ปัญหาโรคไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกในเด็ก อาการของไข้เลือดออกในเด็ก
ปัญหาโรคไข้เลือดออก
อาการไข้เลือดออกในเด็ก
อาการทางคลินิกของโรคไข้เลือดออก
หลังจากได้รับเชื้อจากยุงประมาณ 5-8 วัน (ระยะฟักตัว) ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการของโรค ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันได้ ตั้งแต่มีอาการคล้ายไข้เดงกี่ (dengue fever หรือ DF) ไปจนถึงมีอาการรุนแรงมากจนถึงช็อกและถึงเสียชีวิตได้ โรคไข้เลือดออกมีอาการสำคัญที่เป็นรูปแบบค่อนข้างเฉพาะ 4 ประการ เรียงตามลำดับการเกิดก่อนหลังดังนี้
1. ไข้สูงลอย 2-7 วัน
2. มีอาการเลือดออก ส่วนใหญ่จะพบที่ผิวหนัง
3. มีตับโต กดเจ็บ
4. มีภาวะการไหลเวียนล้มเหลว/ภาวะช็อก
อาการไข้ผู้ ป่วยโรคไข้เลือดออกทุกรายจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้อาจสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียส ซึ่งบางรายอาจมีชักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชักมาก่อน หรือในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง (flushed face) และตรวจดูคอก็อาจพบมี injected pharynx ได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหลหรืออาการไอ ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคจากโรคหัดในระยะแรกและโรคระบบทางเดินหายใจได้ เด็กโตอาจบ่นปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้ อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย คือ เบื่ออาหาร อาเจียน บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งในระยะแรกจะปวดทั่วๆไปและอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะที่มีตับโต ส่วนใหญ่ไข้จะสูงลอยอยู่ 2-7 วัน ประมาณร้อยละ 15 อาจมีไข้สูงนานเกิน 7 วัน และบางรายไข้จะเป็นแบบ biphasic ได้ อาจพบมีผื่นแบบ erythema หรือ maculopapular ซึ่งมีลักษณะคล้ายผื่น rubella ได้
อาการเลือดออกที่ พบบ่อยที่สุดคือที่ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่าเส้นเลือดเปราะ แตกง่าย โดยการทำ tourniquet test ให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2-3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆกระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (melena) อาการเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนใหญ่จะพบร่วมกับภาวะช็อกในรายที่มีภาวะช็อก อยู่นาน
ตับโต ส่วนใหญ่จะคลำพบตับโตได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย ตับจะนุ่มและกดเจ็บ ภาวะช็อกประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีอาการรุนแรง มีภาวะการไหลเวียนล้มเหลวเกิดขึ้น เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ช่องท้องมาก เกิด hypovolemic shock ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆกับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว เวลาที่เกิดช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค (ถ้ามีไข้ 2 วัน) หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค (ถ้ามีไข้ 7 วัน) ผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบา เร็ว ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงโดยมี pulse pressure แคบเท่ากับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ปกติ 30-40 มม.ปรอท) ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกส่วนใหญ่จะมีความรู้สติ พูดรู้เรื่อง อาจบ่นกระหายน้ำ บางรายอาจมีอาการปวดท้องเกิดขึ้นอย่างกะทันหันก่อนเข้าสู่ภาวะช็อก ซึ่งบางครั้งอาจทำให้วินิจฉัยโรคผิดเป็นภาวะทางศัลยกรรม ภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง รอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆ ตัวเย็นชืด จับชีพจรและวัดความดันไม่ได้ (profound shock) ความรู้สติเปลี่ยนไป และจะเสียชีวิตภายใน 12-24 ชั่วโมงหลังเริ่มมีภาวะช็อก หากว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาช็อกอย่างทันท่วงทีและถูกต้องก่อนที่จะเข้าสู่ ระยะ profound shock ส่วนใหญ่ก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ในรายที่ไม่รุนแรง เมื่อไข้ลดลงผู้ป่วยอาจจะมีมือเท้าเย็นเล็กน้อยร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของ ชีพจรและความดันเลือด ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในระบบการไหลเวียนของเลือด เนื่องจากการรั่วของพลาสมาออกไปแต่ไม่มากจนทำให้เกิดภาวะช็อก ผู้ป่วยเหล่านี้เมื่อให้การรักษาในช่วงระยะสั้นๆก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ ยังไม่มียาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไข้เลือดออก การรักษาโรคนี้เป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง ซึ่งได้ผลดีถ้าให้การวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะแรก แพทย์ผู้รักษาจะต้องเข้าใจธรรมชาติของโรคและให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด จะต้องมี nursing care ที่ดีตลอดระยะเวลาวิกฤตประมาณ 24-48 ชั่วโมงที่มีการรั่วของพลาสมา
การดูแลรักษาผู้ป่วย มีหลักปฏิบัติดังนี้
1. ในระยะไข้สูง บางรายอาจมีการชักได้ถ้าไข้สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีประวัติเคยชัก หรือในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน จำเป็นต้องให้ยาลดไข้ ควรใช้ยาพวกพาราเซตามอล ห้ามใช้ยาพวกแอสไพริน เพราะจะทำให้เกร็ดเลือดเสียการทำงาน จะระคายกระเพาะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญอาจทำให้เกิด Reye syndrome ควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราวเวลาที่ไข้สูงเท่านั้น (เพื่อให้ไข้ที่สูงมากลดลงเหลือน้อยกว่า 39 องศาเซลเซียส) การใช้ยาลดไข้มากไปจะมีภาวะเป็นพิษต่อตับได้ ควรจะใช้การเช็ดตัวช่วยลดไข้ด้วย
2. ให้ผู้ป่วยได้น้ำชดเชย เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ทำให้ขาดน้ำและเกลือโซเดียมด้วย ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำผลไม้หรือ สารละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ (โอ อาร์ เอส) ในรายที่อาเจียนควรให้ดื่มครั้งละน้อยๆ และดื่มบ่อยๆ
3. จะต้องติดตามดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ตรวจพบและป้องกันภาวะช็อกได้ทันเวลา ช็อกมักจะเกิดพร้อมกับไข้ลดลงประมาณตั้งแต่วันที่ 3 ของการป่วยเป็นต้นไป ทั้งนี้แล้วแต่ระยะเวลาที่เป็นไข้ ถ้าไข้ 7 วันก็อาจช็อกวันที่ 8 ได้ ควรแนะนำให้พ่อแม่ทราบอาการนำของช็อก ซึ่งอาจจะมีอาการเบื่ออาหารมากขึ้น ไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย หรือมีอาการถ่ายปัสสาวะน้อยลง มีอาการปวดท้องอย่างกะทันหัน กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ควรแนะนำให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันทีที่มีอาการเหล่านี้
4. เมื่อผู้ป่วยไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่ให้การรักษาได้ แพทย์จะตรวจเลือดดูปริมาณเกร็ดเลือดและ hematocrit และอาจนัดมาตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเกร็ดเลือดและ hematocrit เป็นระยะๆ เพราะถ้าปริมาณเกร็ดเลือดเริ่มลดลงและ hematocrit เริ่มสูงขึ้น เป็นเครื่องชี้บ่งว่าน้ำเลือดรั่วออกจากเส้นเลือด และอาจจะช็อกได้ จำเป็นต้องให้สารน้ำชดเชย
5. โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องรับผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาลทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกที่ยังมีไข้ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยให้ยาไปรับประทาน และแนะนำให้ผู้ปกครองเฝ้าสังเกตอาการตามข้อ 3 หรือแพทย์นัดให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลเป็นระยะๆ โดยตรวจดูการเปลี่ยนแปลงตามข้อ 4 ถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดงอาการช็อก ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย และถือเป็นเรื่องรีบด่วนในการรักษา
อาการของไข้เลือดออกในเด็ก
โรคไข้เลือดออก อัตรายสำหรับเด็กเล็ก ถึง 15 ขวบ
โรคติด เชื้อที่สำคัญโรคหนึ่งในช่วงฤดูฝนที่พบได้บ่อยคือ โรคไข้เลือดออก โรคนี้นับเป็นปัญหาสาธารณสุขของไทย เนื่องจากมีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคนี้ทุกปี บางปีก็พบการระบาดใหญ่ และโรคมีความรุนแรงทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคนี้เป็นจำนวนมาก เช่น ในปี พ.ศ.2530 มีรายงานผู้ป่วยถึง 92,005 ราย มีผู้เสียชีวิต 414 ราย ประชาชนจึงควรรู้จักโรคนี้ไว้บ้างเพื่อที่จะสามารถป้องกันและให้การดูแลผู้ ป่วยได้อย่างถูกต้อง
