ความหมายของไข้เลือดออก


2,529 ผู้ชม


ความหมายของไข้เลือดออก วงจรไข้เลือดออก ความหมายของโรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก (Dengue Haemorrhagic Fever)

          โรคไข้เลือดออก ที่พบในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงในเอเซียอาคเนย์เกิดจากไวรัส dengue จึง
เรียกชื่อว่า Dengue hemorrhagic fever (DHF)
ซึ่งนับว่าเป็นโรคที่เป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขและการแพทย์
เพราะมีผู้ป่วยปีละเป็นจำนวนมาก และผู้ป่วยไข้เลือดออกอาจเกิดจากภาวะช็อก
ซึ่งทำให้ถึงเสียชีวิตได้รวดเร็ว
ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยและการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
โดยเริ่มระบาดครั้งแรกที่ประเทศ ฟิลิปปินส์ เมื่อ พ.ศ. 2497
และระบาดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2501


          ใน พ.ศ. 2524
เริ่มมีการระบาดของไข้เลือดออกเดงกีเป็นครั้งแรกที่ คิวบา
ภายหลังจากการระบาดของไข้เดงกีในปี 2520
หลังจากนั้นก็มีรายงานของไข้เลือดออกเดงกีเป็นโรคที่เกิดขึ้นใหม่ (emerging
disease) ในประเทศต่างๆ ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้มากขึ้น


         
เมื่อมีการเริ่มระบาดในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2501 มีรายงานผู้ป่วย
2,158 ราย คิดเป็นอัตราป่วยเท่ากับ 8.8 ต่อประชากรแสนคน
มีอัตราป่วยตายร้อยละ 13.90
โดยมีรายงานจำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มสูงมากขึ้นตลอด
แต่อัตราป่วยตายลดน้อยลงอย่างชัดเจน
ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเดงกีส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 5 – 9 ปี
รองลงมาได้แก่กลุ่มอายุ 10-14 ปี
ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคอย่างกว้างขวาง
โดยจะพบผู้ป่วยได้ทุกจังหวัดและทุกภาคของประเทศ

 


หัวข้อ


สาเหตุ และเชื้อที่เป็นสาเหตุของไข้เลือดออก

          โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลายบ้าน ( Aedes aegypti ) ตัวเมีย
บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง
เชื้อไวรัสแดงกีจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน
เชื้อไวรัสแดงกีจะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง
เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7
วันในช่วงที่มีไข้
หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน
ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวัน


          ลูกน้ำของยุงลายบ้าน
จะอยู่ในภาชนะขังน้ำชนิดต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made container)
ทั้งที่อยู่ภายในบ้าน และบริเวณรอบๆ บ้าน เช่น โอ่งน้ำดื่มน้ำใช้
บ่อซีเมนต์เก็บน้ำในห้องน้ำ ถ้วยหล่อขาตู้กับข้าวกันมด แจกัน
ภาชนะเลี้ยงพลูด่าง จานรองกระถางต้นไม้
ยางรถยนต์เก่าและเศษวัสดุต่างๆที่มีน้ำขัง เป็นต้น


          ลูกน้ำยุงลายสวน
มักเพาะพันธุ์อยู่ในแหล่งเพาะพันธุ์ธรรมชาติ (natural container) เช่น
โพรงไม้ โพรงหิน กระบอกไม้ไผ่ กาบใบพืชจำพวกกล้วย พลับพลึง หมาก ฯลฯ
ตลอดจนแหล่งเพาะพันธุ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นและอยู่บริเวณรอบๆบ้านหรือในสวน
เช่น ยางรถยนต์เก่า รางน้ำฝนที่อุดตัน ถ้วยรองน้ำยางพาราที่ไม่ใช้แล้ว
หรือแม้แต่แอ่งน้ำบนดิน

           เชื้อไวรัส Dengue
ซึ่งมี 4 ชนิดคือ Dengue 1,2,3,4 โดยมากผู้ ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออก
จะติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondary infection) มีเพียงส่วนน้อยที่
ติดเชื้อครั้งแรก (Primary infection)  โดยปกติ
ไข้เลือดออกที่พบกันทั่วๆไปทุกปี มักจะเกิดจาก เชื้อไวรัส Dengue ชนิดที่ 3
หรือ 4 แต่ ที่มีข่าวมาในระยะนี้ จะเป็นการติดเชื้อในสายพันธ์ ที่ 2
เป็นสายพันธ์ ที่พบได้ประปรายเช่นกัน แต่อาการมักจะรุนแรงกว่า สายพันธ์ที่
3, 4 และต้องเป็นการติดเชื้อซ้ำ ครั้งที่สอง Secondary Infection 
 


ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti)

[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]

