บทนำ
ตับวาย หรือ ตับล้มเหลว (Liver failure) เป็นภาวะที่เกิดจาก ตับสูญเสียการทำงาน จนส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆขึ้น ที่สำคัญ คือ อาการทางสมอง อาการเลือดออกง่าย ตัวตาเหลือง (โรคดีซ่าน) มีน้ำในท้อง และการติดเชื้อรุนแรงของร่างกาย
ตับ (Liver หรือ Hepar/ภาษากรีก) เป็นอวัยวะสำคัญมากอวัยวะหนึ่งของร่างกาย มีหน้า ที่หลายอย่าง ที่สำคัญ เช่น ทำลายและกำจัดสารพิษและของเสียต่างๆ โดยนำออกจากร่างกายทางน้ำดี ช่วยสร้างสารช่วยการแข็งตัวของเลือด ช่วยสร้างฮอร์โมนบางชนิด เป็นแหล่งสะสมน้ำ ตาลของร่างกาย ช่วยควบคุมความดันเลือดในช่องท้อง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
ตับวายเป็นภาวะที่พบได้เรื่อยๆไม่ถึงกับบ่อยมากในคนทุกอายุ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ และเกิดได้ทั้งสองเพศ โดยเพศหญิงและเพศชายพบได้ใกล้เคียงกัน
ภาวะตับวายแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะตามธรรมชาติและตามความรุนแรงของโรค คือ ตับวายเฉียบพลัน และตับวายเรื้อรัง
- ตับวายเฉียบพลัน (Acute liver failure) หรือ บางท่านนิยมเรียกว่า ตับวายเร็วร้าย (Fulminant hepatic failure ย่อว่า FHF) หมายถึงตับวายที่เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง โดยมีอา การทางสมองเกิดตามหลังอาการผิดปกติที่เป็นอาการนำ เช่น คลื่นไส้ไม่เกิน 26 สัปดาห์ และอาจแบ่งได้เป็น
- ตับวายเรื้อรัง (Chronic liver failure) คือ มีอาการทางสมองที่เกิดจากตับวาย โดยเกิดหลังมีอาการนำ เช่น คลื่นไส้ นานเกิน 6 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้มัก เกิดตามหลังจากมีโรคตับแข็งจากสาเหตุต่างๆ เช่น การดื่มสุรา หรือจากโรคไวรัสตับอักเสบเป็นต้น ตับวายเฉียบพลันและตับวายเรื้อรัง จะมีสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาเช่นเดียวกัน ต่างกันที่ระยะเวลาเกิด และความรุนแรงของอาการ ที่ระยะเฉียบพลันอาการจะเกิดรวดเร็วและรุนแรง โดยบางสาเหตุ อาการตับวายเฉียบพลันอาจเกิดได้ภายใน 48 ชั่วโมง เช่น การกินยาแก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol) เกินขนาด เป็นต้น
ตับวายเกิดได้อย่างไร? มีสาเหตุจากอะไร?
ตับวาย เกิดจากการที่เซลล์ตับได้รับบาดเจ็บเสียหายอย่างรุนแรงจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์ตับบาดเจ็บเสียหาย มีได้หลายสาเหตุ ที่พบได้บ่อย คือ
- โรคตับแข็ง
- พิษของสุรา
- ตับติดเชื่อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ
- จากพิษในอาหาร เช่น ในเห็ดบางชนิด หรือสมุนไพรบางชนิด
- จากร่างกายได้รับพิษของโลหะหนัก จากการปนเปื้อนในน้ำดื่ม หรือในอาหาร เช่น ตะกั่ว และทองแดง
- จากพิษของยา ที่พบได้บ่อย คือ กินยาแก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol) เกินขนาด หรือการแพ้ยาแอสไพรินในเด็กที่มีไข้จากการติดเชื้อไวรัส เช่น ในโรคหัด
- ใช้ยาเสพติดเกินขนาด เช่น โคเคน
- จากโรคมะเร็งตับ หรือโรคมะเร็งชนิดต่างๆที่แพร่กระจายมาตับ
- จากโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเองระยะรุนแรง
- ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วย แพทย์หาสาเหตุไม่ได้
ตับวายมีอาการอย่างไร?
อาการตับวายในระยะแรก คือ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดท้องโดย เฉพาะด้านขวาตอนบน (ตำแหน่งของตับ) ตัวตาเหลือง (ดีซาน)
เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาการที่ตามมา คือ
- มีน้ำในท้อง จากมีความดันสูงในระบบไหลเวียนโลหิตของช่องท้อง ส่งผลให้เกิดมีน้ำซึมจากหลอดเลือดของช่องท้องเข้าสู่ในช่องท้อง
- เลือดออกง่าย (มีจ้ำห้อเลือด หรือจุดแดงเล็กๆคล้ายในไข้เลือดออกตามตัว) เพราะตับไม่สามารถสร้างสารช่วยการแข็งตัวของเลือดได้
- มีอาการทางสมอง จากสารพิษที่คั่งในร่างกายทำลายเซลล์สมองโดยตรง และ/หรือเกิดจากภาวะสมองบวม โดยอาการมักเริ่มจาก นอนไม่หลับ หลงลืมง่าย ตัด สินใจไม่ได้ กระสับกระส่าย สับสน ต่อจากนั้น จะซึมลง โดยเฉพาะช่วงกลางวัน แต่ตื่นกลางคืน สั่น กระตุก อาจชัก
- มีอาการของ ไตวายเฉียบพลัน โดยไม่เคยมีโรคไตมาก่อนจากไตขาดเลือด สา เหตุจากความดันในระบบไหลเวียนโลหิตของช่องท้องสูงขึ้น เช่น บวมทั้งตัว โดย เฉพาะขาและเท้า ปัสสาวะน้อย หรือไม่มีปัสสาวะ สับสน ซึม ชัก และโคม่า
- หมดสติ โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด
แพทย์วินิจฉัยตับวายได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยภาวะตับวายได้จาก ประวัติอาการต่างๆ ประวัติการใช้ยาต่างๆ พฤติกรรมการใช้ชีวิต แหล่งที่อยู่อาศัย อาชีพการงาน อาหาร น้ำดื่ม สมุนไพร การตรวจร่างกาย การตรวจเลือด ดูการทำงานของตับและของไต ดูสารภูมิต้านทานของโรคต่างๆที่อาจเป็นสาเหตุ การตรวจภาพตับ เช่น จากอัลตราซาวด์ และบางครั้งอาจจำเป็นต้องตัดชิ้นเนื้อจากตับเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
รักษาตับวายอย่างไร?
