9 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ การเลี้ยงลูก คนเป็นแม่ต้องรู้!


2,266 ผู้ชม

สุขภาพของลูกใช้ความเชื่อไม่ได้ ต้องใช้หลักความจริงและผ่านการพิสูจน์ทดลองทางวิยาศาสตร์การเเพทย์ จะดีกว่าปลอดภัยกว่า การเลี้ยงลูกจากอดีต ถึงปัจจุบัน...


9 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ การเลี้ยงลูก  คนเป็นแม่ต้องรู้!

สุขภาพของลูกใช้ความเชื่อไม่ได้ ต้องใช้หลักความจริงและผ่านการพิสูจน์ทดลองทางวิยาศาสตร์การเเพทย์ จะดีกว่าปลอดภัยกว่า การเลี้ยงลูกจากอดีต ถึงปัจจุบันมีบางเรื่องต้องอาศัยภูมิปัญญาของคนเฒ่าคนแก่ แต่บางเรื่องพิสูจน์แล้วว่า ไม่จริงเราก็ต้องปรับทัศนคติกันใหม่  และความเชื่อเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกในอดีตที่ไม่สอดคล้องกับการแพทย์แผนปัจจุบันมีดังต่อไปนี้

1.ปัสสาวะกวาดลิ้น รักษาลิ้นเป็นฝ้าของลูก

ในปัสสาวะมีสารยูเรีย และอาจปนเปื้อนเชื้ออย่างอื่น แพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้ปัสสาวะกวาดลิ้น การที่ลูกน้อยเป็นฝ้าขาว สามารถป้องกันได้ ด้วยการเช็ดความความสะอาดลิ้นใช้ผ้าสะอาด หรือผ้ากล๊อซ ชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว หรือ น้ำเกลือนอร์มัลซาไลน์ เช็ดถูบริเวณเหงือกและลิ้นวันละ 2- 3 ครั้งช่วยป้องกันลิ้นเป็นฝ้าได้ หรือในเด็กที่เป็นฝ้าขาวที่ลิ้นแล้วสามารถใช้ยาทาแผนปัจจุบันทารักษาให้หายขาดได้

2.ลูกคิ้วโก่ง จากกานพลู ดกดำจากอัญชัญ 

คิ้วโก่งหรือดกดำได้จากพันธุกรรม คิ้วโก่งจากการขีด เขียน วาด จากกานพลู ไม่เป็นเรื่องจริง แต่ดอกอัญชัญ นักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์พบว่ามีสารแอนโทไซยานิน (anthocyanin) ช่วยกระตุ้นการงอกของขน ผม และดกดำได้จริง แต่ต้องทำความสะอาดอย่างดีก่อนนำไปใช้กับทารก เพราะเสี่ยงต่อการแพ้ได้ หากต้องการให้ผมดกดำแพทย์แนะนำให้บำรุงด้วยสารอาหารเมื่ออายุ 6 เดือน  ได้แก่อาหารกลุ่มเมล็ดธัญพืช

3.ดัดขาให้ลูกตั้งแต่แรกเกิดถ้าไม่ดัดขาจะโก่งหรือเลี้ยงเเพมเพิสขาจะโก่ง 

ขาของลูกจะโก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับกรรมพันธ์และโครงสร้างของกระดูก ตามสรีระกระดูกของเด็กแรกเกิดจะมีลักษณะโก่งเป็นธรรมชาติ เมื่ออายุมากขึ้นกระดูกกขาจะได้รูปและตรงเป็นปกติ แต่ในทางกลับกัน หากดัดบ่อยๆ จากกระดูกที่ตรงอยู่แล้วอาจผิดรูปได้  การสวมใส่เเพมเพิสไม่ได้ส่งผลต่อสรีระของกระดูกแต่อย่างใด จึงไม่มีผลตามที่หลายคนกล่าวอ้าง

4.งัดดั้งได้ ยิ่งบีบยิ่งโด่ง 

จมูกโด่งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับกรรมพันธ์อีกแล้วค่ะ ผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณสันจมุกของลุกน้อยค่อนข้างบาง หากถูกจับบ่อยๆ อาจบอบช้ำ และอักเสบ กุมารแพทย์เผย ทารกแรกเกิดมาพบเเพทย์ด้วยเนื้อเยื้อบริเวณสันจมุกอักเสบติดเชื้อจากแม่พยายามบีบ เพราะฉะนั้นอย่าทำเลยค่ะ เพราะเป็นการทรมารลูกน้อยของคุณด้วยมือคุณเอง หากลูกจมูกไม่ได้รูปจริง สามารถแก้ไขจุดบกพร่องได้โดยเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญในช่วงอายุที่เหมาะสม

