5 ข้อควรรู้ก่อนทาน “ทุเรียน” ทานไม่ระวังเสี่ยงเสียชีวิต


2,902 ผู้ชม


ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นเฉพาะตัว ซึ่งเป็นส่วนผสมของสารระเหยที่ประกอบไปด้วยเอสเทอร์ คีโตน และสารประกอบกำมะถัน บางคนบอกว่าทุเรียนมีกลิ่นหอม ในขณะที่บางคนบอกว่ามีกลิ่นเหม็นรุนแรงจนถึงขั้นสะอิดสะเอียน ทำให้มีการห้ามนำทุเรียนเข้ามาในโรงแรมและการขนส่งสาธารณะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ทั้งยังอุดมไปด้วยกำมะถันและไขมัน จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเป็นเบาหวาน

ช่วงนี้อากาศบ้านเราร้อนจริงๆ ว่าไหมคะ มีข่าวคนเสียชีวิตจากอากาศร้อน หรือ ฮีทสโตรก ก็มากมาย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยทีเดียว แต่สิ่งที่ดีของอากาศร้อน คือ ผลไม้หน้าร้อนผลิดอกออกผลให้เราเลือกทานมากมาย โดยเฉพาะ “ทุเรียน”

แต่ทราบหรือไม่คะว่า ทุเรียน ถึงจะอร่อยดีมีประโยชน์ แต่หากไม่ถูกวิธีก็เป็นอันตรายต่อชีวิตได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก่อานทานทุเรียน เรามาอ่าน “5 ข้อควรรู้ก่อนทานทุเรียน” กันก่อนดีกว่า

1. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่แคลอรี่สูง เพราะทุเรียน 4-6 เม็ด ให้ปริมาณแคลอรี่ถึง 400 กิโลแคลอรี่ เทียบเท่าน้ำอัดลม 2 กระป๋อง หรือข้าว 1 จานเต็มๆ เพราะฉะนั้นทานเพลินระวังน้ำหนักขึ้นนะเออ

2. ทุเรียน มีปริมาณน้ำตาลสูงมากอีกเช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง 

3. นอกจากผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้ว ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง หัวใจ เส้นเลือด และไขมันในเลือด ควรทานทุเรียนให้น้อยที่สุด

4. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน ทานเพียวๆ ก็มีฤทธิ์ร้อนอยู่แล้ว หากทานพร้อมกับแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเหล้า เบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆ ก็ตาม จะยิ่งทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายมากขึ้น ร่างกายจะเกิดความร้อนสูง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

5. ในเมื่อทุเรียนให้พลังงานสูง ดังนั้นมื้อใด หรือวันไหนที่ทานทุเรียน ควรหลีกเลี่ยงอาหารอื่นๆ ที่ให้พลังงานสูงด้วยเช่นกัน เช่น อาหารประเภททอด อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ อาหารหวานมันอื่นๆ หรือลองลดปริมาณอาหารลงส่วนหนึ่งในมื้อถัดไป ถ้าเป็นไปได้ควรออกกำลังกายเพิ่มด้วย เพื่อเผาผลาญพลังงานที่ได้รับเพิ่มเข้าไป

เราไม่ได้ห้ามว่า ห้ามทานทุเรียน แต่ก่อนทานทุเรียนจะต้องมีสติให้มากๆ รู้ตัวว่าทานไปมากเท่าไรแล้ว ห้ามปากห้ามใจตัวเองได้ พร้อมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากทำได้ตามนี้ รับรองว่าทานทุเรียนได้อิ่มอร่อย ปลอดภัยต่อร่างกาย ไม่มีเรื่องต้องกังวลใจแน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
ภาพประกอบจาก istockphoto
health.sanook.com

อัพเดทล่าสุด