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ไวรัสที่เป็นสาเหตุสำคัญและพบได้บ่อยคือ ไวรัสเดงกี่(Dengue Virus) ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรงมักติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุคือ ไวรัสชิกุนกุนยา(Chikungunya Virus) ซึ่งพบน้อยกว่าและมีอาการไม่รุนแรง ไวรัสทั้งสองชนิดติดต่อมาสู่คนได้ต้องอาศัยยุงเป็นพาหะ ยุงที่เป็นพาหะสำคัญคือยุงลาย ซึ่งชอบหากินในเวลากลางวันโดยการกัดและดูดเลือด ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เกิดจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อดังกล่าวกัด โรคไข้เลือดออกมักพบเป็นในเด็กอายุตั้งแต่2ปีถึง14ปี ช่วงอายุอื่นอาจพบได้บ้างแต่ค่อนข้างน้อย โรคนี้มักจะระบาดมากในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนพฤศจิกายน เพราะเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก มีแหล่งน้ำที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงเพิ่มขึ้น นอกจากช่วงเวลาดังกล่าวแล้วโรคนี้ยังพบได้ประปรายทุกเดือน
ลักษณะอาการของโรค
สามารถแบ่งระยะของโรคไข้เลือดออกได้เป็น3 ระยะคือ
1. ระยะไข้สูง อาการของโรคเริ่มจากเด็กจะมีไข้สูงประมาณ 39-40 องศาเซลเซียส เมื่อให้กินยาลดไข้ ไข้มักจะไม่ลดลง เด็กมักมีหน้าแดงๆ ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก บางรายอาจมีอาการอาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ มีจุดเลือดออกเล็กๆตามผิวหนัง อาการไข้ส่วนใหญ่มักเป็นอยู่ประมาณ3-5 วัน จากนั้นไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว
2. ระยะช็อกหรือระยะเลือดออก หลังจากไข้ลดจะมีอาการอาเจียน กินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวาเนื่องจากตับโตขึ้น ซึมลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว ปัสสาวะน้อยลง บางรายอาจมีอาการเลือดออกผิดปกติ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือถ่ายเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง รายที่อาการรุนแรงมาก อาจคลำชีพจรและวัดความดันโลหิตไม่ได้ ถ้าได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที เด็กอาจเสียชีวิตได้ ระยะนี้จะกินเวลา24-28ชั่วโมง นับจากไข้เริ่มลดลงมาปกติ ถ้าสามารถประคับประคองให้เด็กผ่านระยะนี้ไปได้ เด็กจะพ้นอันตรายและเข้าสู่ระยะที่3
3. ระยะฟื้นตัว ระยะนี้อาการของเด็กโดยทั่วไปจะดีขึ้น สังเกตได้จากเด็กจะเริ่มทานอาหารได้ ไม่อาเจียน อาการปวดท้องเริ่มลดลงเนื่องจากตับที่โตค่อยๆ เล็กลง เด็กจะดูสดชื่นขึ้น และจะหายปกติในที่สุด
เด็กที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกไม่จำเป็นต้องมีอาการรุนแรงเสมอไป มีเพียงส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรงดังกล่าวข้างต้น ซึ่งต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล โดยส่วนใหญ่แล้วมักมีอาการไม่รุนแรง เด็กพวกนี้หลังจากมีอาการไข้สูงอยู่3-5 วัน พอไข้ลดลงอาการทั่วไปก็จะดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติใน1-2 วัน
การรักษาไข้เลือดออก
-ไม่มียาเฉพาะ รักษาตามอาการ พยายามให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ หรือน้ำเกลือแร่ ถ้ามีความสงสัย ว่าไข้ยังสูง มีตัวแดง เกิดในหน้าฝน ต้องรีบนำไปเทสต์ทันที
-ห้ามให้เด็กรับประทานยา แอสไพริน หรือยาแก้อักเสบอื่น ๆ เพราะอาจทำให้เลือดออกในกระเพาะได้ ถ้าไข้ไม่ลง ให้เช็ดตัว และให้พาราเซตามอล ในกรณีที่ไข้ไม่ยอมลง ให้หมั่นเช็ดตัว อย่าให้พาราเซตามอลเกินขนาด
การป้องกันไข้เลือดออก
1. ระวังไม่ให้ถูกยุงกัด โดยให้เด็กนอนในห้องที่มีมุ้งลวด หรือมีมุ้งครอบตัวเด็ก
2. ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ควรปิดฝาภาชนะใส่น้ำให้มิดชิดเพื่อไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่หรืออาจใส่ทรายอะ เบทลงในภาชนะใส่น้ำเพื่อกำจัดลูกน้ำก็ได้
3. เด็กที่ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกในระยะ5 วันแรกของโรค(ซึ่งเป็นระยะที่มีเชื้อไวรัสอยู่ในกระแสเลือด) ไม่ควรให้ถูกยุงกัด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
4. วัคซีนป้องกันโรคขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยไม่มีใช้ในปัจจุบัน
https://www.healthcorners.com
https://healthy.moph.go.th
https://www.tinyzone.tv