วิธีกำจัดกลิ่นเหม็นในห้องน้ำ แบบปลอดภัยและได้ผลแน่นอน!
ห้องน้ำที่บ้านถือเป็นห้องที่คุณจะต้องใส่ใจกับมันมากเป็นพิเศษ เพราะบางคนใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำของตนเองเป็นชั่วโมงสองชั่วโมงต่อวัน
หากปล่อยให้ห้องน้ำสกปรก คุณก็คงไม่สามารถปลดเปลื้องความทุกข์ได้อย่างสนิทใจแน่ๆ แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อห้องน้ำของตนมีกลิ่นเหม็นไม่รู้จบ อาจจะเป็นเพราะสุขลักษณะส่วนบุคคลหรือเป็นเพราะการออกแบบที่ไม่ดีมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด วันนี้เรามีวิธีง่ายๆที่จะช่วยคุณดับกลิ่นเหม็นในห้องน้ำกัน มาดูกันดีกว่าว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
กลิ่นเหม็นในห้องน้ำ เกิดจากอะไรได้บ้าง
1. การสะสมจากของเสียที่ใช้ประจำวัน เช่น น้ำสบู่ น้ำแชมพู ปัสสาวะ และอื่นๆ ของเสียเหล่านี้จะถูกชะล้างลงตามท่อน้ำทิ้ง และมีบางส่วนเกาะติดอยู่ข้างท่อน้ำทิ้ง ซึ่งเมื่อนานๆเข้าของเสียเหล่านี้จะส่งกลิ่นเหม็นลอยขึ้นมาตามท่อน้ำทิ้ง
2. ท่อน้ำทิ้งนั้นต่อตรงเข้ากับบ่อเกรอะ การที่ท่อน้ำทิ้งต่อตรงเข้ากับบ่อเกรอะ ซึ่งพบมากในบ้านรุ่นเก่าๆ ยิ่งช่วงไหนที่ฝนกำลังตกหรือฝนตกใหม่ๆจะมีกลิ่นจากบ่อเกรอะลอยขึ้นมาตามท่อน้ำทิ้งได้ หรือถ้าอยู่ใกล้กับห้องแอร์ ก็จะดูดกลิ่นเหล่านี้เข้าไปภายในห้องแอร์ด้วยได้
วันนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธี “กำจัดกลิ่นเหม็นในห้องน้ำ” ด้วยวิธีที่ “ปลอดภัยและได้ผล” ให้คุณได้ทราบกัน วิธีนี้ไม่ยากและเป็นมิตรกับสุขภาพของคุณอย่างมาก ตามมาดูกันเลย
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. น้ำมะนาว
2. เบกกิ้งโซดา
3. น้ำส้มสายชู
วิธีทำ
บริเวณชักโครก
1. ผสมน้ำมะนาวกับเบกกิ้งโซดา กวนผสมให้เข้ากัน
2. ใช้เศษผ้าหรือแปรงชุบส่วนผสมนั้น แล้วนำมาเช็ดหรือขัดให้ทั่วฐานชักโครก รวมไปถึงส่วนอื่นๆ ของชักโครกด้วย
3. ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 10-15 นาที
4. ใส่น้ำส้มสายชูลงในขวดสเปรย์ จากนั้นนำมาพ่นน้ำให้ทั่วในบริเวณที่ทาเบกกิ้งโซดาและน้ำมะนาวเอาไว้ เมื่อน้ำส้มสายชูทำปฏิกิริยากับเบกกิ้งโซดาและมะนาว จะเกิดเสียงฟู่ขึ้น การผสมกันของทั้งสามตัวนี้จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกและลดกลิ่นเหม็นลงได้
5. ใช้เศษผ้าหมาดๆ เช็ดซ้ำอีกรอบให้สะอาด
บริเวณท่อน้ำทิ้ง
1. ใส่เบกกิ้งโซดา 2-3 ช้อนโต๊ะลงไปในท่อได้เลย
2. ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงเทน้ำร้อนตามลงไป
การทำความชักโครกหรือท่อระบายน้ำด้วยวิธีเช่นนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยให้กลิ่นเหม็นที่คุณเป็นกังวลค่อยๆจางหายไปได้ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาขัดห้องน้ำสูตรพิเศษให้ยุ่งยาก
ถ้าไม่อยากสัมผัสกับสารเคมีมากเกินไป ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีธรรมชาติๆแบบนี้ดีกว่า รับรองว่าได้ผลดีไม่ต่างกันแน่นอน ที่สำคัญคือปลอดภัยกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณแน่ๆ ลองดู
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก: home.sanook.com, kaijeaw.com