หลายคนคงจะไม่คุ้นหูกับชื่อของ โรคกลีบกุหลาบ (pityriasis rosea)ซักเท่าไหร่ โดยโรคนี้เป็นอาการผื่นแพ้ที่ผิวหนัง ซึ่งจะมีลักษะเฉพาะตัว เริ่มแรกจะมีผื่นที่เรียกว่า ผื่นแจ้งข่าว
หลายคนคงจะไม่คุ้นหูกับชื่อของ โรคกลีบกุหลาบ (pityriasis rosea)ซักเท่าไหร่ โดยโรคนี้เป็นอาการผื่นแพ้ที่ผิวหนัง ซึ่งจะมีลักษะเฉพาะตัว เริ่มแรกจะมีผื่นที่เรียกว่า ผื่นแจ้งข่าว ลักษณะเป็นผื่นสีชมพูรูปไข่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 เซนติเมตร มีขุยเป็นเส้นตามเส้นรอบวง ลักษณะคล้ายผื่นของโรคกลากและโรคสะเก็ดเงิน และในอีก 2-3 สัปดาห์ต่อมาจะมีผื่นขนาดเล็กเรียกว่าผื่นแจ้งข่าวกระจายไปทั่วตามแนวลายเส้นของผิวหนัง จะเป็นนานประมาณ 2-6 สัปดาห์
โรคกลีบกุหลาบพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีอายุประมาณ 15-40 ปี บางรายอาจจะมีอาการอย่างอื่นก่อนที่จะมีผื่น เช่น อาการเหนื่อยเมื่อยล้า คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ไข้ ปวดข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต และปวดศีรษะ เป็นต้น ซึ่งร้อยละ 75 ของผู้ป่วยจะมีอาการคัน และร้อยละ 25 จะมีอาการคันอย่างรุนแรง เชื่อว่าเชื้อไวรัส human herpesvirus 6 (HHV-6) และ human herpesvirus 7 (HHV-7) น่าจะเป็นสาเหตุของโรคนี้
ทั้งนี้ยาที่รักษาโรคกลีบกุหลาบได้ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยารักษาสิว ยาลดไข้แก้ปวด และยาฆ่าเชื้อรา ผู้ที่เป็นโรคกลีบกุุหลาบมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ โรคเซ็บเดิร์ม โรคสิว และรังแค สูงกว่าคนทั่วไป และคนที่มีความเครียดสูงมักจะมีอาการกำเริบของผื่นมากขึ้น
โรคกลีบกุหลาบอาจมีผื่นคล้ายผื่นของโรคซิฟิลิสระยะที่ 2 ที่เรียกว่าระยะเข้าข้อออกดอก แพทย์จึงต้องตลวจเลือดหาเชื้อซิฟิลิสเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค ซึ่งโรงกลีบกุหลาบส่วนมากจะทุเลาลงไปเอง แพทย์จึงรักษาตามอาการ
สำหรับผู้ป่วยที่เป้นโรคกลีบกุหลาบควรเลี่ยงการโดนน้ำ หรือมีเหงื่อออก และไม่ควรสัมผัสสบู่ เนื่องจากจะทำให้ผิวแห้ง เกิดการระคายเคือง อาจใช้ยาเพื่อลดอาการคัน สำหรับผู้ที่เป็นมากควรพบแพทย์จะดีที่สุด มีรายงานว่าการแฉายแสงตะช่วยให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น แต่มีข้อเสียคือจะเกิดผื่นรอยดำหลังการอักเสบตามมา อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายผื่นอาจอยู่นานถึง 3-4 เดือน หรืออาจนานกว่้านี้ก็เป็นได้