บทนำ
เมื่อปี ค.ศ. 2007 มีบทความเรื่อง “ภาวะตาบอดในโลก (World blindness)” พูดถึงสาเหตุต่างๆที่ทำให้ประชากรในโลกตาบอด และได้กล่าวถึงว่า ริดสีดวงตา (Trachoma) แต่เดิมเป็นสาเหตุที่สำคัญ แต่ในปัจจุบันการเกิดตาบอดจากสาเหตุนี้ลดลงไปมาก ลดลงตั้งแต่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) ยังไม่ได้มีโครงการรักษาโรคนี้ด้วยซ้ำ
ในศตวรรษที่ 19 ริดสีดวงตาเป็นปัญหาสำคัญในภาคพื้นยุโรป กระจายในหมู่ทหารและกลาสีเรือที่ผ่านสงครามในต่างประเทศ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา แต่พอต้นศตวรรษที่ 20 จำนวนผู้ป่วยลดลงทั้งในยุโรปและในอเมริกา ทั้งๆที่ในช่วงนั้นยังไม่มีโครงการเฉพาะในการรักษา ไม่มียาปฏิชีวนะที่เฉพาะ มีเพียงการใช้ยาในกลุ่ม ซัลฟา (Sulfa drug) เมื่อสิ้นสงคราม โลกครั้งที่ 2 ในขณะที่โรคนี้หายไปจากยุโรปและอเมริกา ในอาฟริกาและในเอเชียยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ก็ลดลงเรื่อยๆ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ริดสีดวงตาเป็นสาเหตุประชากรโลกตาบอดถึง 15 % แต่เวลานี้คาดว่าคงเหลือเพียงประมาณ 2 % ในประเทศไทยเรา ริดสีดวงตาแทบจะไม่เป็นปัญหาอีก จะยังพอพบได้บ้างแถบอีสานในผู้สูงอายุ
แม้องค์การอนามัยโลกจะมีโครงการรักษาโรคนี้อย่างแข็งขัน แต่พบว่าโรคนี้ลดลงจากสาเหตุต่างๆ ที่สำคัญ 5 อย่าง
- สุขอนามัย (Hygiene) สุขอนามัยที่ดีขึ้นจากการมีน้ำใช้ที่เพียงพอ การใช้น้ำล้างหน้าให้สะอาดอยู่เสมอๆ ทำให้โอกาสเป็นโรคลดลง นอกจากน้ำ การมีส้วมใช้อย่างทั่วถึง ทำให้แมลงวัน ที่เชื่อว่าเป็นพาหะนำเชื้อจากคนหนึ่งไปอีกคน ตายไป ลดการกระจายเชื้อของโรคนี้ลง
- สังคมเมือง (Urbanization) ประชาชนย้ายมาอยู่เมืองใหญ่ มีสาธารณูปโภคที่ดี เมืองเล็กๆเจริญขึ้น นำมาซึ่งถนนหนทาง ไฟฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทำให้โรคนี้ลด ลง ทั้งไฟฟ้า การมีโทรศัพท์ การรู้จักใช้น้ำร้อน การใช้เตาหุงหาอาหารที่ไม่มีควัน การย้ายสัตว์เลี้ยงให้อยู่ไกลบ้าน การลดฝุ่นละออง มีตำราทางจักษุเก่าๆของ Duke – Elder จักษุแพทย์ชาวสกอตต์ ที่เป็นที่รู้จักของจักษุแพทย์ทั่วโลก เคยกล่าวไว้ว่า โรคริดสีดวงตาจะอยู่คู่กับความแห้งแล้งและฝุ่น (Dryness and dust) เชื่อกันว่าเพราะฝุ่นและความแห้งแล้ง ทำให้มีน้ำตาไหล ตามมาด้วยขี้ตาในหมู่ชาวชนบท ซึ่งเป็นสาเหตุให้แมลงวันตอมหน้า/ตาเด็กที่เป็นโรค จึงเป็นการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น แม้แต่การควบคุมประชากร การแยกห้องนอนไม่นอนรวมกันเป็นกลุ่ม ตลอดจนมีการ ศึกษาที่ดีขึ้น ก็ทำให้โรคนี้ลดลง
- ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ข้ามสายพันธุ์ (Cross immunity) มีการศึกษาพบว่าในกลุ่มของโรคที่เกิดจาก Chlamydia/เชื้อสาเหตุของโรคนี้ อาจทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต้านทานต่อโรคอื่นที่เกิดจากเชื้อในกลุ่มนี้ ดังเช่นผู้ที่ได้รับเชื้อ หรือเป็นวัณโรค ทำให้มีภูมิคุ้มกันต้าน ทานโรคเรื้อน (เชื้อที่ทำให้เกิดวัณโรคและโรคเรื้อนอยู่ในกลุ่ม Mycobacteria ด้วยกัน) ผู้ ป่วยโรคทางเดินปัสสาวะ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บางโรคเกิดจากเชื้อกลุ่มเดียวกับริดสีดวงตา เมื่อเป็นโรคดังกล่าวอาจทำให้เกิดภูมิต้านทานโรคริดสีดวงตาได้
- การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคอื่นๆ เป็นที่ทราบกันดีว่าเชื้อโรคริดสีดวงถูกทำลายได้ง่ายด้วยยาปฏิชีวนะหลายตัว การใช้ยาเหล่านี้รักษาโรคอื่นๆ จึงทำให้ฆ่าเชื้อริดสี ดวงตาไปด้วยโดยปริยาย
ริดสีดวงตาคืออะไร? เกิดจากอะไร?
โรคริดสีดวงตา (Trachoma) เป็นโรคตาที่มีผลต่อ เปลือกตา ขนตา เยื่อบุตา กระจกตา ตลอดจนทางเดินของน้ำตา และมักเกิดทั้งสองตา เคยเป็นสาเหตุที่สำคัญสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชากรโลกตาบอด แม้ในปัจจุบันจะลดบทบาทลงไปแล้ว เป็นโรคที่พบเกิดได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ อายุที่พบโรคได้สูง คือ ช่วงอายุ 3-5 ปี พบโรคในผู้หญิงสูงกว่าในผู้ชายประมาณ 2 เท่า อาจเพราะผู้หญิงมักคลุกคลีอยู่กับเด็ก
โรคริดสีดวงตาติดต่อกันโดยการสัมผัสใกล้ชิด จากการสัมผัสขี้ตา หรือสารคัดหลั่งจากตา ลำคอ และ/หรือจากจมูก ของผู้เป็นโรค รวมทั้งจากแมลงวันที่ตอมตา และจากการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว
โรคริดสีดวงตา เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นเชื้อสายพันธุ์ย่อยในกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่ากลุ่ม Chlamydia ซึ่งที่ทำให้เกิดโรคมีด้วยกัน 3 กลุ่มย่อย
- กลุ่ม Trachomatis ซึ่งมีอีกหลายกลุ่มย่อย บางกลุ่มทำให้ปากมดลูกและอวัยวะภายในสตรีอักเสบ หรือท่อปัสสาวะตลอดจนต่อมลูกหมากอักเสบในชาย บางกลุ่มทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น Lymphogranulona venereun) กลุ่มที่เป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงตา และยังมีกลุ่มที่เป็นสาเหตุเกิดการอักเสบของเยื่อบุตา (Inclusion conjunctivitis) ที่อาการคล้ายริดสีดวงตา แต่มักจะไม่เรื้อรังและมีผลกระทบต่อตาน้อยกว่าริดสีดวงตา
- กลุ่ม Pneumonial (ชื่อเต็ม คือ Chlamydia pneumoniae) ทำให้เกิดโรคต่อทางเดินหายใจ
- กลุ่ม Psittaci (Chlamydia psittaci) ทำให้เกิดโรคในสัตว์ เช่น แมว นกแก้ว มีบ้างทำให้เกิดโรคในคน จะเห็นว่ามีหลายโรคที่เกิดจากเชื้อกลุ่มนี้ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดภาวะ Cross immunity ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในภายหลัง
โดยสรุปเชื้อ Chlamydia ต่างๆ ที่เป็นสาเหตุเกิดโรคทางดวงตาได้แก่
- Neonatal chlamydial conjunctivitis พบในเด็กแรกเกิด เกิดจากได้รับเชื้อจากช่องคลอดแม่ อาการคล้ายริดสีดวงตาแต่ไม่รุนแรง
- Adult Inclusion conjunctivitis มักเกิดในวัยหนุ่มสาว โรคติดต่อผ่านทางเพศ สัมพันธ์ หรือแม้แต่ใช้เครื่องสำอางบริเวณดวงตาร่วมกัน
- Trachoma (ริดสีดวงตา)
ริดสีดวงตามีอาการอย่างไร?
