บอสจ๋า ขอนมแม่ให้หนูกินหน่อย


1,019 ผู้ชม


บอสจ๋า ขอนมแม่ให้หนูกินหน่อย

ปัญหาใหญ่ที่สุดของคุณแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้านพบเจอคือ ความยากลำบากในการให้นมลูก ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ลูกทุกคนควรได้กินนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรก แต่ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่างทำให้คุณแม่หลายคนต้องล้มพับโครงการนี้ไป และได้แต่โทษตัวเองว่า ฉันเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ความจริงแล้วความผิดพลาดอยู่ตรงไหนกันนะ

เด็ก

จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 พบว่า อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เมื่อแรกเกิดสูงถึง 91.2% แต่เมื่อต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลา 3 เดือน จำนวนกลับลดลงฮวบไปกว่าครึ่ง ยิ่ง 6 เดือนด้วยแล้ว ยิ่งน้อยลงเหลือเพียงแค่ 7.1% เท่านั้น นั่นหมายความว่า มีคุณแม่คนไทยที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลา 6 เดือนอย่างที่รณรงค์กันนั้น จำนวนน้อยมากๆ จนน่าใจหาย

คำถามคือ ปัญหาเกิดจากอะไร คงต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังไม่มีมาตรการอะไรที่แข็งแรงพอสำหรับการรองรับเรื่องสิทธิของแม่ในการให้นมลูก ถึงแม้ว่าเราจะมีกฎหมายคุ้มครองให้สิทธิลาคลอดได้ไม่เกิน 90 วันก็ตาม แต่ด้วยความจำเป็นของคุณแม่หลายคนที่จำต้องหยุดการให้นมลูกไป ได้แก่ หนึ่ง รายได้ครอบครัวหายไปจึงต้องรีบกลับมาทำงาน สอง วัฒนธรรมองค์กรบางที่ไม่ยอมรับกับการลาหยุดนานๆ สาม ทำงานไกลบ้าน เช่น แม่กับลูกอยู่คนละจังหวัด และสี่ ไม่มีสถานที่สำหรับปั๊มนมให้ลูกในที่ทำงาน

Happy Workplace = Happy Together

หลายคนอาจไม่เข้าใจว่า ทำไมการให้นมลูกถึง 6 เดือนจึงสำคัญและส่งผลดีต่อการทำงาน เรา มีแผนผังอธิบายง่ายๆ ดังนี้ 

ลูกกินนมแม่นาน 6 เดือนขึ้นไป

v

ลูกแข็งแรง    >   พร้อมเรียนรู้ สมองดี อารมณ์ดี    >    เด็กมีคุณภาพ   >    ครอบครัว Happy

แม่แข็งแรง (นมไม่คัด)   >    แม่ไม่เครียด เพราะลูกไม่ป่วย ไม่มีหนี้   >    แม่มีสมาธิทำงาน งานมีประสิทธิภาพ    >    แม่ Happy

ลูกจ้างไม่หยุดบ่อย ไม่ลาออก   >    ลูกจ้างซื่อสัตย์ต่อองค์กร   >    ลูกจ้างทำงานดี ได้ตามเป้า รายได้เพิ่ม   >    องค์กร Happy

v

สังคม Happy

ดังนั้น การที่แม่ได้ให้นมลูกนานเกิน 6 เดือนนั้น ทุกฝ่ายล้วนแต่ได้ประโยชน์ แต่เราจะทำได้อย่างไรในเมื่อมีข้อจำกัดมากมายอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทางออกง่ายๆคือ การมีมุมนมแม่ในสถานที่ทำงานนั่นเอง

พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช เลขาธิการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย พูดถึงความยากลำบากของคุณแม่ที่ไม่มีมุมนมแม่ในที่ทำงานว่า “การเข้าไปปั๊มนมในห้องน้ำคือความยากลำบาก มีกลิ่นเหม็น ไม่สะอาด ไม่ส่วนตัว ไม่มีที่ให้วางอุปกรณ์สำหรับบีบ เพราะฉะนั้นจึงเป็นอุปสรรคอย่างมาก มีหลายแห่งที่ผู้บริหารเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าพนักงานไปปั๊มนมในห้องน้ำ เพราะไม่เคยมีใครคิดถึงเรื่องนี้ เราจึงได้จัดทำโครงการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตสตรีวัยทำงานและครอบครัวขึ้นมาเพื่อให้องค์กรเห็นความสำคัญของการมีมุมนมแม่ในที่ทำงานขึ้นมา” โครงการนี้ดำเนินการมากว่า 7 ปีแล้ว มีสถานประกอบการเข้าร่วมกว่า 1,018 แห่ง แต่มี 30 แห่งที่กำลังทำให้เป็นต้นแบบเพื่อเป็นตัวอย่างแก่สถานประกอบการอื่นๆ ต่อไป

