ตะคริว (Muscle cramp)


857 ผู้ชม


ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :

กล้ามเนื้อ  ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก 

อาการที่เกี่ยวข้อง :

ตะคริว 

บทนำ

ตะคริว (Muscle cramp) คือภาวะเกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อรุนแรงทันทีโดยเราบัง คับไม่ได้ ร่วมกับมีอาการปวด/เจ็บกล้ามเนื้อมัดที่เกิดการหดเกร็ง โดยในขณะเกิดอาการจะไม่สามารถใช้งานกล้ามเนื้อมัดนั้นได้ ซึ่งอาการเกิดได้กับกล้ามเนื้อทุกมัด อาจเกิดกับกล้ามเนื้อเพียงมัดเดียว หรือหลายๆมัดพร้อมกันก็ได้

ตะคริวเกิดได้กับกล้ามเนื้อลาย (Striated muscle, กล้ามเนื้อ แขน ขา และของเนื้อเยื่อภายนอกร่างกาย เช่น แผ่นหลัง และกระดูกซี่โครง แต่ถ้าเป็นกล้ามเนื้อของอวัยวะภายในจะเป็นกล้ามเนื้อเรียบ, Smooth muscle) ทุกมัด แต่ที่พบบ่อยที่สุดคือ เกิดกับกล้ามเนื้อน่อง รองลงไป คือ กล้ามเนื้อเท้า และกล้ามเนื้อต้นขา โดยโอกาสเกิดกับกล้ามเนื้อข้างซ้ายและข้างขวาเท่ากัน

ตะคริวพบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และโอกาสเกิดในผู้หญิงและในผู้ชายใกล้เคียงกัน แต่สถิติการเกิดตะคริวที่ชัดเจนยังไม่มี เพราะมักเป็นอาการที่หายได้เองจากการดู แลตนเอง จึงไม่มีการพบแพทย์ อย่างไรก็ตามคาดว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของคนอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปมักเคยเกิดมีอาการนี้ และประมาณ 40%ของคนกลุ่มนี้ อาจเกิดอาการได้ ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์

ตะคริวมีได้ 2 ประเภทคือ ประเภทไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบได้บ่อยกว่า เรียกว่า Idiopathic cramps และประเภททราบสาเหตุ เรียกวา Secondary cramps

ตะคริวเกิดได้ทั้งในช่วงกลางวันในระหว่างใช้งานกล้ามเนื้อ หรือช่วงกลางคืนในช่วงพัก ผ่อนซึ่งมักเกิดกับกล้ามเนื้อขา เรียกว่า Nocturnal leg cramp หรือ Night leg cramp

ตะคริวเกิดได้อย่างไร? มีสาเหตุจากอะไร?

ตะคริว

ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นกลไกที่แท้จริงของการเกิดตะคริว แต่จากการศึกษาเชื่อว่า อาจเกิดได้จาก กล้ามเนื้อมัดนั้นขาดการยืดตัว (Stretching) อย่างพอเพียง และจากกล้ามเนื้อมัดนั้นล้า ซึ่งทั้งสองปัจจัยส่งผลให้เกิดการหดเกร็ง/ตะคริวของกล้ามเนื้อมัดนั้น ซึ่งทั้งสองปัจ จัยนี้ อาจมีสาเหตุได้จาก

 

ใครบ้างมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดตะคริว?