อาการเริ่มแรกของโรคริดสีดวงตา ได้แก่ ตาแดง น้ำตาไหล มีขี้ตา บางคนอาจรู้สึกคล้ายมีผงอยู่ในตา ทำให้เคืองตา เป็นๆ หายๆ หากพลิกหนังตาบนดู จะพบเป็นตุ่มเล็กๆที่เยื่อบุตา (Follicle และ Papillae) ระยะแรกการมองเห็นยังปกติดี หากเป็นนานเข้าบริเวณที่เป็นตุ่มเล็กๆจะกลายเป็นเส้นพังผืด เกิดแผลเป็น ลักษณะเป็นเส้นขวางสลับกับตุ่ม ตามด้วยการมีแผลอักเสบเล็กๆ (Epithelial keratitis) ของตาดำ (กระจกตา) โดยเฉพาะส่วนบน นานเข้าการอักเสบลึกลงไปในเนื้อตาดำจนเห็นเป็นฝ้าขาว ร่วมกับมีหลอดเลือดจากตาขาว (เยื่อบุตา) เข้าสู่ตาดำ เรียกว่า Pannus (ในคนปกติจะไม่มีหลอดเลือดเข้าตาดำเลย)
เนื่องจากเชื้อริดสีดวงตาจะทำลายเซลล์เยื่อบุผิว (Epithelium) จึงทำลายเซลล์ผิวของเยื่อบุตาขาว ตลอดจนเซลล์บุผิวของต่อมน้ำตาและของทางเดินน้ำตา ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตาแห้งแสบตาบ่อยขึ้น ถ้าเซลล์บุผิวทางเดินน้ำตาถูกทำลายทำให้ท่อน้ำตาอุดตันเกิดอาการน้ำตาไหลตลอดเวลา ที่สำคัญทำให้เกิดแผลเป็นบริเวณขอบเปลือกตาเป็นต้นเหตุให้ขนตาเกเข้า (Trichiasis) ขนตาชี้ลงจนครูดบาดกระจกตา ชาวบ้านมักจะเรียกว่า “ขนตาน้ำ” เมื่อมีขนตาเกเข้า ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บตาเคืองตามากขึ้น ตามด้วยมีขี้ตามากขึ้น หากระยะแรกมีขนตาเกไม่กี่เส้น เมื่อถอนขนตาออก อาการจะหายไปได้ชั่วคราว แต่เมื่อขนตาขึ้น มาใหม่ หรือมีขนตาเกเพิ่มขึ้นจะยิ่งมีอาการมากขึ้น ขนตาเกเหล่านี้จะเขี่ย/ครูดตาดำให้มีการอักเสบ ตามมาด้วยการติดเชื้อจากแบคทีเรียซ้ำเติมทำให้ตาดำเป็นฝ้าขาว ระยะนี้สายตาจะมัวลงตามความหนาของฝ้าขาวที่เกิดขึ้น อันเป็นสาเหตุทำให้ตามัวถึงขั้นตาบอด ในถิ่นที่มีโรคนี้เรื้อรัง การจะเกิดภาวะขนตาเกเข้า มักเป็นในผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงเรื้อรัง เป็นแล้วหาย แล้วเป็นใหม่ซ้ำๆ
แพทย์วินิจฉัยโรคริดสีดวงตาอย่างไร?
