เอสแอลอี ประสบการณ์ผู้ป่วย ประสบการณ์โรคเอสแอลอี เกิดจาก สถานรักษาโรคเอสแอลอี
ประสบการณ์ผู้ป่วย SLE
โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus - SLE) หรือโรคลูปัส เป็นโรคที่เกิดจากภูมิต้านทานในร่างกายของเราชนิดหนึ่ง เกิดการเปลี่ยนแปลงกลับมาทำร้ายตนเอง ภูมิต้านทานชนิดนี้เป็นโปรตีนในเลือดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แอนติบอดี้ (ANTIBODIES) ซึ่งปกติจะมีหน้าที่จับและทำลายสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคจากภายนอกร่างกาย แต่โปรตีนชนิดนี้ในผู้ป่วยโรคลูปัสจะจับและทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆของผู้ป่วยโรคลูปัสเอง ขึ้นกับว่าจะจับอวัยวะใดเช่น ถ้าจับที่ผิวหนังก็จะทำให้เกิดผื่น ถ้าจับกับไตก็จะทำให้เกิดการอักเสบของไต จับกับเยื่อหุ้มข้อก็จะเกิดข้ออักเสบขึ้น จัดเป็น
โรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง นางสาวประภาศวี อินคล้าย อายุ 36 ปี ป่วยเป็นโรค SLE เคยป่วยเป็นมาลาเรียเรื้อรังถึง 17 ปี คือตั้งแต่อายุ 14-31 ปี คิดเป็นจำนวนครั้งถึง 20 ครั้ง เนื่องจากมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้อยู่แล้วจึงได้รับยาเป็นจำนวนมากทั้งที่เกี่ยวกับภูมิแพ้และมาลาเรีย อาการแรกที่เป็นคือ บวม ปวดตามข้อ หมดแรง เหนื่อย และปวดหลังอย่างรุนแรง จากอาการปวดหลังอย่างรุนแรงนี้ แพทย์วินิจฉัยว่าไตมี
ปัญหาคือมีปัญหาบกพร่องที่ไตสูง รับประทานยารักษไต 1 เดือนอาการบวมไม่ลดลง ตรวจเพิ่มเติมจึงพบว่าเป็น SLE ที่เนื้อเยื่อในข้อ คือร่างกายทำลายเนื้อเยื่อในข้อของตัวเอง แพทย์รักษาโดยการให้กิน STEROID PREDNISOLONE วันละ 6 เม็ดเป็นเวลา 4 เดือน แต่ตัวกลับบวมมากขึ้น ผมร่วง เสียวฟัน ปวดตามกระดูกอย่างรุนแรง จึงตัดสินใจเปลี่ยนหมอและเปลี่ยนกลุ่มยารักษาโดยให้กินยากดภูมิ รักษาอยู่ 1 ปี 8 เดือนร่วมกับยาแก้อักเสบ ข้อ - กระดูก ยาคลายกล้ามเนื้อแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ร่างกายอ่อนเพลียมาก ไม่มีแรง หมอบอกว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้และจะมีอายุอยู่ได้แค่ 40 ปี จึงเปลี่ยนไปรักษาหมอธิเบตใช้ยาจีนอยู่ 15 เดือนอาการดีขึ้น อาการบวมและปวดทุเลาลงแต่อาการปวดยังมีอยู่ คุณหมอบอกว่าคงไม่สามารถรักษาให้ดีไปกว่านี้ได้แล้ว ต่อมาได้ทราบถึงคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวบีบเย็นที่
สามารถใช้ทำ ออยล์พูลลิ่ง เพื่อรักษาโรคได้ จึงทดลองทำดูโดยทำวันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น เดือนแรกที่ทำมีอาการเหมือนร่างกายขับพิษที่ตกค้างออกมา ใน 2 อาทิตย์แรกมีอาการปวดหนักขึ้นกว่าเดิมและบวมไปทั้งตัว หลังจาก 2 อาทิตย์ไปแล้วอาการปวดและบวมดีขึ้นเรื่อยๆเป็นลำดับ เดือนที่ 2 เริ่มรับประทานน้ำมันมะพร้าวด้วยและหยุดยาทุกชนิด รับประทานวันละ 3 ครั้ง เช้า - กลางวัน - เย็น ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ทำออยล์พูลลิ่ง 5 เวลาแต่ยังมีอาการไล่พิษอยู่ หนาวมาก แต่พอผ่านไปอีก 2 อาทิตย์อาการดีขึ้นเป็นลำดับ เดือนที่ 3 มีอาการปวดแสบปวดร้อน แต่พอหลัง 2 อาทิตย์ไปแล้วอาการก็ดีขึ้นเช่นเดิม ทุกกวันนี้สุขภาพดีขึ้นมาก มีกำลังดี อ่อนเพลียน้อยลง ฝ้าที่เคยเป็นอย่างหนักเป็นรูปปีกผีเสื้อดำหนาก็จางไปเกือบหมด ไม่มีอาการปวดเหลืออยู่ อาการบวมตามข้อลดลงเรื่อยๆจนเกือบเป็นปกติ ไม่มี
