ระยะไข้เลือดออก รูปผื่นอาการไข้เลือดออก รูปภาพไข้เลือดออก
ระยะไข้เลือดออก
การดำเนินโรคของไข้เลือดออก
แบ่งออกเป็น 3 ระยะดังต่อไปนี้ ระยะไข้สูง ระยะวิกฤติ/ช็อค และระยะฟื้นตัว
- ระยะไข้สูง
- ลักษณะเป็นไข้สูงเฉียบพลัน 39-41 องศาเป็นเวลา 2-7 วัน ผู้ป่วยที่เป็นเด็กอาจจะมีอาการชักได้ หน้าจะแดง ไม่มีน้ำมูกหรือไอ ในเด็กโตจะบ่นปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร อาเจียน เลือดออก ตับโตและกดเจ็บ แต่ตัวไม่เหลือง มีผื่นตามตัว ส่วนใหญ่จะไม่มีน้ำมูไหลหรือไแทำให้แยกจากไข้หวัด
- ในระยะไข้ อาการทางเดินอาหารที่พบได้บ่อยได้แก่อาการเบื่ออาหาร อาเจียน บางรายมีอาการท้องร่วงร่วมด้วย ในระยะแรกจะปวดทั่วไป แต่ต่อมาจะปวดชายโครงข้างขวาเนื่องจากตับโต
- ไข้ส่วนใหญ่จะอยู่ลอย 2-7 วัน ประมาณร้อยละ 70 จะมีไข้ 4-5 วัน รายที่มีอาการเร็วที่สุดคือ 2 วัน ร้อยละ 15 จะมีไข้เกิด 7 วัน
- อาการเลือดออกที่พบบ่อยที่สุดคือจุดเลือดออกตามผิวหนังเนื่องจากเส้นเลือดเปราะ หรือทำ การทำ touniquet test จุดเลือดออกจะพบตามแขน ขา ลำตัว รักแร้อาจจะมีเลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด
-
ระยะวิกฤติหรือระยะช็อค
- ระยะวิกฤติหรือระยะช็อคมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับที่ไข้ เริ่มจะลง เกิดจากการรั่วของพลาสม่า โดยจะร่วประมาณ 24-48 ชั่วโมง ประมาณหนึ่งในสามจะมีอาการรุนแรงมีภาวะความดันโลหิตต่ำเนื่องจากเกิดการรั่ว ของพลาสมาไปยังปอด หรือช่องท้องซึ่งจะเกิดพร้อมๆกับไข้ลง ซึ่งอาจจะเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3-8 ของไข้ ผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพขจรเร็ว ความดันโลหิตต่ำ ความดันโลหิตลดลงมากกว่า 20 มม ปรอท ผู้ไข้เลือดออกที่อยู่ในภาวะช็อกจะรู้สติดี พูดรู้เรื่อง อาจจะบ่นกระหายน้ำบางรายอาจจะมีภาวะปวดท้อง ภาวะช็อกจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลงอย่างรวดเร็ว รอบปากเขียว ผิวสีม่วง ตัวเย็น วัดความดันไม่ได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตใน 12-24 ชั่วโมง
- ในรายที่ไม่รุนแรงผู้ป่วยจะดีขึ้น บางรายอาจจะมีเหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพขจรเบา เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาไม่รุนแรงจึงไม่เกิดอาการช็อก
ระหว่างการเกิดภาวะช็อกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ
- มีการรั่วของพลาสมาทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ ซึ่งมีหลักฐานคือ
- ระดับควาเข้มของเลือด(Hematocrit Hct)เพิ่มขึ้นก่อนเกิดภาวะช็อก และขณะช็อก และยังอยู่ในระดับสูงหากยังมีการรั่วของพลาสมา
- มีน้ำในช่องปอดและช่องท้อง
- ระดับโปรตีนและไข่ขาวในเลือดต่ำเนื่องจากรั่วออกไป
- หากเราใส่สายเข้าในหัวใจ จะพบว่าแรงดันในหัวใจต่ำซึ่งบ่งบอกว่ามีปริมาณน้ำในระบบไหลเวียนลดลง
- ตอบสนองต่อการให้น้ำเกลือ
- ความต้านทาน(peripheral resisitance)ในระบบไหลเวียนเพิ่มดังจะเห็นได้ว่าความแตกต่างระหว่าความดัน โลหิตขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัวแคบ เช่น 100/90(ปกติต้องต่างกันประมาณ 30 )
