บทนำ
ต่อมเหงื่อ (Sweat gland) มี 2 ชนิด คือ
- ชนิดที่สร้างเหงื่อ เรียกว่า ต่อม Eccrine (Eccrine sweat gland) ซึ่งกระจายอยู่มากมายทั่วทั้งร่างกาย ยกเว้นที่ริมฝีปาก ปลายอวัยวะเพศชาย และบริเวณปุ่มกระสัน (Clitoris) ของอวัยวะเพศหญิง โดยจะมีมากในบริเวณ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า
- และชนิดสร้างกลิ่นเรียกว่า ต่อม Apocrine (Apocrine sweat gland) ซึ่งมีอยู่เฉพาะจุด คือ บริเวณรักแร้ อวัยวะเพศภายนอก และบริเวณรอบๆทวารหนัก ซึ่งต่อมชนิดนี้จะเริ่มทำงานใน ช่วงเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบต่อมเหงื่ออีกชนิดที่ เรียกว่า ต่อม Apoeccrine (Apoeccrine sweat gland) เป็นต่อมมีเฉพาะที่รักแร้ และเริ่มทำงานเมื่อเข้าสู่วัย รุ่น มีลักษณะคล้ายทั้ง 2 ต่อมที่ได้กล่าวแล้ว แต่จะสร้างเหงื่อได้คล้ายกับต่อม Eccrine แต่มีการหลั่งเหงื่อที่มากกว่าต่อม Eccrine ถึง 10 เท่า และพบจำนวนต่อมได้มากกว่าคนทั่วไปมากเมื่อมีภาวะหลั่งเหงื่อมากในบริเวณรักแร้
ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ หรือเรียกว่า “ภาวะหลั่งเหงื่อมาก หรือภาวะเหงื่อท่วม (Hyperhidrosis)” ได้แก่ ภาวะที่ต่อมเหงื่อชนิด Eccrine สร้างเหงื่อมากผิดปกติจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำ เช่น การเข้าสังคม มีกลิ่นตัว และ/หรือต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย
ซึ่งเมื่อมีเหงื่อออกมากผิดปกติเกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ พยากรณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อใด แต่มักเกิดเฉพาะในช่วงกลางวัน ในช่วงกลางคืนจะปกติ เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมากปฐมภูมิ (Primary hyperhidrosis หรือ Idiopathic hyperhidrosis หรือ Essential hyperhidrosis)
แต่เมื่อมีเหงื่อออกมากผิดปกติเกิดขึ้นโดยรู้สาเหตุ เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมากทุติยภูมิ (Secondary hyperhidrosis)
เมื่อมีเหงื่อออกมากผิดปกติเป็นเพียงบางแห่งของร่างกาย เช่น รักแร้ ฝ่ามือ และ/หรือฝ่าเท้า ซึ่งมักออกในช่วงกลางวัน เรียกว่าภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุด (Focal hyperhidro sis) และเมื่อออกมากผิดปกติทั่วทั้งตัว เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมากทั่วตัว (Generalized hyperhidrosis) ซึ่งเหงื่ออาจออกกลางวัน กลางคืน ทั้งกลางวันกลางคืน หรือเป็นเวลาช่วงไหนก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ
ในภาวะปกติ สามารถพบช่วงมีเหงื่อออกมากกว่าปกติได้ เช่น ในการออกกำลังกาย อากาศร้อน อากาศอบอ้าว กินอาหารเผ็ดหรืออาหารร้อน ตื่นเต้น เครียด หรือมีไข้
ภาวะหลั่งเหงื่อมาก เป็นภาวะพบได้บ่อย แต่สถิติที่แท้จริงยังไม่ทราบ เพราะมีผู้ป่วยเพียงบางส่วนเท่านั้นที่มาพบแพทย์ด้วยภาวะนี้ แต่ประมาณว่า ในประชากรทั้งหมดสามารถพบภาวะนี้ได้ประมาณ 0.6-1% โดยพบภาวะนี้ได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และพบในผู้หญิงได้บ่อยเท่ากับในผู้ชาย
ภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุด พบว่า
- ประมาณ 50% เกิดที่รักแร้ โดยอาจเกิดที่รักแร้จุดเดียว หรือร่วมกับที่ฝ่ามือ และ/หรือฝ่าเท้า
- ประมาณ 29%เกิดที่ฝ่าเท้าที่เดียวและ/หรือร่วมกับจุดอื่นๆ
- และประมาณ 25% เกิดที่ฝ่ามือที่เดียวและ/หรือร่วมกับจุดอื่นๆ