ความทุกข์ทรมานอย่างที่เคยเป็นมาแต่ระวังเข้มงวดเรื่องอาหาร นอกจากทานน้ำมันมะพร้าวแล้วจะรับประทานผักผลไม้มากๆ ทำจิตใจให้ผ่องใสมีกำลังใจดี และไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นไข้หวัดจะรับประทานน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะทุกๆ 2 ชั่วโมง ถึงแม้เป็นไข้หวัดใหญ่ก็หายภายใน 1 วัน ชื่อผู้ป่วย : นางสาวประภาศวี อินคล้าย อายุ 36 ปี โทร. 085 195 2606สะดวกให้ติดต่อสอบถามได้เวลา : 18.00 - 20.00 น. การรักษาโรค “SLE” ด้วยวิถีทางโภชนาการ (ฉบับสมบูรณ์)
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารรสหวาน,ผลไม้รสหวานมาก,เลี่ยงน้ำตาลฟอกขาว
- แป้งขาว เช่น ขนมปัง,เส้นก๋วยเตี๋ยว,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป,ซาลาเปา,ปาท่องโก๋
- อาหารรสจัด,เค็มจัด,เผ็ดจัด,เปรี้ยวจัดและมีรสมันจัด
- อาหารที่มีกลูเตนสูง,ข้าวสาลี,ข้าวโอ๊ด,ข้าวบาร์เลย์,ข้าวไรน์
- แอลกอฮอล์,คาเฟอีน (ชา,กาแฟ) ของหมักดอง
- อาหารทะเล กุ้ง ปู และหอย (ควรงดเด็ดขาด)
- เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว ให้เน้นทานเนื้อปลา
- ลดในสิ่งที่ตัวเองแพ้ เช่น น้ำผึ้ง,ข้าวโพด
- อาหารที่ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี น้ำมันถั่วเหลือง ทานตะวัน ข้าวโพด ดอกคำฝอย รำข้าว (น้ำมันพวกนี้มี OMEGA 6 สูงทำให้เกิดการอักเสบ) และไขมันทรานส์ (ตัวร้ายที่สุด)
- ผู้ป่วยราว 20 % จะแพ้อาหาร (NIGHT SHADE) เช่น มะเขือเทศ,มะเขือ,มันฝรั่ง,พริกไทย,พริกใบยาสูบ(บุหรี่),ถั่ว,ข้าวโพด,งา
- อาหารที่มีนมวัวผสม นมวัวมีโปรตีนเคซีน ร่างกายย่อยยาก
- หลีกเลี่ยงสารเคมีโดยการสัมผัส,สูดดม และงดทานอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรส,วัตถุกันเสียอาหารที่ควรรับประทาน
- น้ำมันมะพร้าว+กระเทียมเป็น SUPER ANTIOXIDANT ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานอย่างสูงเรียกว่ากรดอัลฟ่าไลไปอิด ดูรายละเอียด
- การดื่มน้ำให้ถูกต้องและพอสำหรับร่างกาย คลิกเพื่อดูรายละเอียด
- น้ำเอนไซม์มี 2 ชนิด 1.ได้จากผักสด+ผลไม้ 2.น้ำหมักชีวภาพ ช่วยกำจัดสารพิษ และช่วยย่อยอาหาร
- ข้าวกล้อง มีอิโนซิตอส ลดการอักเสบ (เลี่ยงข้าวขาว)
- ผักตำลึง,ใบบัวบก,ย่านาง คั้นเป็นเครื่องดี่มมีฤทธิ์เย็นและมีเอนไซม์ย่อยแป้ง
- มะละกอดิบ มีเอนไซม์ย่อยโปรตีน - ผักสด+ผลไม้ ทานสดมีเอนไซม์เพิ่มพลังชีวิต
- เน้นอาหารจากธรรมชาติ RAW FOOD ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด
- วิตามินและเกลือแร่ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- อาหารที่ย่อยง่ายและเคี้ยวอาหารให้นานขึ้น
- สาหร่ายทะเลช่วยส่งเสริมการทำงานไทรอยด์ (เพิ่มภูมิต้านทาน)
การรักษา SLE ด้วยโภชนาการและการปฏิบัติตอนเช้าและก่อนนอน1) ตื่นเช้าทำ OIL PULLING 15-20 นาที2) ตามด้วยการดื่มน้ำ 1-2 แก้ว3) รับประทานสิ่งต่างๆเหล่านี้วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหาร
- น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ไม่แต่งกลิ่นสังเคราะห์ เพราะมีสารเคมี)
- กระเทียมสด หรือกระเทียมอัดเม็ด (อิมมิวนีท็อป 2000)
- เลซิติน (ไวทัล-เอ็ม)
- น้ำมันตับปลา
- บริวเวอร์ยีสต์
- ขมิ้นชัน
- N-ACETYLCYSTEIN (NAC LONG),(MUCIL)