-
ระยะพักฟื้น
- ระยะพักฟื้นตัวของผู้ป่วยค่อนข้างเร็ว ในผู้ป่วยที่ไม่ช็อคเมื่อไข้ลดลงอาการจะดีขึ้น ผู้ป่วยเริ่มอยากจะรับประทานอาหาร เริ่มปัสสาวะมากขึ้น ชีพขจรช้าลง
- ส่วนผู้ป่วยที่ช็อก หากได้รับการรักษาที่ทันเวลาจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การรั่วของพลาสมาจะหยุด ความดันโลหิตจะสูงขึ้น ชีพขจรช้าลง ปัสสาวะมากขึ้น ผู้ป่วยจะอยากรับประทานอาหาร ระยะฟื้นตัวใช้เวลา 2-3 วัน
รวมระยะเวลาของการเป็นไข้เลือดออกใช้เวลา 2-7 วัน
การเปลี่ยนแปลงทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญ
- เม็ดเลือดขาวจะต่ำกว่าปกติ[<5,000] แต่ในวันแรกอาจจะสูงเล็กน้อยอาจจะมีเม็ดเลือดขาวชนิด polymorphonucleus [PMN] ประมาณร้อยละ 70-80 เมื่อไข้ลงจะกลายเป็น lymphocyte
- เกล็ดเลือด(platelet)ต่ำลงอย่างรวดเร็วน้อยกว่า 100,000 และต่ำอยู่3-5 วัน
- ความเข้มของเลือด(Hemoconcentration)เพิ่มขึ้น เช่นจาก 40%เป็น 44 %
- ในระยะช็อกเลือดจะออกง่ายเนื่องจากกลไกการแข็งตัวของเลือดเสียไป
- การตรวจรังสีของปอดอาจจะพบว่ามีน้ำในช่องปอด
- การตรวจการทำงานของตับพบว่ามีการอักเสบโดยมีการเพิ่มขึ้นของ sgot,sgpt ประมาณ2-3 เท่า
ไข้เลือดออก ชนิดของไข้เลือดออก การดำเนินของโรค การดูแล การทำtouniquet การระบาด ผลการตรวจเลือด การป้องกัน ยุง
รูปผื่นอาการไข้เลือดออก
รู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นไข้เลือดออก
วัยใส...วัยแพ้ภัยเจ้ายุงลาย
จากข้อมูลสถิติพบว่าช่วงวัยของผู้ป่วยที่แพ้ภัยเจ้ายุงลายนี้ อยู่ในช่วงอายุ 5-14 ปีค่ะ โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ 5-9 ปี ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะพบในกลุ่มอายุที่มากขึ้น
แต่ถึงแม้ว่าร่างกายจะได้รับเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการถึงร้อยละ 85-90
อย่างไรก็ดี การป้องกันไว้ย่อมดีกว่าค่ะ เพราะถ้าหากว่าภูมิต้านทานของเจ้าหนูเกิดตกเป็นรองเจ้าเชื้อไวรัสไข้เลือดออกขึ้นมา ลูกน้อยก็จะเกิดการเจ็บป่วยขึ้นได้ ดังนั้นเรามารู้ทันอาการของโรคนี้กันดีกว่า
จะรู้ได้ยังไง...ว่าลูกเป็นไข้ (เลือดออก) หรือเปล่า
ในกลุ่มที่มีอาการสามารถจำแนกได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1. อาการที่เหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วๆ ไป ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก อาจมีอาการไข้อย่างเดียว หรืออาจมีผื่นร่วมด้วย
2. ไข้แดงกี มักพบในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ จะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ และปวดกระดูก โดยทั่วไปอาการมักไม่รุนแรง
3. ไข้เลือดออก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด กรณีที่มีการรั่วมาก อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะ ช็อกได้
เรามีวิธีสังเกตสัญญาณการรุกรานของไข้เลือดออกมาฝากค่ะ