ทั้งนี้ ประมาณ 80% ของเหงื่อออกมากผิดปกติที่ ฝ่ามือ และ/หรือรักแร้ จะพบอาการได้ตั้งแต่เป็นเด็ก โดย 75% เกิดในช่วงวัยรุ่น และมีการศึกษาพบว่า ในคนที่มีภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุดนี้ ประมาณ 62% มีอาการมานานแล้ว โดยจำไม่ได้ว่าเริ่มมีอาการเมื่ออายุเท่าไร ประมาณ 33% มีอาการเมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่น และเพียงประมาณ 5% ที่อาการเริ่มเกิดหลังเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ภาวะหลั่งเหงื่อมากเกิดได้อย่างไร? มีปัจจัยเสี่ยงไหม?
ภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุด: สาเหตุที่ชัดเจนของภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุด ยังไม่ทราบ ดังนั้นภาวะนี้ จึงเป็น ภาวะหลั่งเหงื่อมากปฐมภูมิ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาเชื่อว่า เกิดจากการทำงานเพิ่มมากขึ้นของต่อมเหงื่อเฉพาะจุดจากการทำงานผิดปกติของประสาทอัต โนมัติ (Autonomic nervous system) ที่ควบคุมต่อมเหงื่อที่จุดนั้นๆ ซึ่งประสาทอัตโนมัตินี้ ทำ งานสัมพันธ์กับสมองส่วนลึกในสมองใหญ่ ที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งควบ คุมการหลั่งฮอร์โมนต่างๆของร่างกายรวมทั้งเป็นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับภาวะทางอารมณ์และจิตใจ ดังนั้นภาวะหลั่งเหงื่อมากจึงสัมพันธ์กับอารมณ์/จิตใจได้
ภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุด พบว่ามีความสัมพันธ์กับพันธุกรรม โดยพบว่ามีประวัติคนในครอบครัวมีภาวะนี้สูงถึงประมาณ 30-65% และในกลุ่มคนที่มีความผิดปกติของจีน/ยีน (Gene) บางชนิดจะพบภาวะนี้ได้ประมาณ 25% แต่ในคนที่มีจีน/ยีนนั้นๆปกติ พบภาวะนี้ได้เพียงประ มาณ 1%
ภาวะหลั่งเหงื่อมากทั่วตัว เป็นภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติที่ทราบสาเหตุ จึงจัดเป็น ภาวะหลั่งเหงื่อมากทุติยภูมิ ทั้งนี้สาเหตุที่พบได้บ่อย คือ
- โรคอ้วน เพราะชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่หนาขึ้นจะส่งผลให้ร่างกายระบายความร้อนได้ไม่ดี จึงต้องเพิ่มการระบายความร้อนออกทางเหงื่อ
- จากการขาดฮอร์โมนเพศหญิงในวัยหมดประจำเดือนหรือภาวะวัยทอง (Post menopausal syndrome)
- ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) หรือโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis)
- โรคเบาหวาน จากร่างกายมีความผิดปกติในการใช้พลังงานและการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อต่างๆ
- การติดเชื้อโรคที่ส่งผลให้เกิดอาการไข้เรื้อรัง เช่น โรคมาลาเรีย และวัณโรค
- โรคหัวใจวายเรื้อรัง เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานเพิ่มในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายให้เพียงพอ ความร้อนในร่างกายจึงสูงขึ้น ซึ่งต้องกำจัดออกโดยการเพิ่มภาวะเหงื่อออก
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด (เช่น ยาพาราเซตามอล/Paraceta mol หรือยาที่มีส่วนผสมของมอร์ฟีน) ยาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรคเบาหวาน และยาด้านจิตเวช
- โรคมะเร็งบางชนิด เช่น โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งในโรคมะเร็งอาการเหงื่อออกมากผิดปกติทั่วตัวมักเกิดในช่วงกลางคืน
ภาวะหลั่งเหงื่อมากมีอาการอย่างไร?
