หญิงวัยทอง (Menopauase) คืออะไรหญิงวัยทอง เป็นช่วงต่อระหว่างวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและวัยสูงอายุ โดยในช่วงอายุ 40 หรือ 4
| - หญิงวัยทอง (Menopauase) คืออะไรหญิงวัยทอง เป็นช่วงต่อระหว่างวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและวัยสูงอายุ โดยในช่วงอายุ 40 หรือ 45 ปีขึ้นไป
|
ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะมีการผลิตฮอร์โมนเพศลดลง โดยปกติ ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดลง และมีช่วงเวลาที่ประจำเดือนเริ่มมาในเวลาที่ไม่แน่นอน ถี่บ้างห่างบ้างตามกระแสขึ้นลงของฮอร์โมนเพศ เราเรียกระยะนี้ว่า ระยะก่อนหมดประจำเดือน (Premenopause) - ท่านสามารถจะสังเกต ตนเองได้ว่ากำลังจะหมดประจำเดือนหรือยัง โดยเริ่มต้นจากอายุที่เข้าใกล้เลข 40 และจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนี้
1. ประจำเดือนมาไม่แน่นอน บางทีมาถี่ๆแล้วทิ้งช่วงหายไปหลายเดือนแล้วกลับมามีอีก มีเลือดประจำเดือนออกแบบมากกว่าปกติหรือมาทุก 2-3 สัปดาห์ 2. อาการร้อนวูบวาบ (Hot Flash) ประมาณ 3 ใน 4 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะเคยมีอาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นบางครั้งมีอาการเหงื่อออกมากกว่าปกติทั้งที่อากาศเย็น หรือมีเหงื่อออกตอนกลางคืนหรือขณะหลับอยู่ อาการเหล่านี้มักเกิดบ่อยในช่วง 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด โดยความรุนแรงจะไม่เท่ากันในผู้หญิงแต่ละคน 3. มีอาการนอนไม่หลับหรือหลับยาก บางคนตื่นบ่อยๆ กลางดึกหรือตื่นเช้ากว่าปกติ 4. มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย บางคนมีอาการเศร้าซึม 5. ปัญหาของช่องคลอด ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อของช่องคลอดบางลง ความยืดหยุ่นและความหล่อลื่นลดลง ทำให้เกิดอาการเจ็บเวลาร่วมเพศ หรือมีอาการแสบ คัน 6. ปัญหาของระบบทางเดินปัสสาวะ ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุท่อปัสสาวะบางลง และมีความแข็งแรงของกระเพาะปัสสาวะลดลง ผู้หญิงวัยทองมักมีอาการปัสสาวะแล้วแสบ กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้หรือไม่นาน ปัสสาวะเล็ดหรือราดเวลาไอจามหรือยกของหนัก 7. ความเต่งตึงและชุ่มชื้นของผิวหนังลดลงเพราะร่างกายสร้างสารคอลลาเจนลดลง ผิวหนังแห้งง่าย มักมีอาการคัน ตามร่างกาย ริ้วรอยเริ่มลึกและเห็นเด่นชัดขึ้น ใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย มวลกล้ามเนื้อลดลง ไม่กระชับ 8. การเจริญพันธุ์ลดลง เนื่องจากเวลาตกไข่ไม่แน่นอน แต่สามารถตั้งครรภ์ได้เสมอจนกว่าประจำเดือนจะหยุดมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม - ในสมัยก่อนผู้หญิงวัยทองหรือวัยที่หมดประจำเดือน มักจะคิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามสังขาร เมื่ออายุมากขึ้น ทุกอย่างย่อมมีการเสื่อมโทรมตามธรรมดา แล้วก็ปล่อยให้สุขภาพของตนเองเสื่อมลงๆ ไปตามธรรมชาติ ตามยะถากรรรม แต่หารู้ไม่ว่า เมื่อเข้าสู่วัยทอง นอกจากการเปลี่ยนแปลงอาการดังข้างต้นแล้ว สตรีวัยทอง มีโอกาสที่จะเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันหรือโรคหัวใจ มะเร็งเต้านม มากขึ้น และกระดูกจะบางลงตามอายุทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลงเข้าสู่สภาวะกระดูกพรุนได้ง่าย โดยมักปรากฎอาการปวดหลังเป็นระยะ กระดูกสันหลังคดและหลังโกงง่าย มีโอกาสกระดูกเปราะหักได้ง่าย มีสถิติพบว่า หญิงวัยทองที่ประสบปัญหากระดูกสะโพกหัก ต้องผ่าตัดเปลี่ยนสะโพก ต้องพักฟื้นในรพ. และเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ จะมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงมาก และมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน และเสียชีวิตได้ง่าย นอกจากนี้ ผลต่อสมอง ยังพบว่าผู้หญิงวัยทอง มีโอกาสจะความจำเสื่อม และเกิดอาการอัลไซเมอร์ได้สูงขึ้นด้วย แต่ในปัจจุบันวิทยาการด้านการแพทย์ก้าวหน้าและพัฒนาไปมาก เราสามารถป้องกันได้ และมีแนวทางฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย สามารถชะลอวัย(Anti-Aging) และฟื้นฟูสุขภาพให้มีอายุยืนยาวและแข็งแรงได้
- จะทราบได้อย่างไรว่าเริ่มเข้าสู่วัยนี้แล้ว
สตรีเมื่ออายุมากว่า 40 ปีขึ้นไป ที่มีอาการผิดปกติต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ในตอนแรกควรจะสงสัยว่า เริ่มเข้าสู่วัยใกล้หมดประจำเดือนแล้ว หรือสตรีที่แม้ไม่มีอาการอะไรเลย แต่ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันนาน 1 ปี ก็ถือว่า หมดประจำเดือนแน่นอน ในกรณีที่ต้องการทราบผลแน่ชัด สามารถทราบได้โดยการเจาะเลือดหาระดับฮอร์โมน เอสโตรเจน โปรเจสเทอโรน ที่ผลิตที่รังไข่ และระดับฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ซึ่งถ้าต่ำกว่าค่าปกติ ก็บ่งบอกว่าเริ่มเข้าสู่วัยทองแล้ว (Peri-menopausal syndrome) - จะดูแลตนเองอย่างไรในวัยหมดประจำเดือน