การดำเนินโรคของไข้เลือดออกแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ระยะ ไข้สูง จะมีอาการไข้สูงประมาณ 2-7 วัน สามารถสังเกตได้คือแม้จะกินยาลดไข้ยังไง ไข้ก็ไม่ยอมลด เนื้อตัวและใบหน้าจะแดงกว่าปกติ บางคนอาจมีอาการเยื่อบุตาอักเสบ หรือมีผื่นขึ้น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาจพบว่ามีจุดเลือดออกตามตัว
ระยะที่ 2 ระยะวิกฤต คือหลังจากที่มีไข้สูงระยะหนึ่งแล้ว ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว และจะมีการรั่วของพลาสมา หรือน้ำเหลืองออกนอกเส้นเลือด ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมงค่ะ ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย
ในกรณีที่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีการรั่วของพลาสมาเป็นจำนวนมาก และถ้าให้สารน้ำโดยการกินหรือน้ำเกลือทางเส้นเลือดทดแทนไม่ทัน ผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะความดันโลหิตต่ำหรือที่เรียกว่าช็อกได้
ระยะที่ 3 ระยะพักฟื้น เป็นระยะที่มีการดูดกลับของพลาสมาเข้าสู่กระแสเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการโดยทั่วไปดีขึ้น โดยสังเกตได้ดังนี้
- คนไข้เจริญอาหารมากขึ้น
- ชีพจรเต้นช้าลง
- ในผู้ป่วยบางราย จะพบมีผื่นขึ้นตามร่างกาย เรียกว่าผื่นในระยะพักฟื้น
- ปัสสาวะออกมากขึ้น เมื่อเทียบกับระยะวิกฤต
หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการข้างต้น ก็ถือว่ากำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วล่ะค่ะ ตามปกติในช่วงระยะพักฟื้น คุณหมอจะหยุดการให้สารน้ำหรือน้ำเกลือทางเส้นเลือด มิฉะนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะน้ำเกินได้
แล้วจะให้การวินิจฉัยได้อย่างไร?
เนื่องจากโรคนี้ไม่มียารักษาเฉพาะ การเฝ้าติดตามสังเกตการเปลี่ยนแปลงของอาการเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จะได้พาบุตรหลานของท่านไปพบแพทย์ได้ทันเวลาและได้รับการดูแลที่เหมาะสมต่อไป
การวินิจฉัยโดยใช้อาการทางคลินิกร่วมกับการตรวจนับเม็ดเลือด โดยดูการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นเลือด จำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด จะช่วยในการวินิจฉัยผู้ป่วยได้ถึงร้อยละ 95 และมักจะชัดเจนขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีไข้มาแล้วโดยเฉลี่ยประมาณ 3-8 วัน
การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสเดงกี ในปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลโฆษณาและสามารถให้บริการการตรวจประเภทนี้ได้ ซึ่งเป็นการตรวจที่มีราคาแพง จะได้ผลดีถ้าตรวจในระยะที่ผู้ป่วยยังมีไข้หรือในช่วงแรกของการเจ็บป่วยนั่น เอง
อีกประเภทหนึ่งคือการตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เป็นการตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัย บางวิธีต้องเจาะเลือดตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน 1-2 สัปดาห์ จึงไม่ได้ช่วยในการรักษาของคุณหมอเท่าใดนัก เพราะคนไข้หายป่วยกลับบ้านไปแล้วผลการตรวจจึงจะกลับมา แต่เป็นการตรวจที่ราคาไม่แพง
เมื่อทราบดังนี้แล้ว ควรพิจารณาว่าการตรวจเหล่านี้ มีความจำเป็นต่อลูกน้อยที่ป่วยเป็นไข้มากน้อยเพียงใด ควรสอบถามข้อมูลจากคุณหมอให้เข้าใจ เพื่อประกอบการตัดสินใจค่ะ