แนวทางการรักษาภาวะตับวาย คือการพยายามกำจัดสารพิษออกจากร่างกายให้ได้โดยเร็ว ร่วมกับการพยายามลดปริมาณสารพิษที่จะเกิดขึ้นใหม่ให้ลดลง เช่น การจำกัดอาหารโปรตีนเพื่อลดสารไนโตรเจนที่เป็นสารปลายทางจากร่างกายใช้อาหารโปรตีน ซึ่งเป็นพิษต่อตับเป็นต้น
ดังนั้น การรักษา คือ การควบคุมอาหาร การรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย การป้องกันภาวะเลือดออก การป้องกันภาวะไตวาย และป้องกันการเกิดอาการทางสมองจากสารพิษ
ผู้ป่วยตับวาย จำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนั้น การรักษาโดยการปลูกถ่ายตับจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตได้สูงขึ้น มีรายงานว่า ถ้าไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับประมาณ 80% ของผู้ป่วยตับวายจะเสียชีวิต แต่ถ้าได้รับการปลูกถ่ายตับ โอกาสรอดชีวิตประมาณ 60%
ตับวายรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
ตับวาย เป็นภาวะรุนแรง ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูง ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลให้เสียชีวิตสูง คือ
- อาการ ถ้ามีอาการรุนแรง โดยเฉพาะอาการรุนแรงทางสมอง และมีภาวะไตวาย
- สาเหตุ เช่น สาเหตุจากกินยาแก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol) โอกาสเสีย ชีวิตจะต่ำกว่าสาเหตุอื่น
- มีความผิดปกติในระบบการแข็งตัวของเลือดรุนแรง เพราะจะเป็นสาเหตุให้มีเลือด ออกตามอวัยวะต่างๆอย่างรุนแรง
- มีปริมาณสารที่ทำให้ตัวตาเหลือง (สาร Bilirubin) ในเลือดสูง
- มีการติดเชื้อรุนแรงในร่างกาย
- มีผลข้างเคียงจากภาวะตับวาย เช่น สมองบวม เลือดออกตามอวัยวะต่างๆ การติดเชื้อ และไตวาย
- อายุน้อยกว่า 10 ปี หรือ อายุมากกว่า 40 ปี
ทั้งนี้ ดังกล่าวแล้ว ผลข้างเคียงแทรกซ้อน เมื่อเกิดภาวะตับวาย คือ มีอาการทางสมอง มีน้ำในช่องท้องเลือดออกตามอวัยวะต่าง การติดเชื้อรุนแรงของร่างกาย และภาวะไตวาย
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรกินอาหารอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง คือ การปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำอย่างเคร่งครัด และควรรีบพบแพทย์แต่เนิ่นๆตั้งแต่เริ่มมีอาการผิดปกติและรู้ตัวว่าอาจได้รับสารพิษ เช่น การกินยาเกินขนาด หรือกินสมุนไพรต่างๆ เป็นต้น
ป้องกันตับวายได้อย่างไร?
สามารถป้องกันภาวะตับวายได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อการเป็นพิษต่อตับที่สำคัญ คือ
- กินยาทุกชนิดอย่างระมัดระวัง และเฉพาะเมื่อจำเป็น และต้องไม่กินยาเกินขนาด
- ระมัดระวังเรื่องสารพิษในอาหาร (รวมทั้งสมุนไพร และเห็ดต่างๆที่ไม่รู้จัก) และในน้ำดื่ม
- ระมัดระวังการสัมผัสสารคัดหลั่ง รวมทั้งเลือดของผู้อื่น (ปัจจัยเสี่ยงของโรคไวรัสตับอักเสบ)
- ระมัดระวังการใช้สารเคมีทุกชนิด เช่น ยาฆ่าวัชพืช
- จำกัดการดื่มสุรา ผู้ชายไม่ควรเกิน 2 ดริงค์ (Drink) ต่อวัน ผู้หญิงไม่ควรเกิน 1 ดริงค์ต่อวัน
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่างๆ โดย เฉพาะเชื้อไวรัสตับอักเสบจากเพศสัมพันธ์ส่ำส่อน หรือจากการใช้ยาเสพติด
- ปรึกษาแพทย์ เพื่อขอรับการฉีดวัคซีนป้องกัน โรคไวรัสตับอักเสบ บี
ที่มา https://haamor.com/th/ตับวาย/