'เห็ดหลินจือแดง' สุดยอดสายพันธุ์ แห่งเห็ดหลินจือ หลินจือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีผู้นิยมใช้ในการบำบัด และป้องกันโรค ทั้งใช้บำรุงร่างกาย มานานกว่า 4,000 ปี หลินจือที่พบทั่วโลกมีกว่า 2,000 ชนิด แต่มีประมาณ 200 ชนิด ที่สามารถรับประทานได้โดยปลอดภัย และเป็นที่นิยมอย่างสูงในจีน ญี่ปุ่น อเมริกา ทั้งยังได้แพร่กระจายไปทั่วโลก ตำราแพทย์แผนจีนได้แบ่งสมุนไพรออกเป็น 3 กลุ่ม คือ สมุนไพรชั้นสูง ชั้นกลางและชั้นต่ำ สมุนไพรชั้นสูง เป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและฟื้นฟู ความผิดปกติต่างๆ ของร่างกายได้หลากหลาย มากมายหลายระบบ ทั้งยังสามารถใช้ได้ในปริมาณมาก และสามารถใช้ติดต่อกันได้นาน โดยปราศจากผลข้างเคียงใดๆ ซึ่งมีสมุนไพรไม่กี่ชนิดที่อยู่ในกลุ่มนี้ และเห็ดหลินจือคือหนึ่งในนั้น โดยสามารถแบ่งกลุ่มตามลักษณะการออกฤทธิ์ ทางยาได้ 4 กลุ่มใหญ่ดังนี้ 1. สารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) เป็นคาร์โบไฮเดรต โครงสร้างโมเลกุลใหญ่ ซึ่งสารที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้คือ เบต้า-ดี กลูแคน (Bata-D-Glucan) เป็นสารที่ช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพ ของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่งดังเดิม เบต้า-ดี-กลูแคน มีโครงสร้างโมเลกุลที่ซับซ้อน และมีโมเลกุลมาต่อกันยาวมาก ซึ่งบางท่านไม่สามารถย่อยได้ก็จะมีอาการถ่ายท้อง ในกรณีเช่นนี้ควรรับประทานพร้อมกับอาหารที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง เพราะวิตามินซี จะช่วยย่อยเบต้า-ดี-กลูแคน ให้มีโมเลกุลสั้นลงพร้อมแก่การดูดซึม ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องเสียได้ ประโยชน์ของเบต้า-ดี-กลูแคน 1. กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอก 2. ลดระดับน้ำตาลในเลือด 3. บำรุงหัวใจ 4. ต้านการอักเสบ 5. ช่วยเร่งกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน 2. สารไตรเทอร์พินอยด์ (Triterpenoids) เป็นสารรสขมซึ่งสามารถพบได้ในพืชทั่วไป แต่จะมีโครงสารที่แตกต่างกันตามชนิดของพืช และลักษณะโครงสร้างไตรเทอร์พินอยด์ของดอกเห็ดหลินจือมีความโดดเด่นมาก ซึ่งมีผลดีต่อร่างกาย ดังนี้ เป็นสารต้านฮีสตามีน (Antihistamine) หรือแก้แพ้นั่นเอง ในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ เม็ดเลือดขาวชนิด Mast cell ที่บริเวณผิวหนัง หลอดลม ปอด ทางเดินหายใจ เมื่อได้รับสารแปลกปลอมที่ทำให้แพ้จะแตก และหลั่งสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งก็คือฮีสตามีน หรือสารอื่นๆ ไตรเทอร์พินอยด์จะจับกับฮีสตามีน ทำให้อาการแพ้ทุเลาลงได้ การแพ้นั้นรวมถึงการแพ้อาหาร แพ้ยา แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น แพ้ละอองเกสรดอกไม้ แพ้กลิ่น หอบ หืด ผื่นคันตามตัว บวม คัดจมูก หายใจไม่ออก หลอดลมหดเกร็ง รุนแรงจนกระทั่งหัวใจหยุดเต้น ต้านพิษต่อตับ ตับเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่ถ้าตับเองได้รับสารที่เป็นพิษในปริมาณสูง ตับก็อาจเสียได้ เช่นไวรัสตับอักเสบ เหล้า ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอลในปริมาณสูงมากๆ สารรสขมนี้เมื่อร่างกายรับเข้าไปจะไปที่ตับก่อนและช่วยบำรุงเซลล์ตับ และช่วยลดความเป็นพิษของตับ จึงมีผลบำรุงตับนั่นเอง มีผลลดความดันโลหิต ผู้ป่วยหัวใจ เบาหวาน ไตเสื่อม มักพบว่ามีอาการความดันโลหิตสูงร่วมอยู่ด้วย สารรสขมนี้สามารถปรับสมดุลของความดันโลหิตให้ลงมาสู่ปกติ แต่จะไม่ลงต่ำกว่าธรรมชาติ (120/80 ม.