เตือน!! เชื้อราในสมอง...เล่นน้ำทะเลก็ต้องระวัง
เชื้อราในสมอง ภัยอันตรายจากการจมน้ำ สำลักน้ำ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกคอทคอม
เชื้อราในสมอง ภัยที่มองไม่เห็นจากอุบัติเหตุเพียงแค่เล็กน้อย เช่น การสำลักน้ำ การจมน้ำ แต่จะสามารถให้ผลร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิตเราได้อย่างไรนั้นต้องมาลองอ่านกัน
ใครที่ชอบไปพักผ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ทะเล น้ำตก อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลร่างกายตัวเองให้มากขึ้น เพราะโรคภัยเดี๋ยวนี้กลายพันธุ์ได้ง่ายกว่าเดิม ดังที่เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ว่าจมน้ำแล้วสมองบวม พอไปตรวจอีกทีพบว่าเป็นเชื้อราในสมองเสียแล้ว หรือหากใครจำกันได้กับกรณีของนักร้องดัง บิ๊ก ดีทูบี ที่ประสบอุบัติเหตุรถตกคูน้ำที่มีเชื้อราปนเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนอาการจะทรุดหนักเพราะเชื้อราเข้าไปในสมอง กระทั่งเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดกรณีอันน่าสลดแบบนี้อีก เราก็ควรมาทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อรากันก่อนจะได้รู้วิธีป้องกันที่ถูกต้องเอาไว้บอกต่อกับคนที่เราห่วงใย
รู้จักเชื้อรามรณะ
เชื้อรามรณะที่เป็นสาเหตุในที่นี้ก็คือ เชื้อรา P.boydii มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Scedosporium เป็นเชื้อราที่พบได้ตามบริเวณที่มีสิ่งสกปรกทับถมกันเป็นจำนวนมาก เช่น แหล่งน้ำเน่าเสีย แหล่งน้ำขนาดใหญ่ กองขยะสด บ่อพักสิ่งปฏิกูล รวมถึงในพื้นดินที่มีความชื้นตลอดเวลาไม่ถูกแสงแดด แม้แต่ในน้ำตก หรือทะเลที่มีของเสียหรือขยะปนเปื้อนมาก ๆ เพราะเชื้อราชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 30-37 องศา
แม้ว่าจะเป็นเชื้อราที่ไม่น่าจะเข้าสู่ร่างกายเราได้ และไม่สามารถก่อให้เกิดโรคโดยตรงได้ก็ตาม แต่ถ้าเมื่อไรที่ร่างกายสัมผัสกับแหล่งการเจริญเติบโตของเชื้อราชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเดินหายใจ หรือทางผิวหนังที่เป็นแผล ก็มีโอกาสสูงมากที่เชื้อราจะเข้าไปสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ตามอวัยวะในร่างกายเรา เช่น ปอด หัวใจ ตับ สมอง
ภาพประกอบจาก Pavel L Photo and Video / shutterstock.com
สาเหตุของการติดเชื้อราในสมอง
เมื่อไรที่ภูมิต้านทานร่างกายต่ำลง เชื้อราจะกระจายตัวได้ดีกว่าตอนที่เราแข็งแรงดี ดังนั้นจึงไม่แปลกหากพบว่าในกรณีของคนจมน้ำ สำลักน้ำ หรือ แค่น้ำสกปรกโดนผิวหนังเรา จะทำให้เรามีอาการเจ็บป่วยในเวลาต่อมาได้ เพราะทันทีที่เชื้อราชนิดนี้เข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายแล้วจะทำการแบ่งตัว และเจริญเติบโตแทรกซึมไปตามอวัยวะต่าง ๆ ที่มีสารอาหารโปรตีน และไขมันสูง ซึ่งตำแหน่งแรกที่มันจะเดินทางเข้าหาก็คือ เนื้อสมองของเรานั่นเอง เพราะส่วนประกอบหลักของสมองคือ ไขมัน และเชื้อนี้จะตรงเข้าทำลายระบบประสาทส่วนกลาง หรือประสาทส่วนการรับรู้ภายใน 48 ถึง 72 ชั่วโมง ด้วยกระบวนการเจริญพันธุ์นี่เองที่ทำให้ส่วนต่าง ๆ ในร่างกายเราหยุดการทำงานลงทันที