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดตะคริว คือ

  • ผู้สูงอายุ
  • นักกีฬา การเล่นกีฬา คนในอาชีพต้องใช้แรงงาน และอยู่กลางแดด
  • คนท้อง เนื่องจากน้ำหนักท้องจะกดหลอดเลือดขนาดใหญ่ในช่องท้อง ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดมายังกล้ามเนื้อขาไม่ดี และกล้ามเนื้อขายังต้องแบกรับน้ำหนักของท้อง นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลถึงการทำงานของกล้ามเนื้อ
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • มีโรคเรื้อรังต่างๆดังกล่าวแล้วในหัวข้อสาเหตุ
  • ยืน เดิน นั่ง นานๆ เพราะส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตของขาไม่ดี
  • ห่มผ้าห่มรัดช่วงขามากเกินไป โดยเฉพาะการปูเตียงนอนแบบตะวันตก (มักเป็นสา เหตุเกิดในช่วงกลางคืน) การไหลเวียนโลหิตบริเวณขาจึงลดลง
  • กินยาบางชนิด ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ
 

ตะคริวมีอาการอย่างไร?

อาการจากการเกิดตะคริว คือ กล้ามเนื้อมัดที่เกิดตะคริวจะแข็ง เกร็ง คลำได้เป็นก้อนแข็ง และปวด/เจ็บมาก อาการอาจคงอยู่ 1-2 นาที หรือนานได้ถึง 10-15 นาที ซึ่งภายหลังกล้ามเนื้อคลายตัวแล้ว อาจยังมีการปวด/เจ็บกล้ามเนื้อมัดนั้นอยู่ เป็นนาที หรือเป็นชั่วโมง หรือเป็นวัน แต่อาการปวด/เจ็บน้อยกว่าช่วงกล้ามเนื้อหดเกร็ง และยังสามารถใช้งานกล้ามเนื้อมัดนั้นได้ตามปกติ

แพทย์วินิจฉัยสาเหตุของตะคริวได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยตะคริวได้จากประวัติอาการ ประวัติการเล่น การทำงาน อาชีพ โรคประจำ ตัว และยาที่ใช้อยู่ ร่วมกับการตรวจร่างกาย และหาสาเหตุของตะคริวได้จากประวัติทางการ แพทย์ต่างๆ รวมทั้งอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และ/หรือเอกซเรย์ ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ ป่วย ความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น ตรวจเลือดดูค่าน้ำตาล เพื่อวิ นิจฉัยโรคเบาหวาน ตรวจเลือดดูฮอร์โมนไทรอยด์ เมื่อสงสัยโรคของต่อมไทรอยด์ หรือตรวจภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กเอมอาร์ไอ/MRI ดูภาพของกระดูกสันหลัง ช่องสันหลัง และไขสันหลัง เมื่อสงสัยสาเหตุเกิดจากโรคของอวัยวะดังกล่าว

รักษาตะคริวได้อย่างไร?

โดยทั่วไปการรักษาตะคริว คือการดูแลตนเอง อาการมักหายได้เองภายในระยะเวลาเป็นนาที โดย

 

ทั้งนี้ กรณีอาการตะคริวไม่ดีขึ้นและมาพบแพทย์ แพทย์อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยากิน ยาฉีด ให้เกลือแร่ และ/หรือ ใช้ยาชา ซึ่งยาต่างๆเหล่านี้ยังให้ผลรักษาไม่ชัดเจน แต่ได้ผลดีในผู้ป่วยบางราย อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้อาจก่อผลข้างเคียงได้ (คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ มีเสียงในหู อาจรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ เลือดออกง่ายจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ และอาจก่อให้เกิดไตวายได้) ดังนั้น ยาเหล่านี้ต้องให้การรักษาโดยแพทย์เท่านั้น อย่าซื้อยากินเอง ซึ่งการรักษาอาการตะคริวโดยการใช้ยาต่างๆมักอยู่ภายใต้คำแนะนำจากองค์กรทางการแพทย์ เช่น สภาโรคทางระบบประสาทแห่งสหรัฐอเมริกา (The American Academy of Neurology) เป็นต้น

ตะคริวรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?