- Evening Primrose Oil (EPO)4) อาหารแต่ละมื้อให้ดูอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง และทานอาหารที่ควรรับประทาน อย่าลืมการดื่มน้ำที่ถูกต้อง5) ออกกำลังกายอย่างน้อย 15 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง6) พักผ่อนให้สบาย ฝึกมองโลกในแง่บวก จิตแจ่มใส ผ่อนคลาย7) เพิ่มอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ผักผลไม้, แตงกวา, ฟัก, ถั่วต้ม+เห็ดหูหนูขาว หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เย็น เช่น น้ำใบบัวบก, ย่านาง, เก็กฮวย, จับเลี้ยง, น้ำถั่วเขียว เพื่อดับร้อนในร่างกาย ดื่มแทนน้ำทุกวันจะดีมาก ไม่ใส่น้ำตาล หรือน้ำตาลน้อยบทความที่เกี่ยวข้อง :ออยล์พูลลิ่ง ภาค1: แบคทีเรียในช่องปากและวิธีการทำออยล์พูลลิ่ง
‘ชีวีมีสุขอย่างไร ถ้ามีโรคเอส แอล อี’
SLE - Systemic Lupus Erythrematosus
อันแสงแดด แผดกล้า ฝ่าไม่ได้ | แม้นมีไข้ มีเครียด เกลียดหนักหนา |
มีติดเชื้อ เนื้อหนัง พังเชียวนา | เสี่ยงกินยา นอกระบบ พบเคราะห์กรรม |
เอส แอล อี มีชีวิต คิดเป็นสุข | ควรไร้ทุกข์ ไร้โศก วิโยคหนา |
ออกกำลัง เป็นอาจิณ และกินยา | ไม่ลืมมา ตามแพทย์นัด พิพัฒน์เอย. |
Health care for SLE disease No sunshine, No serious, No flu , No disease, No worry
Be happy, need exercise , need have medicine the doctor order and need see the doctor
|
|
อาการปวดตามข้อ | อาการตัวร้อนเป็นไข้ |
ผู้ป่วยโรค เอส แอล อี ส่วนมากเมื่อทราบว่าตัวเองเป็นโรค เอส แอล อี จะมีความกังวลใจ ไม่ทราบว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรต่อไป จะมีครอบครัวมีบุตรได้หรือไม่ จะเรียนหนังสือจบไหม จะทำงานที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ได้หรือไม่ โรค เอส แอล อี จะถึงกับทำให้เสียชีวิตหรือไม่ จะมีอายุสั้นลงหรือไม่ คำตอบสำหรับปัญหาเหล่านี้คงอยู่ที่ว่าผู้ป่วยที่เป็นโรค เอส แอล อี หลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว อาการของโรคดีขึ้น โรคสงบลงแค่ไหน ถ้าโรค เอส แอล อี สงบลงจนผู้ป่วยเป็นปกติก็สามารถมีบุตรได้ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไปจะเรียนหนังสือหรือทำการงานต่าง ๆ ได้ตามปกติ อายุขัยก็ไม่สั้นกว่าคนปกติ แต่การจะทำให้โรค เอส แอล อี สงบลง ไม่สามารถทำได้ด้วยการรักษาจากแพทย์ หรือจากโรงพยาบาลอย่างเดียวเท่านั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยที่จะปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ไม่ให้โรคกำเริบและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเพื่อให้ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติเปลี่ยนแปลงกลับสู่สภาพเดิมให้มากที่สุดเพื่อให้โรคสงบลง การใช้ชีวิตของผู้ป่วยโรค เอส แอล อี จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อควรปฏิบัติดังนี้ |
โรคเอส แอล อี
โรคเอส แอล อี (Systemic Lupus Erythematosus ,SLE )
เป็นโรคในกลุ่มเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีการ อักเสบของอวัยวะต่างๆเกือบทุกที่ในร่างกาย ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติมีผลต่อต้านเซลล์และเนื้อเยื่อตัวเอง เกิดการทำลายเนื้อเยื่อจนทำให้เกิดอาการต่างๆ
สาเหตุ