รู้ทัน...รักษาได้
การรักษายังคงเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น แต่การรักษาที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่และเฝ้าระวังติดตามอาการของโรคตามที่คุณหมอแนะนำ ค่ะ
* ระยะไข้สูงลอย
เป็นระยะสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าสังเกตอาการ การเปลี่ยนแปลง รวมทั้งให้การดูแลสุขภาพของเจ้าตัวเล็กอย่างใกล้ชิดค่ะ
- เมื่อพบว่าลูกเป็นไข้สูงลอย ให้กินยาพาราเซตามอลและเช็ดตัวให้บ่อยๆ เพื่อลดไข้ แต่มีข้อห้ามที่สำคัญคือ ห้ามกินยาแอสไพรินหรือยาในกลุ่มลดไข้สูง เนื่องจากมีผลทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
- รับประทานอาหารตามปกติและพักผ่อนอย่างเพียงพอพยายามให้เจ้าหนูรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดูดซึมง่าย
* ระยะวิกฤต
ในช่วงท้ายของระยะไข้สูงลอยประมาณ วันที่ 3-5 หลังจากเริ่มมีไข้ ขอให้คุณพ่อคุณแม่คอยสังเกตอาการให้ดี ถ้าเจ้าหนูมีอาการผิดปกติ ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วค่ะ คุณหมอจะทำการประเมินอย่างละเอียด และจะให้สารน้ำทางเส้นเลือดเพื่อทดแทนพลาสมาที่สูญเสียไป ป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะความดันโลหิตต่ำหรือช็อกค่ะ ใช่ว่าผู้ป่วยไข้เลือดออกทุกรายนั้นจะมีอาการรุนแรงเช่นนี้เสมอไป เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงพบได้เป็นส่วนน้อย แต่ก็ไม่ควรประมาทนะคะ
รู้ทัน...ป้องกันได้
- กำจัดลูกน้ำยุงลาย บอกเจ้าหนูว่ายุงลายชอบวางไข่ในน้ำนิ่ง ชวนให้เขาช่วยเปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ อ่างเลี้ยงปลา ปิดฝาภาชนะใส่น้ำต่างๆ ให้มิดชิด
- สำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวหนู เช่น ห้องนอน ควรมีมุ้งลวดกันเจ้ายุงมาเกาะแกะ
- ดูแลตัวเองและคนที่หนูรัก ตัวหนูก็ต้องคอยดูแลสุขภาพตัวเองนะคะ ต้องหม่ำอาหารที่มีประโยชน์ และนอนลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หวังว่าคงคลายกังวลถึงภัยร้ายของเจ้ายุงลาย และเตรียมตัวตั้งรับกับไข้เลือดออกได้อย่าง "รู้ทัน" แล้วนะคะ
ที่มา Kids&School
รูปภาพไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหนะของโรค นอกจากเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ บทความนี้จะบรรยายถึงโรคไข้เลือดออกในแง่การดูแลผู้ป่วยซึ่งมีหัวข้อต่อไป นี้
อุบัติการณืของโรคไข้เลือดออก
เมื่อ คศ 1970มีการระบาดของไข้เลือดออกเป็นครั้งคราว epidermic 9 ประเทศ ปัจจุบันไข้เลือดออก มีการระบาดเพิ่มมากขึ้น ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันไข้เลือดออก เป็นโรคประจำท้องถิ่น endemic ของประเทศมากว่า 100 ประเทศในแถบแอฟริกา อเมริกา เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ western pacific โดยมีความรุนแรงมากในแถบ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ western pacific