ม.ปรอท) เพราะความสามารถในการเป็นสารปรับสมดุล (Adaptogen) นั่นเอง ฉะนั้นหากผู้ใดมีอาการบวม ปวดศีรษะตื้อๆ บริเวณท้ายทอย ให้สงสัยว่าอาจมีความดันโลหิตสูง งดออกกำลังกายเด็ดขาด ต้องพักผ่อน งดเกลือ งดเค็ม งดผงชูรส สังเกตว่ามีอาการบวมที่หน้า เปลือกตา น่อง ให้ไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง ลดการอุดตันของคอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในหลอดเลือด การอุดตันดังกล่าว เป็นสาเหตุให้หัวใจขาดเลือด (Myocardial infarction) และนิ่วในถุงน้ำดี สารรสขมนี้หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดการอุดตันในเส้นเลือดนี้ได้ 3. สารออแกนิค เยอร์มาเนี่ยม (Organic Germanium-Ge) สารเยอร์มาเนี่ยมได้ชื่อว่าเป็นสารเพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เยอร์มาเนี่ยมเป็นแร่ธาตุจำเป็น (Trace element) ที่ร่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้ ถ้าขาดอาจเกิดความผิดปกติแก่ร่างกายขึ้นได้ สารเยอร์มาเนี่ยมออกฤทธิ์ระดับเซลล์ เพิ่มความสามารถของเซลล์ในการปลดปล่อยพลังงานแก่ร่างกาย โดยเพิ่มปริมาณออกซิเจนแก่เซลล์ และ/หรือทำให้เซลล์สามารถนำออกซิเจนไปใช้ (Metabolite) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราทราบดีว่าถ้าร่างกายขาดออกซิเจนเราจะอยู่ไม่ได้ เช่นถ้าสมองขาดออกซิเจนอาจเกิด Stroke และเสียชีวิตได้ หรือเกิดภาวะเสื่อม หรือเสียสมดุลร่างกาย(Homeostasis) 4.สารอะเดโนซิน(Adenosine) อะเดโนซิน เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้าย RNA หรือ DNA ของเซลล์ร่างกาย เราเชื่อว่าอะเดโนซิน สามารถเข้าไปในเซลล์ที่ผิดปกติของร่างกาย และช่วยควบคุมไม่ให้เซลล์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง หรือผ่าเหล่า กลายเป็นเซลล์เนื้องอก อะเดโนซิน ยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างพลังงานของเซลล์ที่เรียกว่า ATP (Adenosine Tri Phosphate) ฉะนั้นอะเดโนซิน จึงให้พลังงานแก่เซลล์ แก่เนื้อเยื่อ อวัยวะ และร่างกายตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีสารอื่นอีกมากมายในหลินจือ ซึ่งเป็นสารประกอบแร่ธาตุที่จำเป็นแก่ร่างกายอีกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ วิตามิน, เกลือแร่, กรดอะมิโน, กรดไขมัน, ใยอาหาร, เอ็นไซม์และสารเออร์โกสเตอรอล ทำไมหลินจือจึงสามารถฟื้นฟูอาการป่วยได้หลายโรค จากหลักฐานรายงานการทำวิจัยที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พบว่าในเห็ดหลินจือมีสารต่างๆที่เป็นประโยชน์กับร่างกายกว่า 250 ชนิด ซึ่งสารต่างๆเหล่านี้ทำงานประสาน กันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่งผลให้ร่างกายเกิดความสมดุล เพิ่มพลังในการป้องกันและบำบัดโรค ระบบที่ธรรมชาติมอบให้ก็จะกลับมาทำงานได้ดังเดิม ซึ่งสามารถอธิบายในเชิงเภสัชวิทยาว่า หลินจือ ออกฤทธิ์ต่อ 5 ระบบดังต่อไปนี้ 1. ระบบภูมิต้านทาน (Immune System) ร่างกายคนเรามีระบบภูมิคุ้มกันคอยจัดการกับเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยอาศัยเม็ดเลือดขาว เป็นตัวคอยทำลายเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอม คนปกติควรมีเม็ดเลือดขาวประมาณ 