ตัวอาการตะคริวเอง เป็นอาการไม่รุนแรง และมักหายได้เองโดยเฉพาะตะคริวประเภทไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic cramp)

แต่ในตะคริวที่เกิดโดยมีสาเหตุ ตะคริวจะเป็นอาการหนึ่งของโรค ถึงแม้เป็นอาการที่ดูแลหายได้เอง แต่ต้องดูแลรักษาโรคที่เป็นสาเหตุด้วย มิเช่นนั้นก็จะเกิดตะคริวได้บ่อย ดังนั้นความรุนแรงของตะคริวในผู้ป่วยกลุ่มนี้ จึงขึ้นกับสาเหตุ คือขึ้นกับแต่ละโรค เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคของต่อมไทรอยด์ เป็นต้น

โดยทั่วไป ไม่มีผลข้างเคียงจากตัวอาการตะคริว ยกเว้นอาการปวดขณะเกิดอาการ หรือภายหลังเกิดอาการ ซึ่งมักหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง หรือเพียงกินยาแก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol)

ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นตะคริว? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

การดูแลตนเองเมื่อเกิดตะคริว ได้แก่ การหยุดใช้งานกล้ามเนื้อมัดนั้น การนวดและการยืดกล้ามเนื้อมัดเกิดอาการ เบาๆ และการประคบอุ่น หรือประคบเย็นดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ การรักษา

นอกจากนั้น คือ การดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดตะคริวซ้ำ หรือเกิดบ่อยๆ (อ่านเพิ่ม เติมในหัวข้อ การป้องกัน)

ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เพื่อการรักษาทั้งสาเหตุและตัวอาการตะคริว เมื่อ

  • มีอาการปวดมาก ไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองหลังจากตะตริวหายไป
  • ตะคริวไม่หายไปหลังดูแลตนเอง โดยเป็นนานเกินกว่า 30 นาที
  • เป็นตะคริวบ่อย
  • เมื่อกังวลในอาการ
 

ป้องกันตะคริวได้อย่างไร?

การป้องกันการเกิดตะคริว ได้แก่

  • ดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม และให้พอ เพียงกับปริมาณน้ำที่ร่างกายเสียไป เช่น เมื่อเหงื่อออกมาก ท้องเสีย หรือ ปัสสาวะมาก
  • ไม่นั่ง นอน เดิน นานๆ
  • ฝึกยืด (Stretching) กล้ามเนื้อมัดที่เกิดตะคริวบ่อยๆเสมอ โดยดังกล่าวแล้วว่า ตะ คริวมักเกิดกับกล้ามเนื้อน่องและต้นขา ซึ่งสามารถฝึกทำได้โดยปรึกษาแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู แพทย์ออร์โทพีดิกส์/ Orthopaedics (แพทย์โรคกระดูกและข้อ) หรือนักกายภาพบำบัด ทั้งนี้การออกกำลังยืดกล้ามเนื้อ ควรทำวันละ 1-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 3-5 นาที (ครั้งสุดท้ายของวัน ควรเป็นก่อนเข้านอน เพื่อลดโอกาสเกิดตะคริวตอนกลางคืน) ก่อนทำควรอบอุ่น (Warm up) กล้ามเนื้อด้วยการเดินเบาๆ ประมาณ 5 นาที และเมื่ออาการตะคริวห่างออกไป สามารถลดการทำเหลือเพียงวันละครั้งได้ แต่ยังควรต้องทำต่อเนื่องตลอดไป
 

อนึ่ง สภาแพทย์ออร์โทพีดิกส์แห่งสหรัฐอเมริกา (The American Academy of Orthopaedic Surgeons, AAOS,https://orthoinfo.aaos.org/topic.cfm?topic=a00200) ได้แนะนำท่าบริหารยืดกล้ามเนื้อดังกล่าว ดังนี้

(***** ข้อควรระวัง: ในการทำการบริหารยืดกล้ามเนื้อในท่าต่างๆที่จะได้กล่าว ถึงต่อไปนี้ อาจมีข้อจำกัดสำหรับบางคนซึ่งมีปัญหาโรค กระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อเกี่ยว พัน ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดก่อนลงมือปฏิบัติ และ/หรือ เมื่อขณะบริหาร ถ้าเริ่มมีอาการเจ็บ ควรหยุดบริหาร ไม่ควรฝืนทำต่อไป)