5.นมเหลืองให้บีบทิ้ง ไม่มีประโยชน์

หากคุณเชื่อ ถือว่าคุณพลาดอย่างมากค่ะ เพราะคุณได้ทิ้งวิตามมินขั้นเทพของลูกไปอย่างน่าเสียดาย น้ำนมเหลือง ทางการแพทย์เรียกว่า Colostrum น้ำนมเหลือง คือน้ำนมแม่ที่หลั่งออกวันแรก ๆ หลังคลอด มีลักษณะสีเหลืองและข้นกว่าน้ำนมปกติ มีความเข้มข้นของ แคลเซียม, โพแทสเซียม, โปรตีน , วิตามิน , เกลือแร่ และภูมิต้านทาน สูงกว่าน้ำนมปกติ ร่างกายแม่หลังคลอดสามารถสร้างน้ำนมเหลือง 100 ml ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด มีสารภูมิคุ้มกันในปริมาณสูง ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ซึ่งมีโอกาสเกิดภาวะติดเชื้อประมาณร้อยละ 10 ของการคลอด ประโยชน์มากมายมหาศาลหากบีบทิ้งเสียดายแย่ ที่สำคัญลูกพลาดโอกาสดีๆไปอย่างไม่น่าให้อภัยเพราะคลอด 1 ครั้งแม่ถึงจะมีน้ำนมเหลืองได้

6.นมแม่หลัง 1 ปีไม่มีประโยชน์

เรื่องนี้ถกเถียงกันมากในปัจจุบัน น้ำนมแม่ในวันแรกมีสารอาหารอย่างไร 1 – 2 – 3 ผ่านไป หรือกี่ปีก็ตาม คุณค่าของน้ำนมไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ยังคงเป็นนมที่ดีที่สุดและเหมาะที่สุดสำหรับลูก ปัจจุบันองค์กรแพทย์ รณรงค์ให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 1 ปีแล้วนะคะ หรือนานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ค่ะ

7.หลังคลอดอย่ากินไข่ เดี๋ยวแผลนูน 

คนสมัยก่อนห้ามทานไข่เพราะเชื่อว่าแผลจะดำ แผลจะนูน ปูดบวม อักเสบและไม่สวย แต่ความจริงนั้นแม่หลังคลอดร่างกายอ่อนเพลียมาก ร่างกายต้องการพลังงานและสารอาหาร  สารอาหารที่ช่วยซ่อมแทรมส่วนที่สึกหรอได้ดีที่สุดก็คือ โปรตีน และยังเป็นแหล่งสร้งน้ำนมที่ดีด้วย แม่หลังผ่าคลอดและหลังคลอดทั่วไปรับประทานไข่ได้ตามปกติ

8.น้ำนมแม่รักษาตาอักเสบ 

ในน้ำนมแม่มีโปรตีนอยู่หลากหลายชนิดหลายคนอาจเเพ้โปรตีนจากน้ำนมแม่ได้ หากเก็บน้ำนมไม่ภถูกวิธี อาจปนเปื้อนเชื้อโรคได้ การใช้น้ำนมรักษาตาอักเสบติดเชื้อ แพทย์ไม่แนะนำให้ทำ อาจติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและอันตราย ในบุคคลที่ใช้นมของคนอื่นจะทราบได้อย่างไรว่าน้ำนมปลอดเชื้อจริง ตาแดงตาอักเสบเกิดจากหลายสาเหตุ อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  เชื้อไวรัส หรือเชื้ออื่นๆการพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุจะตรงจุดและรักษาได้ตรงโรคมากกว่า

9.ป้อนข้าว ป้อนน้ำก่อน 6 เดือน 

คุณย่าคุณยายจับเด็กๆกินข้าว กินกล้วย เพราะความรักความเป็นห่วงใย( ที่ไม่ถูกต้อง ) อยากให้ลูกหลานโตเร็วๆ โดยมีคำกล่าวเสมออๆ ว่า ก็เลี้ยงมาแบบนี้ตั้งแต่สมัยโน้นไม่เห้นเป็นอะไร หากเราย้อนทบทวนกลับไปเมื่อ 30 – 40 ปีที่แล้ว สถิติการเสียชีวิตของเด็กอ่อน ไม่ทราบสาเหตุมีจำนวนมากเนื่องจากเครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย มาโรงพยาบาลด้วยอาการท้องโต ท้องบวม หรือตายที่บ้านก็มากมาย ปัจจุบันการแพทย์พัฒนามากขึ้น พบสถิติเด็ก 1 – 4 เดือนกระเพาะอาหารทะลุ กระเพาะแตกก็มากมาย เพราะระบบย่อยอาหารยังไม่พร้อม กุมารแพทย์แนะนำ ป้อนอาหารเสริมมื้อแรก เมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไปจะดีที่สุด

บางความเชื่อแทบจะไม่อิงหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์เลยด้วยซ้ำ ลูกของเรา เราจะเลี้ยงอย่างไรนั้นเป็นเรื่องจริง แต่การเลี้ยงลูกอย่างถูกต้องตามหลักปฎิบัติ ช่วยให้สุขภาพลูกปลอดภัยมากกว่า Mama Expert เชื่อว่า คุณแม่ทุกคนรักและหวงแหนลูกยิ่งกว่าสิ่งใด เรามามอบสิ่งดีๆ ดีต่อสุขภาพลุกไปด้วยกัน

ที่มา: https://www.mamaexpert.com/topic/12073

อัพเดทล่าสุด