ประชากรประมาณ 2500 ล้านคนในประเทศที่มีการระบาดจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้เลือดออก ประมาณว่าจะมีการติดเชื้อปีละ 50 ล้านคน และต้องนอนโรงพยาบาลมากกว่า 500000 คนต่อปี อัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 2.5 แต่อาจจะสูงถึงร้อยละ 20 หากให้การรักษาอย่างดีอัตราการเสียชีวิตอาจจะลดลงต่ำกว่าร้อยละ1
สาเหตุไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย Aedes aegyti ตัวเมียบินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง เชื้อไ/วรัสแดงกีจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน เชื้อไวรัสแดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7 วันในช่วงที่มีไข้ หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวันตามบ้านเรือน และโรงเรียน ชอบวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่นยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง
เมื่อไรจึงจะสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก
อาการของไข้เลือดออกไม่จำเพาะ อาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ใผู้ใหญ่อาจจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดโรคนี้อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะสียชีวิต ลักษณะที่สำคัญของไข้เลือกออกคือ
- ไข้สูงเฉียบพลันประมาณ2-7 วัน
- เบื่ออาหาร หน้าแดง ปวดศีรษะ ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน และมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
- บางรายอาจจะมีจุดเลือดสีแดงออกตามลำตัว แขนขา อาจจะใรเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามรายฟัน และถ่านอุจาระดำเนื่องจากเลือดออกในทางเดินอาหาร และอาจจะช็อค
- ในรายที่ช็อคจะสังเกตเมื่อไข้ลงผู้ป่วยกลับแย่ลง ซึม มือเท้าเย็น เหงื่อออก หมดสติ และอาจจะเสียชีวิต
การรักษา
ไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักเพียงประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อค และเลือดออก และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลงต่ำกว่าร้อยละ 1
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
การผลิตวัคซีนกำลังอยู่ในขั้นพัฒนา แต่มีปัญาเนื่องเชื้อมี 4 สายพันธุ์ คาดการณ์ว่าจะสำเร็จและใช้ได้ในอนาคตอันใกล้ การป้องกันและการควบคุม
วิธีที่จะป้องกันและควบคุมไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือการควบคุมการแพร่กระจายของยุงลาย
- กำจัดแหล่งเพราะพันธุ์ยุง เช่น กะละ ยาง กระป๋อง
- หาฝาปิดภาชนะ เช่น โอ่ง ถังน้ำ
- ในแหล่งน้ำสาธารณะอาจจะเลี้ยงปลาเพื่อกินลูกน้ำ หรือใส่สารเคมีเพื่อฆ่าลูกน้ำ
ขนิดของเชื้อแดงกีเชื้อไวรัสแดงกี เป็น single strnded RNA ไวรัสมีด้วยกัน 4 ชนิด(serotype) DEN1 DEN2 DEN3 DEN4 ซึ่งมี antigen ร่วมกันบางส่วนทำให้เทื่อเกิดการติดเชื้อชนิดหนึ่ง จะเกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้ออีกชนิดหนึ่ง แต่ภูมิที่เกิดจะอยู่ได้ 6-12 เดือน ส่วนภูมิที่เกิดกับเชื้อที่ป่วยจะมีตลอดชีวิต เช่นหากเป็นไข้เลือดออกจากเชื้อ DEN1 ผู้ป่วยจะมีภูมิต่อเชื้อนี้ตลอดชีวิต