จะทราบได้อย่างไรว่าตนเองตั้งครรภ์
เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ช่วงอายุระหว่าง10-20ปี จะเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ไปสู่ความสมบูรณ์ของภาวะการเจริญพันธุ์ โดยเพศชายจะมีฮอร์โมนAndrogen เพิ่มมากขึ้นทำให้มีสิวขึ้นบริเวณใบหน้า
มีเสียงทุ้มใหญ่ขึ้น มีรูปร่างสูงใหญ่มากขึ้น มีขนที่รักแร้และบริเวณหัวหน่าว และมีการหลั่งอสุจิเป็นครั้งแรก ที่เรียกว่า
"ฝันเปียก" ส่วนเพศหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆ ได้แก่Gonadotrophins จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
มากระตุ้นรังไข่ให้ทำหน้าที่ มีการเจริญเติบโตของถุงไข่ มีการหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้มีการเจริญเติบโตทางเพศ
ได้แก่มีการเจริญเติบโตของเต้านม ต่อมน้ำนม สะโพกผายมีขนที่รักแร้และบริเวณหัวหน่าว มีส่วนโค้งและส่วนเว้าของ
ร่างกายมากขึ้น และเริ่มมีประจำเดือน ซึ่งหมายถึงสตรีผู้นั้นมีความสามารถที่จะตั้งครรภ์ได้ เมื่อมีการผสมกันระหว่าง
ไข่กับอสุจิ จะโดยการมีเพศสัมพันธ์หรือโดยวิธีการอื่นใดก็ตาม และตัวอ่อนที่ได้รับการผสมแล้วมีการเดินทางไปฝังตัวภายใน
โพรงมดลูก ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม
วิธีการสังเกตว่าตนเองตั้งครรภ์
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ด้วยตนเองเป็นเรื่องไม่ยาก เนื่องจากการตั้งครรภ์จะส่งผลให้สตรีนั้นมีการเปลี่ยนแปลง
ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ถ้าสตรีผู้นั้นเป็นคนที่เอาใจใส่ต่อสุขภาพของตนเองและสังเกตตนเองอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถ
ที่จะสังเกตตนเองได้ว่าตั้งครรภ์หรือไม่ จากอาการและอาการแสดงดังนี้
อาการและอาการแสดงที่สงสัยว่าจะตั้งครรภ์
1. การขาดประจำเดือน สำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาเป็นปกติทุกเดือนแต่อยู่ๆประจำเดือนขาดหายไป เมื่อถึงกำหนดควร
มาก็ไม่มาเหมือนที่เคยเป็น จุดนี้ให้สงสัยเอาไว้ก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าประจำเดือนขาดแล้วจะตั้งครรภ์ทุกรายเสมอไปอาจเกิด
จากสาเหตุอื่นก็ได้
2. มีอาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ส่วนใหญ่อาการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ1-3เดือนและจะเกิดขึ้นใน
ตอนเช้าหลังตื่นนอนใหม่ๆที่เรียกกันว่า "แพ้ท้อง"หรือ"Morning sickness" แต่สตรีตั้งครรภ์บางคนก็อาจไม่มีอาการนี้
3. มีการเปลี่ยนแปลงของเต้านม เต้านมขยายใหญ่ขึ้นกว่าปกติ ลานนมกว้าง หัวนมมีสีคล้ำและรู้สึกเจ็บที่หัวนม สตรีบางคน
อาจมีน้ำนมสีเหลืองๆซึมออกมาจากหัวนมเล็กน้อยได้ ไม่ถือว่าผิดปกติ
4. มีอาการปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นและไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะโดยตรง เป็นเหตุให้ปัสสาวะบ่อย
โดยไม่มีอาการแสบขัดแต่อย่างใด เป็นเรื่องปกติของคนท้องเช่นกัน
5. มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เนื่องจากร่างการมีการเผาผลาญมากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นและเอาแต่นอนเหมือนคนขี้เกียจ
6. มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง โดยเพิ่มการสร้างPigmentation ของผิวหนังมากขึ้น ทำให้ใบหน้า คอ รักแร้ อวัยวะเพศ
มีสีคล้ำไม่ขาวผ่องเหมือนเคย นอกจากนี้เส้นที่กลางท้องจะมีสีคล้ำ เรียกว่า Striae
7. อาจมีความรู้สึกเหมือนมีเด็กดิ้นตุ๊บๆอยู่ในท้องเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ4-5 เดือน เป็นต้นไป
8. สตรีตั้งครรภ์มักมีอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่าย ใจน้อย อยู่เป็นประจำเมื่อสตรีสังเกตตนเองแล้วว่ามีอาการเหล่านี้คงจะเกิด
ความสงสัยมากยิ่งขึ้นว่าตั้งครรภ์หรือไม่
อาการและอาการแสดงดังต่อไปนี้จะช่วยตอกย้ำความสงสัยได้ว่า "น่าจะตั้งครรภ์แล้ว" ได้แก่
1. หน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น เมื่อตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนไปแล้วมดลูกจะค่อยๆโตขึ้นพ้นกระดูกหัวหน่าวจะคลำพบก้อนนูน ๆ เหนือหัวหน่าวในตอนเช้า
2. อาจมีการหดรัดตัวของมดลูกเป็นบางครั้ง มักสังเกตได้เมื่อตั้งครรภ์ 4 เดือนไปแล้ว
3. ใช้แถบตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ จะได้ผลเป็นบวก
4. คลำทางหน้าท้องจะพบมดลูกโตเป็นก้อน มีขอบเขตของทารกชัดเจนมากขึ้น ใช้มือจับมดลูกโยกเบาๆจะรู้สึกได้ว่าทารกลอยอยู่ในถุงน้ำคร่ำ โดยเฉพาะในสตรีครรภ์แรก หรือสตรีที่มีผนังหน้าท้องบาง
อาการทั้งหมดเหล่านี้ค่อนข้างเชื่อถือได้ว่า น่าจะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้ว ควรเตรียมตัวไปพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์โดย
ไม่รอช้า เมื่อไปพบแพทย์ตรวจ จะพบว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแน่นนอน เมื่อตรวจพบดังต่อไปนี้
1. ตรวจพบการเต้นของหัวใจทารก ซึ่งปกติจะฟังเสียงหัวใจทารกทางหน้าท้องมารดาได้ เมื่อตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนเป็นต้นไป ในอัตรา 120-160 ครั้ง/นาที
2. ตรวจพบการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ เมื่อเอามือสัมผัสบริเวณหน้าท้องของสตรีตั้งครรภ์จะพบทารกดิ้นตุ๊บๆ เมื่อตั้งครรภ์ได้4-5 เดือนเป็นต้นไป ลักษณะนี้เรียกว่า"ลูกดิ้น"
3. ถ้าตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ อัลตร้าซาวน์ ก็จะพบตัวทารกชัดเจนแล้วส่วนใหญ่สตรีที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุกเดือน และเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์แล้วควรมาพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์แต่เนิ่นๆ เพราะการฝากครรภ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่และลูกน้อย เพื่อจะได้ตั้งครรภ์อย่างมีความสุข และมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงทั้งมารดาและทารก