การติดเชื้อไวรัส Dengue

          ไวรัสเดงกี
เป็น single strandcd RNA ไวรัส อยู่ใน Family Flaviviridae มี 4
serotypes ( DEN1, DEN2, DEN3, DEN4 ) ซึ่งมี antigen
ของกลุ่มบางชนิดร่วมกัน จึงทำให้มี cross reaction กล่าวคือ
เมื่อมีการติดเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว
จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้นอย่างถาวรตลอดชีวิต
แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกีอีก 3 ชนิด ในช่วงระยะสั้นๆ ประมาณ 6-12
เดือน (หรืออาจสั้นกว่านี้ ) ดังนั้น
ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีไวรัสเดงกีชุกชุม อาจมีการติดเชื้อ 3 หรือ 4
ครั้งได้


          ตามทฤษฎี ไวรัสทั้ง 4 serotypes
สามารถทำให้เกิด DF (Dengue Fever) หรือ DHF (Dengue hemorrhagic fever)
ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ ที่สำคัญคือ อายุ แล
ะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย มีการศึกษาทางระบาดวิทยาที่แสดงว่าการติดเชื้อซ้ำ
(secondary infection) ด้วยชนิดที่ต่างจากการติดเชื้อครั้งแรก (primary
infection) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เพราะส่วนใหญ่ประมาณ ร้อยละ 80-90
ของผู้ป่วยที่เป็น DHF มีการติดเชื้อซ้ำ


          ส่วนผู้ที่เป็น DHF
เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรกนั้น มักเป็นในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
ชนิดของไวรัสเดงกีที่เป็นครั้งที่ 1 และ 2 (sequence of infections)
อาจมีความสำคัญเช่นเดียวกัน
มีการศึกษาทางระบาดวิทยาในคิวบาและในประเทศที่แสดงว่ามีการติดเชื้อครั้งที่
2 ด้วย DEN2 มีโอกาสเสี่ยงสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการตามหลังการติดเชื้อครั้งแรกด้วย DEN1


          ในระยะแรกประเทศไทยจะแยกเชื้อ DEN2
จากผู้ป่วย DHF ได้ในอัตราที่สูงมากกว่าชนิดอื่น แต่ตั้งแต่ พ.ศ. 2526
เป็นต้นมาแยกเชื้อจากผู้ป่วยได้ DEN3 มากกว่าชนิดอื่นๆ การศึกษาทางด้าน
moleclar virology พบว่า มีความแตกต่างใน genotype/strain
ที่แยกได้จากที่ต่างๆ โดยเฉพาะมีการศึกษาเกี่ยวกับ DEN2 พบว่า DEN2
genotype จากประเทศไทย/เวียดนาม มีศักยภาพสูงที่จะทำให้เกิด DHF
เมื่อเป็นการติดเชื้อซ้ำ


องค์การอนามัยโลก ได้จำแนกกลุ่มอาการโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ตามลักษณะอาการทางคลีนิค ดังต่อไปนี้


          Undiffiferentiate fever (uf)
หรือกลุ่มอาการไวรัส พบในทารกหรือเด็ก จะปรากฎเพียงอาการไข้ 2 – 3 วัน
บางครั้งอาจมีผื่นแบบ maculopapula rash
มีอาการคล้ายคลึงกับโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆ
ซึ่งไม่สามารถวินิจฉัยได้จากอาการทางคลีนิค


          ไข้เดงกี Dengue Fever-DF
มักเกิดกับเด็กโตหรือผู้ใหญ่ อาจมีอาการไม่รุนแรง คือมีอาการไข้ร่วมกับ
ปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และมีผื่น
บางรายอาจมีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง ตรวจพบ tounrniquet test positive
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีเม็ดเลือดขาวต่ำได้ ในผู้ใหญ่เมื่อหายจากเป็นโรค
แล้วจะมีอาการอยู่นานโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถวินิจฉัยจากอาการทางคลีนิคได้
แน่นอน ต้องอาศัย การตรวจทางน้ำเหลือง/แยกเชื้อไวรัส


          ไข้เลือดออกเดงกี Dengue hemorrhagic
fever-DHF มีอาการทางคลีนิคเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างชัดเจน คือมีไข้สูงลอย
ร่วมกับอาการเลือดออก ตับโต และมีภาวะช็อกในรายที่รุนแรง
ในระยะมีไข้จะมีอาการต่างๆ คล้าย DF แต่จะมีลักษณะเฉพาะของโรค คือ
มีเกล็ดเลือดต่ำและมีการรั่วของพลาสมา ซึ่งถ้าพลาสมารั่วออกไปมาก
ผู้ป่วยจะมีภาวะ ช็อกเกิดขึ้นที่เรียกว่า dengue shock syndrome (DSS)
การรั่วของพลาสมา ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของโรคไข้เลือดออกเดงกี
สามารถตรวจพบได้จากการที่มีระดับ Hct สูงขึ้น มีน้ำในเยื่อหุ้ม
ช่องปอดและช่องท้อง