อาการของภาวะหลั่งเหงื่อมาก เมื่อเกิดเฉพาะที่โดยไม่รู้สาเหตุ มักมีเพียงอาการเดียว คือ มีเหงื่อออกมากผิดปกติ เฉพาะจุด ที่พบได้บ่อย คือ ที่รักแร้ รองลงมาตามลำดับ คือ ฝ่าเท้า และฝ่ามือ แต่อาจพบที่ตำแหน่งอื่นได้ แต่น้อยมาก เช่น หลัง หู หรือ หนังศีรษะ ทั้งนี้อาการเกิดขึ้นโดยไม่มีตัวกระตุ้น จะเกิดเวลาใดก็ได้ แต่เกิดเฉพาะเวลากลางวัน ไม่เกิดช่วงกลางคืน ทั้งนี้จะวินิจฉัยว่าเป็นภาวะนี้ได้ ผู้นั้นต้องมีอาการเหงื่อออกมากผิดปกติโดยไม่มีอาการอื่นร่วมด้วยอย่างน้อยนาน 6 เดือน และต้องเกิดร่วมกับอีก 2 ใน 6 ลักษณะ ดังนี้
- ต้องมีเหงื่อออกผิดปกติเหมือนๆกันทั้งสองข้างของร่างกาย (คือทั้ง ซ้ายและขวา)
- เหงื่อออกมากจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- เหงื่อออกมาก เกิดบ่อยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
- อาการเกิดก่อนอายุ 25 ปี
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นภาวะนี้
- เหงื่อออกช่วงกลางคืนปกติ
อาการภาวะหลั่งเหงื่อมากทั่วตัว จะเกิดเวลากลางวัน หรือกลางคืนก็ได้ หรือเกิดทั้งวัน หรือ เกิดเป็นเวลา ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ มักเกิดร่วมกับอาการอื่นๆเสมอ เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร ผอมลงโดยไม่รู้สาเหตุ ไอเรื้อรัง หรือ ปัสสาวะมากและบ่อย เป็นต้น ทั้งนี้อาการร่วมจะเป็นไปตามอาการของแต่ละสาเหตุ ดังนั้นจึงแตกต่างกันไปโดยไม่มีอาการเฉพาะจากภาวะนี้
แพทย์วินิจฉัยสาเหตุภาวะหลั่งเหงื่อมากได้อย่างไร?