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า วัยหมดประจำเดือนไม่ใช่วัยเริ่มต้นสู่วัยชรา สตรีวัยนี้ยังคงทำงานได้อย่างกระฉับ กระเฉง ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในที่ทำงาน และที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมดังที่เรียกขานวัยนี้ว่าวัยทอง ดังนั้น สตรีวัยทองควรจะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งจากสื่อต่างๆ สิ่งพิมพ์ พูดคุยกับเพื่อน หรือปรึกษาแพทย์ทางนรีเวช และควรจะมีการปฏิบัติตัวดังนี้ 1. อาหาร: นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว สตรีวัยทองควรจะเน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนชนิดดีในปริมาณที่สูง เช่น ปลา สัตว์ปีก พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ผักใบเขียว เป็นต้น และควรจะรับประทานแคลเซียม ซึ่งจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูก สตรีวัยทองควรจะได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรจะควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด โดยงดรับประทานอาหารที่มีโคลเลสเตอรอลสูง เช่น หอยนางรม ไข่แดง ควรงดของที่มีรสหวาน ชา กาแฟ อัลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ระดับฮอร์โมนในเลือดลดลงได้ 2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ เป็นต้น 3. การบริหารสุขภาพจิต: เพื่อลดความเครียดจากอาการทางกาย เช่น การไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การมีสังคมกับคนรอบข้าง มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว 4. ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง: ตรวจเช็คความดันโลหิต ตรวจเลือดหาระดับไขมัน ตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูก ตรวจหามะเร็งเต้านม (Mammography) และตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density) 5. ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณารับฮอร์โมนทดแทน - การให้ฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยทอง (Hormonal replacent therapy=HRT)
จะมีข้อบ่งชี้ในการให้ เมื่อได้ตรวจระดับฮอร์โมนเพศ แล้วพบว่ามีการพร่องของฮอร์โมน (Hormone Deficiency) เพื่อป้องกันและรักษาอาการดังต่อไปนี้ - ใช้เพื่อรักษาอาการร้อนวูบวาบ (hot flush) ตามร่างกาย ใบหน้า ลำคอ หน้าอก ร่วมกับการมีเหงื่อออกมาก - ใช้เพื่อรักษาอาการทางระบบปัสสาวะ และระบบสืบพันธ์ เพราะสตรีวัยทอง มักจะมีปัญหาปัสสาวะแสบขัดบ่อยๆ มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอดแห้ง ทำให้มีปัญหาเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรส - ใช้เพื่อรักษาภาวะกระดูกพรุน - ใช้เพื่อป้องกันโรคเส้นเลือดอุดตันหัวใจ ความจำเสื่อม บำรุงผิวพรรณ - การให้ฮอร์โมนทดแทนมีผลเสียหรือไม่
สมัยก่อน คนเรากลัวเรื่องการให้ฮอร์โมนทดแทนแล้วมีผลต่อมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก ซึ่งก็มีส่วนที่เกิดขึ้นได้ เพราะในสมัยก่อน การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน จะเป็นแบบรับประทาน(Premarin) ซึ่งมีผลข้างเคียงในระยะยาวได้ แต่ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาการให้ฮอร์โมนทดแทนในรูปแบบของสารสกัดจากธรรมชาติ และได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบของการครีมทาเฉพาะที่แทน (Transdermal forms) ซึ่งมีความปลอดภัยขึ้นมาก และแทบจะไม่มีผลข้างเคียงระยะยาว แต่ยังไงก็ต้องปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ (Anti-aging Medicine) เพื่อปรับระดับของการให้ฮอร์โมนทดแทนที่เหมาะสม ขณะเดียวกันได้มีผลการวิจัยทางการแพทย์จากหลายๆ สถาบัน พบว่าอัตราการเสียชีวิตของสตรีในอเมริกา พบว่า ประมาณ 48% เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมเพียง 1.5% เมื่อสตรีวัยทองได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน พบว่าอัตราการตายจากโรคหัวใจ ลดลงถึง 40% แต่มีอัตราการเพิ่มของมะเร็งเต้านมเพียง 0.15% เท่านั้น จึงมีข้อสรุปว่า การให้ฮอร์โทนทดแทน (เอสโตรเจน) ในสตรีวัยหมดประจำเดือน จะได้ผลดีมากกว่าผลเสีย - นอกจากนี้ยังมีวิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติหลายตัวที่ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดดี (good estrogen) เช่น กลุ่ม flax(ป่าน) seed extracts,Soy,กะหล่ำปลี ,วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ,folic acid,Omega-3 fatty acid (Fish oils ) กลุ่มสมุนไพร เช่น ใบแปะก๊วย ใบขี้เหล็ก เป็นต้น
เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด ........................10 March,2009 |
ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=10&sdata=&col_id=342