการผ่อนผันในลักษณะเดียวกัน แต่ถ้าบุคคลทั้ง 2 ประเภทสามารถถือศีลอดได้แม้จะด้วยความยากลำบาก ก็คือว่า การถือศีลอดของเขาใช้ไม่ได้ และไม่จำเป็นจะต้องถือศีลอดใช้แต่ถ้าการถือศีลอดจะทำให้เขาได้รับอันตรายอย่างร้ายแรงดังกล่าวแล้ว การถือศีลอดของเขาก็ไม่ถือว่าเป็นความดีงามแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าผู้ป่วยจะอยู่ในฐานะที่อันตรายกว่าผู้เดินทางในการที่จะถือศีลอด เพราะในการที่ผู้เดินทางได้รับการผ่อนผันให้ไม่ต้องถือศีลอดนั้นก็เนื่องจากเกรงว่าเขาจะป่วย ฉะนั้นผู้ที่เจ็บป่วยอยู่แล้วจึงยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีกอัลลอฮตะอาลาจึงได้ทรงกล่าวคำว่า " ผู้ป่วย " ก่อน " ผู้ที่อยู่ระหว่างการเดินทาง " ในอายะฮดังกล่าว

ข้อที่ 15 หากท่านเจ็บป่วย ก็จงปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มถือศีลอด

ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับหัวใจจำนวนไม่น้อยที่สามารถถือศีลอดได้เนื่องจากในช่วงเวลากลางวันเมื่อไม่มีการย่อยอาหาร กล้ามเนื้อหัวใจก็ทำงานน้อยลง และได้พักผ่อนมากขึ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อมีการย่อยอาหารนั้นร้อยละ 10 ของเลือดหัวใจสูบฉีดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายจะต้องถูกส่งไปเลี้ยงอวัยวะที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร

สำหรับผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง ตามปรกติแล้วจะสามารถถือศีลอดได้ แต่จะต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและในขณะนี้ก็มียาหลายชนิดที่ผู้ป่วยสามารถจะรับประทานเพียงแค่วันละ 1 – 2 ครั้งเท่านั้น แต่ผู้ป่วยเหล่านี้จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มและเปรี้ยวจัด และรับประทานอาหารที่ใส่เกลือสมุทรให้น้อยลง ส่วนผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่รุ่นแรงและเฉียบพลัน โดยทั่วไปก็สามารถถือศีลอดได้ แต่จะต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ดี ก็มีผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการทางหัวใจบางอย่างที่ไม่สามารถถือศีลอดได้อย่างเช่น ผู้ป่วยด้วยโรคก้อนเลือดแข็ง ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นอ่อนอย่างรุนแรง และผู้ที่มีอาการเจ็บเสียดหน้าอกอย่างเฉียบพลัน เป็นต้น

ข้อที่ 16 คำแนะนำสำหรับผู้เป็นนิ่วในไต

หากผู้ถือศีลอดไม่เคยเป็นนิ่วในไตมาก่อน ก็ไม่จำเป็นจะต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด แต่ถ้าเขามีอาการดังกล่าวอยู่หรือเคยมีประวัติการเป็นนิ่วในไตมาก่อนอาการของเขาอาจจะกำเริบขึ้นอีกได้ หากไม่ได้ดื่มน้ำหรือรับอาหารเหลวในปริมาณที่เพียงพอ

ผู้ป่วยด้วยโรคนิ่วในไต ควรที่จะงดการถือศีลอดในวันที่มีอากาศร้อนจัดเพราะปริมาณปัสสาวะจะลดลงอย่างมาก ซึ่งก็คงจะต้องให้แพทย์ผู้รักษาเป็นผู้วินิจฉัยว่าเขาจะสามารถถือศีลอดได้หรือไม่