การวินิจฉัยหาสาเหตุ ขึ้นกับประวัติอาการ ประวัติทางการแพทย์ต่างๆ (เช่น การเจ็บป่วยในอดีตและในปัจจุบัน และการใช้ยาต่างๆ) และการตรวจร่างกาย ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยได้เลย โดยไม่ต้องมีการตรวจอื่นๆทางห้องปฏิบัติการเมื่อเป็นเหงื่อออกมากผิดปกติเฉพาะที่
แต่เมื่อเหงื่อออกทั้งตัว ต้องมีการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุ ทั้งนี้ขึ้นกับอาการร่วมอื่นๆ ความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจเลือดซีบีซี (CBC) การตรวจเลือดหาเชื้อโรคมาลาเรีย การตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลในเลือด และการเอกซเรย์ปอดเพื่อช่วยวินิจฉัยวัณโรค
รักษาภาวะหลั่งเหงื่อมากได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาภาวะหลั่งเหงื่อมาก ได้แก่
- การรักษาภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุดโดยไม่รู้สาเหตุ (ภาวะปฐมภูมิ) มีหลายวิธีอาจใช้เพียงวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือร่วมกันหลายวิธี ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อแต่ละวิธีการ และดุล พินิจของแพทย์
- โดยทั่วไปจะเริ่มด้วย ยาทาเฉพาะที่ที่เรียกว่า Antiperspirants ทายาตรงตำ แหน่งที่เกิดอาการ โดยทาหลังอาบน้ำหลังเช็ดบริเวณนั้นให้แห้ง ซึ่งยามีคุณสมบัติก่อให้เกิดการอุดตันของท่อเหงื่อและเกิดการฝ่อตัวของต่อมเหงื่อ โดยทายาติดต่อกันทุกคืนจนกว่าเหงื่อจะออกน้อยลง ต่อจากนั้นจะทยอยทายาห่างออกไป เช่น เป็นทุกสัปดาห์ หรือ ทุก 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ ซึ่งยามักได้ผลภายใน 2 วันถึง 4 สัปดาห์ เมื่อหยุดใช้ยาอาการมักกลับเป็นใหม่ได้อีก
- ยาลดการทำงานของประสาทอัตโนมัติ ซึ่งมีทั้งชนิดทาเฉพาะที่ และชนิดกิน
- การรักษาโดยวิธีที่เรียกว่า ไอออนโตฟอรีสิส (Iontophoresis) คือการใช้กระ แสไฟฟ้าพลังงานต่ำเป็นตัวนำโมเลกุลของน้ำธรรมดา หรือของตัวยา เพื่อให้เข้าสู่ผิวหนังเฉพาะที่มีต่อมเหงื่อที่เกิดอาการโดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้ต่อมเหงื่อในบริเวณที่ได้รับกระแสไฟ ฟ้าลดการทำงานลง การรักษาอาจต้องทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งจึงจะเห็นผล และอาจต้องให้การรักษาซ้ำทุกๆ 1 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกลับคืนมาอีก
- การฉีดยาโบทอก (Botox หรือ Botulinum toxin) ซึ่งจะลดการทำงานของประ สาทอัตโนมัติ จึงลดอาการเหงื่อออก ซึ่งก็ต้องฉีดซ้ำเมื่ออาการกลับคืนมาอีก โดยแต่ละครั้งของการใช้ยา จะเห็นผลภายในประมาณ 1-4 สัปดาห์ และจะควบคุมอาการได้นานประมาณ 3-5 เดือน
- การผ่าตัด หรือการจี้ปมประสาท (Ganglion) ของประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมต่อมเหงื่อในตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งมักเห็นผลทันทีภายหลังรักษา โดยพบอาการย้อนกลับเป็นซ้ำได้ประมาณ 1%ใน 1 ปี และประมาณ 2-5%ในปีต่อๆมา
- การรักษาภาวะหลั่งเหงื่อมากทั่วตัวที่ทราบสาเหตุ (ภาวะทุติยภูมิ) คือการรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละสาเหตุ เช่น การรักษาโรคมะเร็ง โรคมาลาเรีย โรคเบาหวาน หรือการปรับเปลี่ยนยาเมื่อเกิดจากผลข้างเคียงของยา เป็นต้น
ภาวะหลั่งเหงื่อมากรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
ภาวะหลั่งเหงื่อมากที่เกิดเฉพาะจุดชนิดปฐมภูมิ มักเป็นภาวะไม่รุนแรง ไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลง โดยเฉพาะในการเข้าสังคม จากการอับชื้น และมีกลิ่น เช่น กลิ่นตัวเมื่อเกิดในบริเวณรักแร้ และกลิ่นเท้าเมื่อเกิดที่ฝ่าเท้า เป็นต้น นอกจากนั้น ผิวหนังซึ่งเปียกชื้นเสมอ จะติดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย และเกิดอาการผื่นคันง่าย