อาการของเชื้อราในสมอง
เมื่อติดเชื้อราในสมองแล้ว จะมีปรากฏให้เห็นชัด 3 อาการ คือ
1. อาการทางปอด อาจเกิดมีอาการแทรกซ้อนคือ โรคไซนัส หากเอกซเรย์ดูจะพบว่ามีจุดกลมคล้ายมีลูกบอลในปอดอันเป็นสาเหตุทำให้ปอดเน่า ผู้ป่วยจะมีอาการไอเป็นเลือด เจ็บในอกเสีอด มีไข้ พบรอยฝ้าและเกิดโพรงในปอด โดยเชื้อนี้พบในปอดถึง 10% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคน้ำย่อยปอดผิดปกติ และ อาจเกิดโรคร่วมกับเชื้อราอีกตัวหนึ่งพร้อมกันก็ได้
2. อาการเฉพาะที่ เช่น บริวณอวัยวะกระดูกและข้อ ผิวหนัง และ เนื้อเยื่อบริเวณตาที่ก่อให้เกิดอาการตาอักเสบจนปวด แดง หรือ คล้ายมีฝุ่นในตา เป็นต้น
3. อาการในกระแสเลือด ทันทีที่เชื้อรากระจายเข้าสู่กระแสเลือด อาการที่เห็นได้ชัดอย่างแรกคือ ช็อก เกิดภาวะล้มเหลวในอวัยวะหลายส่วน มักเกิดกับผู้ป่วยที่มีร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำมาก่อนหน้านี้แล้ว
การรักษา
แม้ว่าโรคเชื้อราในสมองจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด 100% แต่ก็สามารถประคับประคองอาการเอาไว้ไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ด้วยการใช้ยาร่วมกันของ voriconazole หรือ itraconazole ร่วมกับยา terbinafine และยา Posaconazole นอกจากนี้ยังต้องมีการรักษาด้วยวิธีอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การระบายฝีในสมอง ระวังสมองบวม ระวังการติดต่อลามไปไซนัสและกระดูก รวมถึงการทำกายภาพบำบัดด้วย และอีกหนึ่งวิธีที่แพทย์ส่วนใหญ่เห็นว่าสามารถให้ผลดีได้ก็คือการให้ยากระตุ้นภูมิต้านทาน แต่กลับเป็นวิธีที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอย่างอื่นตามมา เช่น แขนขาอ่อนแรง หรือ อัมพาตครึ่งซีกได้
แนวทางการป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับสิ่งสกปรกเมื่อเวลามีบาดแผล
2. ล้างมือก่อนหยิบอาหารเข้าสู่ร่างกายทุกครั้ง
3. หากต้องไปในบริเวณที่มีอากาศไม่หมุนเวียน ควรพกผ้าปิดจมูกไปด้วย เพื่อป้องกันสูดเชื้อโรคเข้าไป
4. หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายควรไปพบแพทย์
5.หลีกเลี่ยงการลงไปเล่นน้ำในบริเวณที่ไม่สะอาด เช่น บึงที่มี่จอกแหนขึ้นรกมาก น้ำคลอง น้ำตก ทะเลที่อยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
แม้ว่าเจ้าเชื้อรามรณะนี้จะมีชื่อฟังดูน่ากลัว แต่ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป เพราะพอได้ลองรู้จักแล้วจะพบว่าเราก็สามารถป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากเชื้อรานี้ได้ไม่ยากนัก ถ้าเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
ที่มา: health.kapook.com