เนื่องจากอาการของโรคริดสีดวงตา คล้ายๆกับอาการของเยื่อบุตาอักเสบจากสาเหตุอื่นทั่วๆไป การวินิจฉัยนอกจากอาศัยประวัติว่าผู้ป่วยอยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของโรคนี้ ทั่วๆไปแล้ว ควรต้องมีลักษณะอื่นที่ต้องตรวจพบด้วยอย่างน้อย 2 ใน 4 ลักษณะ คือ
- มีตุ่มที่เยื่อบุตาที่ใต้หนังตาบน
- มีตุ่มเล็กๆ ที่ขอบตาดำบน
- มีรอยแผลเป็นระหว่างตุ่มในข้อ 1
- มีหลอดเลือดจากตาขาวเข้ามาสู่ตาดำ (กระจกตา)
อนึ่ง องค์การอนามัยโลกได้แบ่งแยกให้รู้ถึงระดับความรุนแรงของโรคออกเป็น 5 ระดับ (Grade) คือ
ระดับแรก มีตุ่มที่เยื่อบุตาที่ใต้หนังตาบน
ระดับ 2 เยื่อบุตาทั่วๆไป แดง อักเสบ
ระดับ 3 มีแผลเป็นที่เยื่อบุตาใต้หนังตาบน
ระดับ 4 มีขนตาเกเข้า คือเกเข้าตาไปครูดเยื่อบุตาและกระจกตา (Trichiasis)
โดยที่ ระดับ 4-5 ทำให้ตาบอดได้ ต้องรักษาโดยวิธีผ่าตัด
รักษาริดสีดวงตาอย่างไร?
การรักษาโรคริดสีดวงตา ให้ผลดีด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ด้วยวิธีรับประทานและหยอดตา เป็นยาในกลุ่ม Tetracycline โดยเป็นยารับประทาน 1.5–2 กรัมต่อวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ และเป็นยาขี้ผึ้งป้ายตาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 เดือน หรือใช้ยา Erythromycin หากผู้ป่วยแพ้ยา Tetracycline ปัจจุบันมีแพทย์บางท่านแนะนำใช้ Agithromycine เพียงครั้งเดียวก็ได้ หรือบางครั้งแม้แต่ยา Sulfa drug ก็ใช้ได้
สำหรับภาวะตาแห้งให้ใช้น้ำตาเทียม ส่วนภาวะขนตาเกเข้า และฝ้าขาวในตาดำต้องลงเอยด้วยการผ่าตัด
ริดสีดวงตารุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
ดังกล่าวแล้วว่าโรคริดสีดวงตาตอบสนองได้ดีต่อยาปฏิชีวนะหลายชนิด ดังนั้นเมื่อพบแพทย์ตั้งแต่แรกเริ่มมีอาการก่อนการเกิดผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อน โรคสามารถรักษาให้หายได้ แต่เมื่อรักษาล่าช้า จนเกิดผลข้างเคียงแล้ว อาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้
ผลข้างเคียงที่พบได้จากริดสีดวงตา คือ หนังตาเกิดเป็นพังผืด จึงเกิดการผิดรูป เกิดเป็นภาวะขอบตาม้วนเข้า (Entropion) และขนตาเกเข้า (Trichiasis) ซึ่งทั้งสองกรณี จะส่ง ผลให้เกิดการครูดต่อเยื่อบุตาและต่อกระจกตา ส่งผลให้กระจกตาเกิดแผลเรื้อรัง จนเกิดขุ่นมัวและส่งผลให้ตาบอดในที่สุด ซึ่งโรคนี้มักเกิดกับดวงตาทั้งสองข้าง ดังนั้น ตาบอดจึงเป็นตาบอดทั้งสองตา
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
เมื่อมีอาการทางดวงตาดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่อาศัยในถิ่นของโรค หรือเมื่อกลับจากการท่องเที่ยวในถิ่นที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น ควรรีบพบแพทย์ หรือจักษุแพทย์เสมอ ไม่ควรดูแลตนเอง และเมื่อได้พบแพทย์แล้ว ให้ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ
ป้องกันริดสีดวงตาได้อย่างไร?
ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคริดสีดวงตา ดังนั้นวิธีป้องกันโรคริดสีดวงตา คือ
- รักษาความสะอาดของใบหน้าเสมอ โดยเฉพาะในเด็กๆเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงตอมตา ซึ่งเป็นทางติดต่อและแพร่กระจายโรคได้ทางหนึ่ง
- กำจัดแมลงวัน โดยการกำจัดขยะให้ถูกวิธี และไม่ทิ้งขยะใกล้บ้าน
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว
- ใช้น้ำสะอาด และมีน้ำสะอาดใช้อย่างเพียงพอในกิจวัตรส่วนตัว
ที่มา https://haamor.com/th/ริดสีดวงตา/