6,000 เซลล์ต่อหนึ่งลูกบาศก์มิลลิเมตร หากน้อยกว่านี้แผลก็จะหายช้า หรือเป็นแผลเรื้อรัง แม้แต่โรคน่ากลัวอย่างมะเร็ง (Cancer) ซึ่งเป็นโรคที่ไม่มีเชื้อโรค แต่เกิดจากเซลล์ของร่างกายเราที่ผิดปกติและกลายพันธุ์ พร้อมกับมีการขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแย่งอาหารจากร่างกาย จนเราอาจขาดสารอาหาร สาเหตุที่ทำให้เซลล์เพี้ยนและกลายพันธุ์ก็เนื่องมาจาก ถูกอนุมูลอิสระดึงประจุไฟฟ้าออกไป ซึ่งโดยสภาพปกติของการดำรงชีพแล้ว เซลล์ผิดปกติเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ก็ถูกเม็ดเลือดขาวกำจัดตลอดเวลาเช่นกัน ซึ่งหากเรารับสารก่อมะเร็งเข้าไปมาก จนเม็ดเลือดขาวกำจัดไม่ทัน ก็จะเกิดมะเร็งและอาจเติบโตลุกลามไปทั่วร่างกาย จนทำให้เสียชีวิต ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องก็เช่นกัน ไวรัสเอดส์ (HIV: AIDS) จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว จนกระทั่งร่างกายมีเม็ดเลือดขาวในปริมาณที่ต่ำมาก ไม่สามารถจัดการกับเชื้อโรคต่างๆที่คอยฉวยโอกาสเข้ามาสู่ร่างกาย ผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่ได้เสียชีวิตด้วยไวรัสเอดส์ แต่เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่นโรคปอด วัณโรค โรคตับ หรือแม้กระทั่งไข้หวัดเพียงเล็กน้อยก็อาจลุกลามจนเสียชีวิตได้ ยังมีผู้ป่วยอีกกลุ่มหนึ่ง คือภูมิแพ้ (Allergy) มีสาเหตุมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวเช่นกัน เราพบว่าในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ดีคอยเตือนไม่ให้รับสิ่งแปลกปลอม คือสารที่แพ้ กล่าวคือเมื่อร่างกายได้รับสารที่แพ้ เซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะแตกและหลั่งสาร ฮีสตามีน ซึ่งมีผลทำให้เกิดอาการแพ้ อาทิเช่น น้ำมูก น้ำตาไหล ผื่นคัน แผลพุพอง บวม เป็นหอบหืด จนถึงช็อค (Sghock) หัวใจวาย หรือเสียชีวิตได้ เห็ดหลินจือมีผลไปเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว ช่วยให้ร่างกายจัดการกับอาการผิดปกติต่อระบบภูมิคุ้มกัน มีผลดีต่อผู้ที่เป็น ภูมิแพ้ เบาหวานที่แผลหายยาก เป็นหวัดเจ็บคอบ่อย ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง ทั้งยังช่วยผู้ป่วยเอดส์ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างคนปกติ นอกจากนี้ เรายังพบอีกว่าในหลินจือ มีสารที่เป็นพิษต่อเซลล์เนื้องอกที่ก่อตัวในร่างกาย ป้องกันไม่ให้มันเติบโต และกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ 2. ระบบหลอดเลือด (Cardiovascular System) ร่างกายประกอบด้วยหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดฝอย คอยส่งอาหาร สารเคมี ออกซิเจน ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น หัวใจ สมอง ตับ ไต และนำของเสียขับออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะและเหงื่อ เมื่อเราอายุมากขึ้น หรือได้รับสารอาหารที่มีอันตรายต่อหลอดเลือด เช่น อาหารที่เรารับประทานมีสารอนุมูลอิสระที่เป็นผลพลอยได้จากการเผาผลาญอาหาร หรือจากการหายใจของเราเอง น้ำตาล อินซูลิน บุหรี่ แอลกอฮอล์ ซึ่งล้วนส่งผลให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น ความสามารถในการนำพาสารอาหารไปเลี้ยงทั่วร่างกายย่อมลดลง และหากมีไขมัน คอเลสเตอรอล หรือเกล็ดเลือด มาเกาะตามผนังเส้นเลือด ก็จะทำให้เส้นเลือดตีบตัน จนไม่สามารถส่งอาหารไปทั่วทุกเซลล์ และของเสียก็ไม่สามารถขับถ่ายออกจากเซลล์ได้ ทำให้เกิดภาวะบกพร่อง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะแบบไมเกรน เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบ เส้นเลือดในสมองแตก ลุกลามจนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด โรคกล้ามเนื้อหัวใจโต ไตพิการ เซลล์ตับเสีย สมรรถภาพทางเพศเสื่อมเนื่องจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศไม่ขยายตัว เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดดำ เช่นริดสีดวงทวาร เส้นเลือดขอด แม้แต่ผิวพรรณเองหากมีเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ ก็จะทำให้เหี่ยวย่น ผมร่วง แก่กว่าวัย เห็ดหลินจือมีผลขยายหลอดเลือด ลดการทำลายของสารอนุมูลอิสระที่ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว มีผลลดการเกาะตัวของไขมัน คอเลสเตอรอล หรือเกล็ดเลือด ในหลอดเลือด ช่วยลดการเกิดภาวะดังกล่าวข้างต้น ผลดีที่น่าสนใจคือ การเสริมสมรรถภาพทางเพศ โดยช่วยขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศ และผลดีในการชะลอความแก่ ไม่เพียงแต่ผิวพรรณเท่านั้น แต่ชะลอการเสื่อมสภาพของอวัยวะภายในด้วย เช่น สมอง หัวใจ ตับ ไต เป็นต้น 3. ระบบประสาท (Nervous System) การทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ มีศูนย์สั่งงานมาจากสมองโดยผ่านระบบประสาทซึ่งโยงใยอยู่ทั่วร่างกาย ทำงานโดยสารสื่อประสาท และยังมีหลอดเลือดนำสารอาหาร และออกซิเจนมาเลี้ยง ซึ่งหากเกิดความผิดปกติของสารสื่อประสาท หรือระบบหลอดเลือดที่มาเลี้ยงเกิดตีบตัน ก็ย่อมส่งผลให้การทำงานของสมองบกพร่องเกิดภาวะผิดปกติ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หมดสติ ปลายแขนขาชา กล้ามเนื้อแขนขาลีบ เพราะไม่มีเส้นประสาทมาเลี้ยง อาจเกิดความพิการได้ หลินจือจัดเป็นสารปรับสมดุล (Adaptogen) ที่สามารถลดความเครียดในสมอง และเสริมสร้างสารสื่อประสาทแก่สมอง กระตุ้นระบบประสาท จนถึงสามารถปรับให้การทำงานของสมองกลับคืนภาวะปกติได้ ช่วยลดความพิการที่เกิดจากความเสื่อม และช่วยให้ระบบหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองทำงานดีขึ้น ทั้งยังเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองให้สูงขึ้นถึง 1.5 เท่า เราพบว่าผู้ที่รับประทานหลินจือเป็นประจำ ระดับความเครียดจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถช่วยลดปริมาณการใช้ยาคลายเครียด ซึ่งส่งผลถึงอัตราการเกิดโรคร้ายที่ตามมาจากความเครียดได้ 4. ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) ร่างกายคนเรามีต่อมอยู่ 2 ประเภท คือต่อมมีท่อ และต่อมไร้ท่อ เพื่อส่งสารเคมีหรือฮอร์โมนออกมาทำหน้าที่ต่างๆ ต่อมมีท่อ คือต่อมที่หลั่งสารผ่านท่อสู่ร่างกาย เช่น ต่อมน้ำลายในช่องปาก จะหลั่งน้ำย่อยออกมา ในขณะเราเคี้ยวอาหาร ต่อมเหงื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย และยังมีต่อมอีกกลุ่มหนึ่งที่สำคัญมาก หากผิดปกติจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะผิดปกติต่างๆ นั่นคือ ต่อมไร้ท่อ เป็นต่อมที่หลั่งสารเคมี หรือฮอร์โมนสู่ร่างกายโดยไม่ผ่านท่อ เช่นต่อมไทรอยด์ ซึ่งหลั่งฮอร์โมนไทรอกซิน มีผลช่วยควบคุมระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย หรือต่อมใต้สมองที่หลั่ง Growth Hormone ช่วยเร่งการเจริญเติบโตในเด็ก และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในผู้ใหญ่ หรือฟื้นความเป็นหนุ่มสาวให้แก่เราได้ 5. ระบบเผาผลาญอาหาร (Metabolism System) เป็นระบบใหญ่ที่เป็นสาเหตุของความผิดปกติต่างๆมากมายในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เช่นโรคหัวใจ ไตวาย ตับแข็ง ไขมันพอกตับ ภาวะขาดสารอาหาร โรคผิวหนัง เป็นต้น สารอาหารหลักที่ร่างกายเราจำเป็นต้องได้รับ คือ กลุ่มโมเลกุลใหญ่ ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ซึ่งร่างกายต้องได้รับในปริมาณสูง และในอัตราที่สมส่วน และอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มโมเลกุลเล็ก ได้แก่ วิตามิน และแร่ธาตุ ซึ่งร่างกายต้องการในปริมาณน้อย แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นขาดไม่ได้ เพราะทำให้ร่างกายขาดสมดุล หลินจือประกอบด้วยสารอาหารที่ครบและสมดุล นั่นคือมีวิตามิน แร่ธาตุ และโปรตีนในปริมาณสูงเพียงพอที่จะเสริมภาวะขาดแคลนต่างๆของร่างกาย ทั้งยังมีสารอื่นๆ อีกมากมาย ที่ช่วยแก้ไขระบบเผาผลาญอาหารให้คืนสู่สภาวะปกติ นอกจากนี้เรายังพบฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่สำคัญมากในหลินจือ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้วิตามินดี ทำหน้าที่ดูดจับแคลเซียมเข้ากระดูก ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้และที่สำคัญ หลินจือ มีสารทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ฉะนั้นในผู้ที่รับประทานหลินจือเป็นประจำโอกาสเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายจึงมีน้อยมาก เลือกเห็ดหลินจือแดงอย่างไรให้ได้ประโยชน์ เป็นช่วงเวลากว่าสองพันปีมาแล้วที่มีการค้นพบว่าในเห็ดหลินจือแดงมีสารสำคัญกว่าร้อยชนิดที่มีสรรพคุณสำคัญทางการแพทย์โดยการส่งเสริมภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าในเห็ดหลินจือแดงมีสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับร่างกายกว่า 250 ชนิด ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้ทำงานประสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่งผลให้ร่างกายเกิดความสมดุล เพิ่มพลังในการป้องกันและบำบัดโรค ร่างกายที่เคยทำงานได้ดีตามที่ธรรมชาติมอบให้ก็จะกลับมาทำงานได้ดังเดิม เห็ดหลินจือมีมากกว่า 2,000 ชนิดในโลก เราแบ่งเป็นสีต่างๆ 6 สีคือ ดำ เขียว ขาว เหลือง ม่วงและแดง ทั้ง 6 ชนิดนี้คือสายพันธุ์ที่ได้รับการศึกษามากที่สุด และในจำนวน 6 สายพันธุ์นี้ เห็ดหลินจือแดงคือสายพันธุ์ที่ได้รับการเพาะปลูกมากเพราะมีประสิทธิภาพทางยามากที่สุด อย่างไรก็ตามวิธีการปลูก สภาพแวดล้อมและการดูแลสามารถทำให้คุณภาพของเห็ดหลินจือแดงจากแหล่งต่างๆแตกต่างกันได้อย่างมาก เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือแดงที่มีคุณภาพมากที่สุด สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือ ขั้นแรก ควรเลือกเห็ดหลินจือแดงที่มาจากการเพาะปลูก ไม่ใช่เห็ดหลินจือที่มาจากธรรมชาติ เพราะคุณภาพของเห็ดที่มาจากธรรมชาติจะมีความหลากหลายตามสภาพแวดล้อมที่มันเติบโตขึ้น และโดยทั่วไปเห็ดหลินจือจะขึ้นในบริเวณที่เป็นป่าชื้น ไม่มีการรบกวนจากมลภาวะหรือมนุษย์ การเก็บเห็ดหลินจือแบบนี้อาจทำให้สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นเสียหายได้ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือแดงที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จึงเป็นเห็ดที่มาจากการเพาะเลี้ยงในโรงเรือนร้อน