แต่จะมีภูมิต่อเชื้อแดงกีชนิดอื่นเพียง 6-12 เดือนเท่านั้นจาการศึกษาพบว่าการติดเชื้อซ้ำ หรือการติดเชื้อครั้งที่สองจะเป็นสาเหตุของโรคแดงกีได้ถึงร้อยละ 80-90 ในสมัยก่อนปี 2543พบว่าการระบาดของเชื้อแดงกีเกิดจากสายพันธ์ที่สอง DEN2 แต่หลังจากนั้นพบลดลง แต่จะพบสายพันธ์ DEN3 มากขึ้น แต่หลังจากปี 2543 เชื้อสายพันธ์ที่สอง DEN2 เริ่มกลับมาพบมากขึ้นและมีอัตราการตายสูงเนื่องจากเป็นเชื้อที่หากเป็น แล้วจะเกิดอาการรุนแรงการ
อาการของโรคติดเชื้อไข้เลือดออก
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้เลือดออกอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะเกิดอาการรุนแรงจนเสียชีวิต เมื่อหายร่างกายจะมีภูมิต่อเชื้อนั้นตลอดชีวิต ความรุนแรงของการติดเชื้อขึ้นกับอายุ ภาวะภูมิคุ้มกัน และความรุนแรงของเชื้อ
การติดเชื้อไวรัสแดงกิ่วมีอาการได้ 3 แบบคือ
- การติดเชื้อไข้แดงกิ่ว Denque Fever
- ไข้เลือดออก [Dengue hemorrhagic fever-DHF]
- สำหรับไข้เลือดออกแดงกิวที่ช็อก Denque Shock Syndrome DSS
ความรุนแรงของโรค
ข้อสำคัญของไข้เลือดออก |
|
ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไข้เลือดออกแดงกิว จะต้องมีหลักฐานการรั่วของพลาสมา (มีความเข้มข้นของเลือด[Hct]เพิ่มขึ้น 20% หรือมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด หรือในช่องท้อง) และมีเกล็ดเลือดต่ำกว่า 100,000 ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกจัดได้เป็น 4 ระดับ
- Grade 1 ผู้ป่วยไม่ช็อก เป็นไข้เลือดออกโดยที่ไม่มีจุดเลือดออก ทำ touniquet test ให้ผลบวก
- Grade 2 ผู้ป่วยไม่ช็อก มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง มีเลือดกำเดาไหล หรืออาเจียนเป็นเลือด
- Grade 3 ผู้ป่วย่ช็อก มีความดันโลหิตต่ำ ชีพขจรเร็ว pulse pressure แคบ เหงื่อออก กระสับกระส่าย
- Grade 4 ผู้ป่วย่ช็อกรุนแรง วัดความดันโลหิตไม่ได้
เมื่อไรจะให้กลับบ้าน
- ไม่มีไข้ 24 ชั่วโมงโดยที่ไม่ได้รับยาลดไข้ ผู้ป่วยอยากอาหาร
- ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน
- ความเข้มของเลือดคงที่
- 3วันหลังจากรักษาภาวะช็อค
- เกล็ดเลือดมากกว่า 50000
- ไม่มีอาการแน่ท้องหรือแน่หน้าอกจากน้ำในท้องหรือช่องเยื่อหุ้มปอด
ภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นๆ
- ตับวาย
- ไตวาย
- สมองทำงานผิดปกติ
วิธีป้องกันไข้เลือดออกที่ได้ผลดี และยั้งยืนต้องเป็นแบบบูรณการโดยการร่วมมือของทุกฝ่าย
- ภาคครัวเรือนต้องป้องกันโดยการกำจัดแหล่งน้ำที่เพาะพันธุ์ยุง และการป้องกันส่วนบุคคล
- ภาคชุมชนจะต้องมีการรณรงค์ให้มีการกำจัดแหล่งลูกน้ำ ในชุมชนอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้ง และจะต้องทำพร้อมกันถั่วประเทศโดยการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ
- สำหรับชุมชนที่ห่างไกลก็อาจจะต้องใช้อาสาสมัคร
- จัดโปรแกรมสำหรับเด็กและครอบครัวเพื่อกำจัดลูกน้ำ
- กระตุ้นให้เอกชนมีส่วนร่วมในการจัดสิ่งแวดล้อม
- จัดการประกวดพื้นที่ปลอดภัยจากไข้เลือดออก
https://www.siamhealth.net
https://www.tinyzone.tv/