ยังไม่ทราบ แน่ชัด น่าจะเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกันได้แก่ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์เป็นมากกว่าเพศชายประมาณ 10 เท่า โรคนี้กำเริบได้ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์และช่วงหลังคลอด แสดงว่าฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนมีบทบาท ส่วนปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมได้แก่ แสงอัลตร้าไวโอเลต, สารเคมีบางชนิด เช่นน้ำยาย้อมผม, ยาลดความดันบางตัวเช่น hydralazine เป็นต้น เชื้อโรคบางชนิดก็กระตุ้นให้เกิดโรคได้เช่นกัน
อาการ
อาจมีอาการ เล็กน้อยจนถึงรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ แต่สามารถรักษาให้สงบได้ ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและใกล้ชิดจากแพทย์เชี่ยวชาญด้านโรค ไขข้อ( Rheumatologist ) และอาจเกิดอาการทีละอย่าง หรือเกิดพร้อมกันหลายอย่างก็ได้
- อาการทั่วไป : ไข้, เบื่ออาหาร, อ่อนเพลีย, น้ำหนักลด, ผมร่วง
- ผิวหนัง : ผื่นแดงที่แก้มรูปคล้ายผีเสื้อ, ผื่นแพ้แดด, จ้ำเลือด
- ช่องปาก : แผลในปากเป็นๆหายๆ มักไม่เจ็บ
- ข้อ : ข้อปวดบวมแดงที่แขนขาจำนวน 2 ข้อหรือมากกว่า
- อวัยวะภายใน :
1. เจ็บหน้าอกจากเยื้อหุ้มปอดหรือหัวใจอักเสบ
2. ไตอักเสบ มักไม่มีอาการจนกว่าเป็นมากๆ ขาและหน้าจะบวม
3. ระบบประสาท เช่น ชัก อาการทางจิต
4. ระบบโลหิต เช่น ซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ, เกร็ดเลือดต่ำ และพบสารภูมิต้านทานที่ผิดปกติในเลือด ( Anti-DNA, Antiphospholipid, Antinuclear antibody [ANA] )
5. อาการอื่นที่พบไม่บ่อย ได้แก่ ต่อมน้ำเหลืองโต, ตับม้ามโต
การรักษา
1. การใช้ยา มีหลายชนิดขึ้นกับอวัยวะที่ผิดปกติและความรุนแรงของโรค
- โรคที่ไม่รุนแรง เช่น ไข้ ข้ออักเสบ เยื่อหุ้มปอดหรือหัวใจอักเสบเล็กน้อย ผื่นผิวหนัง ปวดศีรษะ เม็ดเลือดขาวต่ำ ใช้ยาแก้ปวด, ยาต้านการอักเสบ, ยาต้านมาเลเรีย
- โรคที่รุนแรง เช่น โรคไต ซีดจากเม็ดเลือดแดงแตกง่าย จ้ำเลือดจากเกร็ดเลือดต่ำ น้ำในช่องเยื่อหุ้ม - ปอดหรือหัวใจจำนวนมาก อาการทางระบบประสาท ปอดและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ใช้ยาสเตียรอยด์, ยากดภูมิคุ้มกัน
2. การให้ความรู้และคำแนะนำ แก่ผู้ป่วยและญาติในการปฏิบัติตัวดังนี้
- โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ รักษาไม่หายขาด เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่รักษาให้โรคสงบได้โดยรับประทานยาอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ และไม่พลาดนัด
- หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด ใช้ครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป
- หลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยไม่ใกล้ชิดผู้ป่วยติดเชื้อ, รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ, พักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงภาวะเครียด
- เวลาไม่สบาย ห้ามซื้อยารับประทานเอง ให้พบแพทย์และบอกว่าเป็นโรคลูปัส เพื่อเลี่ยงยาที่อาจทำให้โรคกำเริบเช่น ยาคุมกำเนิด, ยาลดความดันโลหิตบางตัว
- สามารถมีบุตรได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์ เพราะต้องรอให้โรคสงบอย่างน้อย 6 เดือน โดยไม่ต้องใช้ยามาก เนื่องจากโรคอาจกำเริบได้ และอาจต้องงดยาบางอย่างก่อน
- การคุมกำเนิด เลี่ยงยาคุมที่มีเอสโตรเจนและการใส่ห่วงซึ่งมีโอกาสติดเชื้อสูง
โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล
Link
https://www.naturalmind.co.th
https://www.csjoy.com
https://www.cgh.co.th