ส่วนความรุนแรงของภาวะนี้เมื่อเกิดทั่วตัวโดยรู้สาเหตุ (ชนิดทุติยภูมิ) ขึ้นกับสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละโรค เช่น เมื่อเกิดจากโรคเบาหวาน ความรุนแรงอยู่ในระดับปานกลาง แต่เมื่อเกิดจากโรคมะเร็ง ความรุนแรงโรคอยู่ในระดับสูง เป็นต้น ส่วนผลข้างเคียงจากอาการเหงื่อออกมาก เช่นเดียวกับในการมีเหงื่อออกเฉพาะที่ แต่เกิดขึ้นทั่วตัว เช่น ขึ้นผื่น การติดเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย และการมีกลิ่นตัว
ควรดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง และการพบแพทย์เมื่อมีภาวะหลั่งเหงื่อมาก ได้แก่
- เมื่อมีภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุดและไม่ทราบสาเหตุ (ภาวะชนิดปฐมภูมิ)
- สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย เหงื่อระบายได้ดี เช่น เป็นผ้าฝ้าย 100%
- มีเสื้อผ้าสำรอง โดยเฉพาะถุงเท้าสำรอง ติดตัวเสมอ
- อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือมากกว่านี้ ตามความสะดวก และการมีเหงื่อออกมากโดยเฉพาะบริเวณรักแร้
- รักษาเท้าให้แห้งเสมอ เพราะจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา
- มีรองเท้าสำรอง ใส่รองเท้าสลับคู่ทุกวันโดยมั่นใจว่ารองเท้าต้องแห้ง และสะอาด หรือใส่รองเท้าหัวเปิดในผู้หญิง และถอดรองเท้าบ่อยๆเมื่อมีโอกาส
- เลือกประเภทอาหารที่ไม่เพิ่มเหงื่อ เช่น ไม่กินเผ็ดจัด และจำกัดประเภทอาหารที่ให้กลิ่นทางเหงื่อ เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม
- ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงเพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไป เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ
- ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายพอควร เพื่อควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน
- เรียนรู้ที่จะอยู่กับอาการนี้ และปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ
- พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบก่อนนัด เมื่อเหงื่ออกมากขึ้น เมื่อมีเหงื่อออกมากผิดปกติกลางคืนต่อเนื่อง มีอาการผิดปกติต่างๆร่วมด้วย (เช่น มีไข้ต่ำๆ) หรือ เมื่อกังวลในอาการ
- เมื่อมีภาวะหลั่งเหงื่อมากทั่วตัว (ชนิดทุติยภูมิ) ควรรีบพบแพทย์ภายใน 2 สัปดาห์เสมอเพื่อหาสาเหตุ และเพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ ยกเว้นเมื่อมีไข้สูง และไข้ไม่ลงหลังกินยาลดไข้ ควรพบแพทย์ภายใน 2-3 วัน หรือ 1-2 วันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ (เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ คนมีโรคเรื้อรังประจำตัว)
ป้องกันภาวะหลั่งเหงื่อมากอย่างไร?
ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีป้องกันภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุดชนิดไม่ทราบสาเหตุ(ชนิดปฐมภูมิ) เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุนั่นเอง ดังนั้นเมื่อมีอาการที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ประจำวัน จึงควรพบแพทย์
ส่วนการป้องกันภาวะชนิดทุติยภูมิ คือ การรักษาสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตให้แข็ง แรง ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลที่สุดคือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ในปริมาณเหมาะสม ไม่ให้เกิดโรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน จำกัดอาหารแป้ง น้ำตาล ไขมัน หวาน และเค็ม เพิ่ม ผัก และผลไม้ นอกจากนั้น คือการรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ
ที่มา https://haamor.com/th/ภาวะหลั่งเหงื่อมาก/