[กลับหัวข้อหลัก]

ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti)


อาการของผู้ที่ติดเชื้อโรคไข้เลือดออก

         
หลังจากได้รับเชื้อจากยุงที่เป็นพาหะแล้ว ประมาณ 5 - 8 วัน (ระยะฟักตัว)
ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการของโรค ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันได้
ตั้งแต่มีอาการคล้ายไข้เดงกี ไปจนถึงมีอาการรุนแรงมากจนถึงช็อก และ
ถึงเสียชีวิตได้


          โรคไข้เลือดออกเดงกี มีอาการสำคัญที่เป็นรูปแบบค่อนข้างเฉพาะ 4 ประการ เรียงตามลำดับการเกิดก่อน และ การเกิดหลัง ดังนี้


          ไข้สูงลอย : ไข้ 39-40
ทุกรายจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5
องศาเซลเซียส ไข้อาจสูงถึง 40 –41 องศาเซลเซียส
ซึ่งบางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้น
โดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติการชักมาก่อน หรือ ในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6
เดือน ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง ( Flushed face ) อาจตรวจพบคอแดง (injected
pharynx ) ได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหล หรืออาการไอ
ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคจากหัดในระยะแรก และโรคระบบทางเดินหายใจได้
เด็กโตอาจบ่นปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา


          ในระยะไข้นี้
อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย คือ เบื่ออาหาร อาเจียน
บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งในระยะแรกจะปวดโดยทั่วไป
และอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะที่มีตับโต ส่วนใหญ่ไข้จะสูงลอยอยู่ 2 – 7 วัน
ประมาณร้อยละ 15 อาจมีไข้สูงนานเกิน 7 วัน และบางรายไข้จะเป็นแบบ biphasic
ได้ อาจพบมีผื่นแบบ erythma หรือ maculopapular ซึ่งมีลักษณะคล้ายผื่น
rubella ได้



          อาการเลือดออก :
อาการเลือดออกที่พบบ่อยที่สุดที่ ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่า เส้นเลือดเปราะ
แตกง่ายการทำ torniquet test ให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 –3 วันแรกของโรค
ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้
อาจมีเลือดกำเดา หรือเลือดออกตามไรฟัน


          ในรายที่รุนแรง อาจมีอาเจียน แล ะถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (malena ) อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร
ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับภาวะช็อก ส่วนใหญ่จะคลำพบตับโตได้ประมาณวันที่ 3- 4
นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ตับจะนุ่มและกดเจ็บ


           ตับโต ส่วนใหญ่จะคลำพบตับโตได้ประมาณวันที่ 3 – 4 นับ แต่เริ่มป่วยตับจะนุ่มและกดเจ็บ


           ความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือ ช็อก
: มักจะเกิดช่วงไข้จะลด เป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมา
ซึ่งจะพบทุกรายในผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี โดยระยะรั่วจะมีประมาณ 24 – 28
ชั่วโมง


          ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย
ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีจะมีอาการรุนแรง มีภาวะการไหลเวียนล้มเหลวเกิดขึ้น
เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ช่องท้อง มากเกิด hypovolemic
shock ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว
เวลาที่เกิดช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลามีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3
ของโรค (ถ้ามีไข้ 2 วัน ) หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค (ถ้ามีไข้ 7 วัน )
ผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว
ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง ตรวจพบ pulse pressure แคบเท่ากับ หรือ น้อยกว่า
20 มม.ปรอท (ค่าปกติ 30 - 40 มม.ปรอท) โดยมีความดัน diastolic
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (BP 110/90 , 100/80 มม.ปรอท )
ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีที่อยู่ในภาวะช็อกส่วนใหญ่จะมีภาวะรู้สติดี
พูดรู้เรื่อง อาจบ่นกระหายน้ำ


         
บางรายอาจมีอาการปวดท้องเกิดขึ้นอย่างกระทันหันก่อนเข้าสู่ภาวะช็อก
ซึ่งบางครั้งอาจทำให้วินิจฉัยโรคผิดเป็นภาวะทางศัลยกรรม (acute abdomen )
ภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง รอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆ
ตัวเย็นชืด จับชีพจรและ/หรือวัดความดันไม่ได้ (profound shock )
ภาวะรู้สติเปลี่ยนไป และจะเสียชีวิตภายใน 12 – 24
ชั่วโมงหลังเริ่มมีภาวะช็อก หากว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาช็อกอย่างทันท่วงที
และถูกต้องก่อนที่จะเข้าสู่ระยะ profound shock
ส่วนใหญ่ก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว


