เกาลัด หรือเชสนัท (Chestnut) ภาษาจีนเรียกว่า “เลียกก้วย” “ไต่เลียก” หรือ “ปังเลียก” เป็นพืชจำพวกถั่ว หรือพืชเมล็ดเปลือกแข็ง ที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก ให้ไขมันต่ำ และอุดมด้วยวิตามินบี มีแร่ธาตุ โพแทสเซียม และกรดโฟลิก เช่นเดียวกับอัลมอนด์ และมะม่วงหิมพานต์ ผลเกาลัดมีลักษณะค่อนข้างกลม สีเขียวมีขนแหลม เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลและแตกออก ภายในมีเมล็ด และใช้ส่วนเนื้อในเมล็ดกินเป็นอาหารในประเทศจีนนิยมกินเกาลัดทั้งดิบและสุก ชาวจีนถือว่าเกาลัดเป็น “ราชาแห่งเมล็ดพันธุ์พืช” จึงมีการปลูกอย่างแพร่หลายในจีนและผลิตสำหรับส่งออกเมื่อนำเกาลัดไปคั่วในทรายร้อน ๆ จะมีรสหวานอร่อย เกาลัคเป็นพืชที่มีลำต้นขนาดใหญ่ และเมล็ดมีปริมาณเนื้อในมาก ทั้งยังมีรสชาติดี สามารถนำมารับประทานได้ จนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในต่างชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น สำหรับในประเทศไทยแล้ว เกาลัคยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าใดนัก และยังมีขายเฉพาะบางพื้นที่ มีมากในบริเวณตลอดถนนเยาวราช เพราะเกาลัคเป็นผลไม้อันเป็นที่นิยมของประชาชนคนไทยเชื้อสายจีน ในประเทศกึ่งร้อนตั้งแต่ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี จะมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นและอุณหภูมิเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเกาลัค จึงมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศดังกล่าว โดยเกาลัคที่ปลูกนั้นจะมีขนาดลำต้นสูงใหญ่ และให้ผลผลิตที่ยาวนาน ปกติแล้วเกาลัคจะให้ผลผลิต เมื่อมีอายุได้ประมาณ 7 ปี คือเริ่มผลิดอกที่เป็นสีขาวนวลราวเดือนมิถุนายน จากนั้นดอกจะค่อย ๆ พัฒนากลายเป็นผลที่มองดูไกล ๆ แล้วจะมีลักษณะคล้ายกับผลเงาะที่มีขนสีเขียวปกคลุมโดยรอบ ซึ่งจะพัฒนาจนมีขนาดโตเท่ากับผลเงาะโรงเรียน จากนั้นเมื่อผลแก่ผิวนอกที่เป็นหนามคลุมก็จะกลายเป็นสีน้ำตาล และปริแยกออกเผยให้เห็นเม็ดเกาลัค ที่มีลูกกลม ๆ สีน้ำตาลดำ เรียงตัวกันอยู่ภายใน 3 - 5 เม็ด เมื่อนำไปคั่วและแกะเปลือกสีน้ำตาลดำออกมา ก็จะพบกับเนื้อในที่เป็นสีขาวขุ่น นำมาทานแล้วจะมีรสชาติมันเคี้ยวเพลินจนยากที่จะอดใจไหว นอกจากความอร่อยมันเคี้ยวเพลินแล้ว เกาลัคยังมีประโยชน์อีกมากมาย ดังนี้ค่ะ • เกาลัดมีฤทธิ์อุ่น รสหวาน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย บำรุงไต กล้ามเนื้อ ม้าม และกระเพาะอาหาร บำรุงลม แก้ร่างกายอ่อนแอ • แก้ไอ ละลายเสมหะ แก้อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเดิน • ห้ามเลือด ช่วยการไหลเวียนเลือด • แก้อาการถ่ายเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล • แก้วัณโรคที่ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต และอาเจียนเป็นเลือด วิธีการทำเกาลัค • ต้มเกาลัด 500 กรัมกับน้ำตาลทราย 180 กรัม จนเปื่อยนิ่ม แล้วนำมายีและกดด้วยแม่พิมพ์ กินเป็นขนมหรือของว่างสำหรับเด็กที่มีกระดูกและกล้ามเนื้ออ่อนแอ และยังเหมาะกับผู้ป่วยหรือผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรงอีกด้วย • กินเกาลัดแห้ง 7 เมล็ดต่อวัน กับโจ๊กไตหมู ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังและปวดเท้าได้ หรือกินเกาลัดดิบ แก้คออักเสบ • เผาเปลือกเกาลัดแล้วนำมาบดเป็นผงให้ได้ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้ง 30 กรัม กินรักษาริดสีดวงทวาร • ต้มเกาลัด 60 กรัมกับพุทราจีนแห้ง 4 ผล และหมูเนื้อแดง กินบำบัดอาการหอบหืดหรือไอ
• เกาลัดคั่วในเม็ดทราย เกาลัดคั่วที่เห็นกันมาก ๆ มักจะมีเม็ดสีดำเล็ก ๆ คั่วรวมอยู่ด้วย บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเมล็ดกาแฟจริง ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เม็ดสีดำเล็ก ๆ นั้น คือ เม็ดทรายขนาดประมาณ 3-5 มิลลิเมตร เป็นทรายที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือที่เห็นตามตู้ปลาสีออกน้ำตาล พ่อค้าหรือแม่ค้าจะนำเอาทรายแห้งใส่ลงไปในกระบะใบใหญ่ พอทรายร้อนระอุได้ที่จนเป็นสีดำ ก็จะนำเอาลูกเกาลัดใส่ลงไป บางร้านเติมน้ำตาลทรายคั่วรวมกันให้ได้รสหวาน บางร้านเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่เมล็ดกาแฟคั่วลงไป เหตุผลที่ต้องใช้เม็ดทรายเพราะเม็ดทรายช่วยเก็บความร้อนไว้ได้นาน ซึ่งดีสำหรับการทำให้เกาลัดสุกถึงเนื้อผลด้านใน และหากสังเกตกันดี ๆ เนื้อผลของเกาลัดนั้นจะไม่ติดกับเปลือก ดังนั้นการใช้ทรายที่ร้อนระอุตลอดเวลาจะช่วยให้เนื้อเกาลัด ค่อย ๆ สุก แต่ต้องหมั่นคนเพื่อไม่ให้เกาลัดไหม้ ซึ่งจะคั่วกันนาน 30-40 นาที เม็ดทรายนั้นใช้ได้นานกว่า 1 เดือน เรียกว่าคั่วเกาลัดได้หลายกระทะ จนทรายที่เป็นเม็ดเริ่มป่นเป็นผง แล้วจึงจะเปลี่ยนไปใช้เม็ดทรายชุดใหม่ต่อไปนี้ก็เข้าใจใหม่ว่า เกาลัดนั้นคั่วในทราย ไม่ใช่เมล็ดกาแฟอย่างที่เข้าใจกัน ข้อควรระวัง - ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดบ่อย ๆ อาหารไม่ย่อย ไม่ควรรับประทานเกาลัค - ผู้ที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ ร้อนใน ตาบวม ไม่ควรรับประทานเกาลัค |
แหล่งที่มา: www.chinatownyaowarach.com |