ตัวอย่างมุมนมแม่ในสถานประกอบการ

 คุณภัสธารีย์ จิตรธนสิทธิ์ ประธานแกนนำแม่อาสา จาก บจก. สยามเด็นโซ่ แมนูแฟคเจอริ่ง หนึ่งในบริษัทต้นแบบที่ประสบผลสำเร็จในการทำมุมนมแม่ เล่าให้ฟังว่า “บริษัทมีพื้นที่ที่สามารถให้ปั๊มนมได้ ถึงแม้ระบบการทำงานของเราจะต้องเดินเครื่องตลอดเวลา ทุกคนจึงไม่สามารถลุกไปไหนได้นานๆ ดังนั้นพนักงานที่นี่จะมาปั๊มนมในตอนเช้า เที่ยง เวลาพักเบรก และตอนเย็น ที่สำคัญคือเรื่องของสังคมเวลาที่แม่ๆมาปั๊มนม เขาก็จะมาคุยกัน ให้กำลังใจกัน เพิ่มความเชื่อมั่นและคลายความเครียดได้ดี นอกจากนี้ยังมีการจัดอบรมพนักงานตั้งแต่ตั้งครรภ์ มีพยาบาลช่วยกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการให้นมแม่ด้วย”

ในส่วนของ คุณนันท์นภัส เสรฐิติวรโชติ ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล จาก บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) อีกหนึ่งบริษัทต้นแบบที่ทำมุมนมแม่มาอย่างยาวนาน เสริมว่า “การมีมุมนมแม่นี้ สามารถช่วยลดการลางานของพนักงานได้มาก จากที่ต้องหยุด 3 เดือน ก็อาจหยุดน้อยลง เพราะบริษัทมีสถานที่รองรับเรื่องการให้นมลูก หรือลดการลาออก ซึ่งทำให้ไม่ต้องสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถ มีทักษะ การหาคนใหม่มาแทนกว่าจะฝึกทักษะให้ได้เท่าคนเก่า บริษัทอาจต้องสูญเสียรายได้มากกว่า”

การมีมุมนมแม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแม่ไม่มีนมให้ลูกกิน เพราะบรรดาแม่ๆสามารถบีบเก็บน้ำนมแล้วแช่แข็งเก็บไว้ได้ โดยเฉพาะแม่ที่ต้องมาทำงานไกลคนละจังหวัดแต่ลูกๆก็ยังสามารถกินนมแม่ได้ “บางคนอยู่ใกล้ เย็นวันศุกร์ก็เอานมไปส่ง บางคนอยู่ไกลก็ส่งเดือนละครั้งโดยแช่แข็งไว้ พอจะกลับบ้านเขาก็เอาใส่ถังโฟม ถังน้ำแข็ง ส่งด้วยตัวเอง หรือฝากส่งผ่านทางรถทัวร์ ก็พยายามทำกันทุกวิถีทาง บางคนให้ได้ถึงปีสองปี น่าภูมิใจแทน” คุณนันท์นภัส กล่าวเพิ่มเติม     

 องค์กรจะได้อะไรจากมุมนมแม่

จากที่กล่าวไปบ้างแล้วว่า องค์กรต่างๆจะสามารถรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้ รวมทั้งพนักงานเกิดความซื่อสัตย์ต่อองค์กร ส่วนในเรื่องของการได้กำไรหรือการขาดทุนนั้น ผศ. ดร.จิราภรณ์ ระโหฐาน รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี ได้พัฒนาโปรแกรมวัดผลชื่อว่า ROI (Return of Investment) ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. ซึ่งโปรแกรมนี้จะทำให้องค์หรือบริษัทมองเห็นภาพว่าการทำมุมนมแม่นั้นได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าจริง

“อย่างที่บริษัทเดลต้าใช้โปรแกรมนี้มาคำนวณพบว่า ต้นทุนในการจัดตั้งมุมนมแม่ใช้เงินจำนวน 174,300 บาท แต่กลับได้ผลตอบแทนกลับมาถึงกว่า 3,925,800 บาท โดยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการที่ไม่ต้องหาพนักงานใหม่ การฝึกอบรมพนักงาน ผลกำไรจากพนักงานที่ไม่ได้ลาป่วยและลากิจทั้งสิ้น”

“คือตอบโจทย์ผู้บริหารหลายๆบริษัท ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าบริษัทได้อะไร คุ้มไหม ช่วยลดการลาออก ลดขาดลา มาสาย หรืออะไรที่คิดว่าจะส่งผลกระทบจริงๆ นอกจากนี้งานบางอย่างก็ต้องใช้ทักษะ ถ้าสมมติทำงานมา 10 ปี แต่งงานมีลูก แต่ต้องลาออก แล้วไปรับเด็กใหม่มา เมื่อไรทักษะคนใหม่จะเท่ากับคนที่ลาออกไปล่ะ ซึ่งการทำมุมนมแม่จริงๆก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย แค่ทำให้เป็นระบบเท่านั้น” คุณนันท์นภัส กล่าว               

ได้แต่หวังว่าในอนาคตข้างหน้า บ้านเราจะเห็นความสำคัญของกลุ่มคุณแม่ลูกอ่อนที่ต้องทำงานจนผลักดันให้เกิดเป็นกฎหมายบังคับให้สถานประกอบการมีมุมนมแม่ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อขับเคลื่อนคนในชาติของเราให้มีคุณภาพและมีความสุข วันแม่ปีนี้ ถ้ามีบริษัทไหนทำมุมนมแม่เพิ่มขึ้น คงเป็นของขวัญวันแม่ที่วิเศษสุดเลยทีเดียว 

แหล่งที่มา: women.sanook.com

อัพเดทล่าสุด