การเพาะปลูกแบบนี้มีต้นกำเนิดมาจากเมืองกุนมะ ประเทศญี่ปุ่น ที่ซึ่งตระกูลมายูซูมิเป็นผู้คิดค้นกรรมวิธีการเพาะปลูกบนขอนไม้โอ๊คญี่ปุ่น เห็ดหลินจือตากแห้งที่เราเห็นโดยทั่วไป มักจะเป็นเห็ดหลินจือดำ ซึ่งมีผลในด้านการบำรุงร่างกายบ้าง แต่เห็ดหลินจือแดงจะมีสารโพลีแซคคาไรด์มากกว่า ซึ่งส่งผลให้มีประสิทธิภาพทางยามากกว่า ขั้นที่สอง ควรเลือกผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือแดงที่ได้จากการสกัด หลายยี่ห้อเป็นการป่นให้เป็นผงแล้วนำไปบรรจุแคปซูลซึ่งราคาจะถูกกว่ามาก เห็ดหลินจือป่นจะไม่มีคุณสมบัติในการรักษาเพราะโครงสร้างของเห็ดหลินจือประกอบด้วยไคติน ซึ่งเป็นเหมือนเนื้อไม้แข็ง ยากต่อการย่อยและดูดซึมของร่างกายนอกจากจะมีการแปรรูปโดยการสกัด ผงเห็ดหลินจือที่ได้จากการป่นจะไม่มีคุณสมบัติทางยาและอาจก่อให้เกิดการแพ้ในบางกรณี เพราะฉะนั้นควรเลือกเฉพาะผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือแดงที่ผ่านการสกัดแล้วเท่านั้น โดยทั่วไปจะอยู่ในรูปผงสำหรับละลายน้ำหรือแคปซูล สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกรรมวิธีการเพาะปลูกและวิธีการสกัด เห็ดหลินจือแดงเป็นพืชที่โตยากและนั่นคือสาเหตุที่ทำให้มันเป็นสมุนไพรที่หายากและมีความต้องการมาก ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างในการเจริญเติบโตซึ่งค่อนข้างยากที่จะควบคุมในธรรมชาติ นอกจากนี้เห็ดหลินจือแดงยังมีความไวต่อมลพิษ โรคพืชและแมลงต่างๆ ดังนั้นการหาเห็ดหลินจือแดงที่เจริญเติบโตสมบูรณ์ในธรรมชาติจึงเป็นเรื่องยาก สปอร์เห็ดหลินจือแดงมีลักษณะที่แข็ง การที่มันจะเกิดเป็นต้นหลินจือใหม่ต้องมีจังหวะที่พอดี คือ สปอร์จะต้องไปตกในบริเวณซากต้นไม้ที่มีสารอาหารแบบที่มันชอบ อุณหภูมิต้องพอดี ความชื้นแสงสว่างที่เหมาะสม จากสาเหตุดังกล่าวทำให้การหาเห็ดหลินจือแดงที่เติบโตสมบูรณ์เต็มที่ในธรรมชาติเป็นเรื่องที่ยากมาก จากต้นไม้ 10,000 ต้น อาจจะมีเห็ดหลินจือแดงแค่ 2-3 ต้นเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาหลายปีศึกษาค้นคว้าว่าเห็ดหลินจือแดงจะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในสภาวะแบบใดประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่สามารถทำการเพาะปลูกและสกัดสารจากเห็ดหลินจือแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีการรับรองมาตรฐาน รวมทั้งได้สารออกฤทธิ์มากที่สุด นักวิจัยยังพบว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเก็บเห็ดหลินจือแดงคือช่วงที่มันเจริญเติบโตเต็มที่ ตัวยาต่างๆจะมีอยู่มากที่สุด การเพาะปลูกบางวิธีจะทำได้แค่เพียงต้นเห็ดหลินจือแดงที่มีขนาดเล็ก แกร็น ซึ่งตัวยาสำคัญก็ยังไม่มีปริมาณที่มากพอ ดังนั้นเห็ด หลินจือแดงแต่ละยี่ห้อก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกันตามวิธีการเพาะปลูกด้วย การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือในท้องตลาด • เห็ดหลินจือแดงเท่านั้น (ไม่ใช่เห็ดหลินจือทั่วไปหรือเห็ดหลินจือดำ) • ทำมาจากสารสกัด (ไม่ใช่การป่นหรือการบดให้เป็นผง) • ผงสกัดควรจะมีสีน้ำตาลแดงเข้ม • รสชาติขมมาก (ยิ่งขมยิ่งดี) • มีตรารับรองคุณภาพสินค้าจาก Japan Reishi Association (JRA) ซึ่งเป็นสติกเกอร์ 3 มิติบนกล่องผลิตภัณฑ์ เพื่อรับประกันคุณภาพและแหล่งผลิต ที่มา: women.sanook.com |