          ในรายที่ไม่รุนแรง เมื่อไข้ลดลง
ผู้ป่วยอาจจะมีมือเท้าเย็นเล็กน้อย ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของชีพจร
และความดันเลือด ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในระบบการไหลเวียนของเลือด
เนื่องจากมีการั่วของพลาสมาออกไป แต่รั่วไม่มาก จึงไม่ทำให้เกิดภาวะช็อก
ผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อให้การรักษาในระยะสั้นๆ ก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว


 
[กลับหัวข้อหลัก]

ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti)

[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]

วิธีรักษาผู้ป่วย โรคไข้เลือดออก เบื้องต้น

         
ขณะนี้ ยังไม่มียาต้านไวรัส ที่มีฤทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไข้เลือดออก
และไม่มีวัคซีนป้องกัน การรักษาโรคนี้ เป็นแบบการรักษาตามอาการ
และประคับประคอง ซึ่งจะได้ผลดี ถ้าให้การวินิจฉัยโรค ได้ตั้งแต่ระยะแรก


การรักษา มีหลักปฏิบัติดังนี้


          - ในระยะไข้สูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีประวัติเคยชัก
หรือในรายที่ปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามตัว อาจให้ยาลดไข้
ควรใช้ยาพวกพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาพวกแอสไพริน
เพราะจะทำให้เกล็ดเลือดเสียการทำงาน และเลือดออกได้ง่ายขึ้น
ควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราว เฉพาะเวลาที่ไข้สูงเท่านั้น
เนื่องจากเป็นระยะที่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ซึ่งเมื่อหมดฤทธิ์ยาแล้ว
ไข้ก็อาจขึ้นสูงได้อีก จนกว่าเชื้อไวรัสจะหมดจากกระแสเลือด ร่างกาย
สร้างภูมิคุ้มกันขึ้น (Antibody) ขึ้นมาเอง


          - ให้ผู้ป่วยได้น้ำชดเชย
เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ทำให้ขาดน้ำ
และขาดเกลือโซเดียมด้วย ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำผลไม้
หรือสารละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ (โอ อาร์ เอส) ในรายที่อาเจียน
ควรให้ดื่มครั้งละน้อย ๆ และดื่มบ่อย ๆ


          - จะต้องติดตามดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
เพื่อจะได้ตรวจพบและป้องกันภาวะช็อกได้ทันเวลา ภาวะช็อก
มักจะเกิดพร้อมกับไข้ลดลง หรือภายใน 24 - 48 ชั่วโมง หลังจากไข้ลด
มักเกิดประมาณตั้งแต่วันที่ 3 ของการป่วย ควรแนะนำให้พ่อแม่
ทราบอาการนำของช็อก ซึ่งอาจจะมีอาการซึม เบื่ออาการ ไม่รับประทานข้าว
หรือดื่มน้ำติดต่อกันหลายวัน อาจมีอาการ ปวดท้องใต้ชายโครงขวา
หรือมีอาการปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น
แนะนำให้รีบส่งโรงพยาบาลทันที ที่มีอาการเหล่านี้ 


          - เมื่อผู้ป่วยไปตรวจที่โรงพยาบาล
แพทย์จะตรวจเลือดดูปริมาณเกล็ดเลือด และ ปริมาณเม็ดเลือดต่อน้ำเลือด
หรือเรียกว่า ฮีมาโตคริต Hct และอาจนัดมาตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเกล็ดเลือด
และฮีมาโตคริตเป็นระยะ ๆ เพราะถ้าปริมาณเกล็ดเลือดเริ่มลดลง
และฮีมาโตคริตเริ่มสูงขึ้น เป็นเครื่องชี้บ่งว่าน้ำเลือด
รั่วออกจากเส้นเลือด และอาจจะช็อกได้ จำเป็นต้องให้สารน้ำชดเชย


          - โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องรับผู้ป่วย
เข้ารักษาในโรงพยาบาลทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระยะแรกที่ยังมีไข้
สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยให้ยาไปรับประทาน และแนะนำให้ผู้ปกครอง
เฝ้าสังเกตอาการตามข้อ 3 หรือแพทย์นัด ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล เป็นระยะ ๆ
โดยตรวจดูการเปลี่ยนแปลง ตามข้อ 4 ถ้าผู้ป่วยมีอาการ หรือแสดงอาการช็อก
อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด ถึงแม้อาการไม่มาก
ก็ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย และถือว่าเป็นเรื่องรีบด่วนในการรักษา


          - ต้องให้คำแนะนำอาการอันตราย
หรืออาการก่อนช็อกแก่ผู้ปกครอง เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้
ข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล


ที่มา www.thaisnews.com

อัพเดทล่าสุด