อย่างไรก็ดี ขอแนะนำว่าผู้ป่วยโรคนิ่วในไตควรรับประทานน้ำ และอาหารเหลวให้มากทั้งในตอนกลางคืนและมื้อสะหู้รและควรหลีกเลี่ยงอากาศร้อนและการใช้กำลังงานมากๆ ในตอนกลางวัน นอกจากนั้นยังควรลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้น้อยลงรวมทั้งของขบเคี้ยวต่างๆ

ข้อที่ 17 คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

หากแพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานถือศีลอดได้ เพราะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดและรับประทานอาหารตามที่แพทย์สั่งทั้งประเภทและปริมาณอาหารที่รับประทานควรแบ่งออกเป็น 3 มื้อ ในปริมาณเท่ากันคือเมื่อละศีลอด เมื่อเสร็จจากละหมาดอิชาอและเมื่อเวลาอาหารสะหู้รและควรจะล่าช้าในการรับประทานอาหารสะหู้รมากที่สุดที่จะทำได้และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังงานขณะถือศีลอด โดยเพาะในช่วงสุดท้ายของวัน คือระหว่างช่วงเวลาอัคริและมัฆริบ

หากผู้ป่วยรู้สึกว่าปริมาณน้ำตาลลดลงมาก ก็ให้รีบละศีลอดโดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลา แม้ว่าใกล้เวลาจะละศีลอดแล้วก็ตาม

ข้อที่ 18 คำแนะนำสำหรับผู้ที่อาหารไม่ย่อยหรือย่อยมาก

ผู้ป่วยเกี่ยวกับอาหารไม่ย่อยหรือย่อยยากจำนวนไม่น้อยที่มีอาการดีขึ้นในเดือนรอมฏอน แต่นั่นไม่รวมถึงผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้และผู้ที่มีอาการอักเสบในหลอดอาหารหรือมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะอื่นๆ

ขอแนะนำให้ผู้ป่วยเหล่านั้นรับประทานอาหารในปริมาณน้อยๆ แต่ให้หลายๆ ครั้ง ไม่ควรรับประทานคราวละมากๆ และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน ขนมหวาน อาหารที่ใส่เครื่องเทศหรือเครื่องชูรส และอาหารที่ปิ้งหรือย่าง

ข้อที่ 19 คำแนะนำสุดท้าย : เราถือศีลอดในเดือนรอมฏอนกันจริงหรือ?

ในช่วงกลางวันของรอมฏอน เราจะถือศีลอด และประกอบอาชีพเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยยังชีพที่หะล้าล ส่วนในตอนกลางคืนเราจะละหมาดตะรอเวียหขอดุอาอ ขออภัยโทษต่ออัลลอฮและขอความเมตตาจากพระองค์

แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก ที่พวกเราบางคนไม่ได้ถือศีลอดตามที่ศาสนากำหนด โดยเขาจะใช้เวลาเกือบตลอดทั้งวันไปกับการนอน และมีอารมณ์โกรธฉุนเฉียวโดยปราศจากสาเหตุอันควร โดยอ้างว่าเพราะเขาถือศีลอด การถือศีลอดของเขาจึงถือความเกียจคร้านและความฉุนเฉียวในเวลากลางวัน และการรับประทานจนอิ่มแปร้ และการอดนอนไปกับสรวลเฮฮาและสิ่งไร้สาระในตอนกลางคืน

เป็นการสมควรแล้วหรือที่เราจะปล่อยให้เดือนอันประเสริฐ และเต็มไปด้วยความดีงามนี้ ผ่านไปในลักษณะเช่นนี้ปีแล้วปีเล่า

เราควรจะได้ฉกฉวยโอกาสแห่งเดือนอันประเสริฐนี้สะสมความดีงามให้มากที่สุด ด้วยการภักดี และอิบาดะฮต่ออัลลอฮ ขอความเมตตาและขออภัยโทษต่อพระองค์เพราะไม่แน่ว่า เราจะมีโอกาสได้พบกับรอมฏอนในปีหน้าหรือเปล่า

จัดทำโดย อ.มุฮัมมัด สืบสันติวรพงษ์

อัพเดทล่าสุด