  • การยืดกล้ามเนื้อน่อง ซึ่งเมื่อบริหารจะรู้สึกถึงการยืดตึงของกล้ามเนื้อน่องลงมาจนถึงส้นเท้า วิธีการ คือ ยืนตรง หลังตรง หันหน้าเข้าหาผนัง/กำแพงที่แข็งแรง ห่างประมาณ 2-3 ฟุต ฝ่าเท้าทั้งสองข้างตรง เท้าหลังห่างจากเท้าหน้าเล็กน้อย งอเข่าเท้าหน้าพอ ควร เท้าหลัง/ข้อเข่าเหยียดตรง มือ 2 ข้างยกยันกำแพงโดยเอนตัวไปข้างหน้าโดยแผ่นหลัง ต้องเหยียดตรงเสมอ และค้างไว้ประมาณ 15-30 วินาที สลับทำทั้ง 2 ข้างซ้ายและขวา ขณะทำฝ่าเท้าต้องวางราบกับพื้น เท้าหลังต้องชี้ตรงไปยังเท้าหน้าเสมอ
  • การยืดกล้ามเนื้อด้านหลังของต้นขา โดยนั่งกับพื้น หลังตรง เหยียดเข่าตรงไปด้านหน้า ขาชิดกันทั้ง 2 ข้าง เท้าอยู่ในท่าปกติ ส้นเท้าชิดกัน และค่อยลากฝ่ามือไปตามพื้นด้านข้างของขาทั้ง 2 ข้างไปจนถึงข้อเท้า โดยหลังตรงอย่าก้มหลังและเข่าเหยียดตรงเสมอ เมื่อรู้สึกว่ากล้ามเนื้อด้านหลังตันขาเหยียดเต็มที่แล้ว ค้างไว้ประมาณ 30 วินาที
  • การยืดกล้ามเนื้อด้านหน้าของต้นขา โดยยืนตรง มือข้างหนึ่งจับพนักเก้าอี้ที่แข็งแรง ห่างจากเก้าอี้ประมาณ 1 ฟุต เท้าสองข้างชิดกัน พับข้อเข่าขึ้น 1 ข้าง ใช้มือข้างเดียวกัน จับข้อเท้าด้านยกขึ้น กดส้นเท้าเข้าหาบริเวณก้น จนรู้สึกได้ถึงการเหยียดตัวของกล้ามเนื้อหน้าขา (ไม่ต้องกดมาก) ค้างไว้ประมาณ 30 วินาที สลับทำอีกข้าง
    • หลีกเลี่ยง/งด การงาน หรือกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อเกินกำลัง เช่น ยกของหนัก เล่นกีฬาหนัก
    • เมื่อต้องใช้กล้ามเนื้อทำงานหนัก ควรมีการอบอุ่น (Warm up) กล้ามเนื้อ ตามวิธีที่ถูกต้องก่อนเสมอ เช่น วิ่งเบาๆประมาณ 10 นาที
    • กิน ผัก ผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามิน และเกลือแร่ที่ช่วยในการทำงานของกล้าม เนื้อสูง เช่น โปแตสเซียม แมกนีเซียม วิตามิน บี และวิตามิน อี
    • สวมรองเท้าที่ไม่รัดเท้าเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตบริเวณขาและเท้า
    • ขณะนอน ไม่ควรนอนห่มผ้าห่มรัดเท้าแน่น (การปูเตียงนอนแบบชาวตะวันตก)
    • สังเกตกิจกรรมต่างๆที่กระตุ้นให้เกิดตะคริว แล้วหลีกเลี่ยง
    • รักษา ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ

ที่มา   https://haamor.com/th/ตะคริว/

อัพเดทล่าสุด