บทนำ
เป็นที่ทราบกันดีกว่าโรคลมชัก (Epilepsy) เป็นโรคหนึ่งทางระบบประสาทที่พบบ่อยและสร้างความตกใจ วิตกกังวลหรือหวาดกลัวต่อผู้ปกครอง ผู้พบเห็น ผู้ร่วมงาน หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียน ผู้ป่วยมักมีตราบาปติดตัวไปตลอด อาจถูกรังเกียจจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน ครู เพื่อนร่วมงาน รวมถึงนายจ้าง เนื่องจากความเข้าใจผิด ทั้งที่จริงแล้วผู้ป่วยโรคลมชักควรมีการดำเนินชีวิตใกล้ เคียงหรือเหมือนกับคนทั่วไป ไม่ควรถูกกีดกันจากสังคม
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากประชาชนทั่วไปยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อผู้ป่วยและโรคลมชัก อาจทั้งได้รับการถ่ายทอดความรู้และทัศนคติที่ไม่ถูกต้องจากผู้ใหญ่ อาทิเช่น สาเหตุของโรคลมชักเกิดจากสิ่งเร้นลับ ถูกผีเข้า การช่วยเหลือผู้ป่วยโดยการนำวัสดุต่างๆ เช่น ช้อน ไม้ หรือนิ้วมือ ใส่ปากผู้ป่วยขณะชักเพื่อป้องกันการกัดลิ้น การกดปั๊มหน้าอกผู้ป่วย การผูกแขนขา หรือนั่งทับไว้ขณะชัก การบีบมะนาวหรือนำเม็ดพริกใส่ปากผู้ป่วยขณะชัก ซึ่งการกระทำต่างๆเหล่านั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่แพทย์ต้องเผยแพร่ความรู้เกี่ยว กับโรคลมชักที่ถูกต้องต่อประชาชน เพื่อประชาชนจะได้มีความรู้และทัศนคติที่ดีต่อผู้ป่วยโรคลมชัก อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยต่อไป
ความรู้และทัศนคติของคนทั่วไปต่อโรคลมชักเป็นอย่างไร?
การศึกษาแรกๆที่ศึกษาเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติของคนอเมริกาต่อโรคลมชัก เริ่มในปี พ.ศ. 2492 โดย Lennox และคณะ1 ต่อจากนั้นได้ทำการศึกษาอย่างต่อเนื่องทุกๆ 5 ปี ก็ยังพบ ว่า
- ประชาชน 57-89% เท่านั้นที่อนุญาตให้ลูกเล่นกับเด็กที่เป็นโรคลมชัก
- 5-10% ไม่เคยทราบเกี่ยวกับโรคลมชัก
- และเมื่อถามถึงสาเหตุของโรคลมชัก พบว่า 39-57% ตอบว่าไม่ทราบ 22-36% เท่านั้นที่ตอบว่า เป็นความผิดปกติทางระบบประสาท
ในปีพ.ศ. 2545 ได้มีการศึกษาความรู้และทัศนคติของนักศึกษาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ในประเทศแคนนาดา รายละเอียดดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ความรู้โรคลมชักของนักศึกษาในประเทศแคนนาดา
ความรู้และทัศนคติของครูต่อโรคลมชักเป็นอย่างไร?
การศึกษาในประเทศซิมบับเวปีพ.ศ. 2540 ศึกษาในครู 165 คน พบว่ามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ป่วยโรคลมชัก เช่น
- 20% จะไม่ทำงานร่วมกับผู้ป่วย
- 44% จะไม่จ้างงานผู้ป่วย
- รวมทั้ง 16.8% ไม่อยากสอนนักเรียนที่เป็นโรคลมชัก รายละเอียดดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ความรู้และทัศนคติของครูต่อโรคลมชักในประเทศซิมบับเว
ดังนั้นจะเห็นว่าครูซึ่งเป็นผู้มีระดับการศึกษาสูงในสังคมของประเทศกำลังพัฒนายังมีความรู้ความเข้าใจโรคลมชักไม่ดีพอ และยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องต่อผู้ป่วยโรคลมชักค่อนข้างสูง ซึ่งจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก
ความรู้และทัศนคติต่อผู้ป่วยโรคลมชักในแต่ละประเทศเป็นอย่างไร?
ตั้งแต่มีการศึกษาในปีพ.ศ. 2492 ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา ก็มีการศึกษาลักษณะเดียวกันในหลายประเทศได้แก่ ฟินแลนด์ อิตาลี จีน เดนมาร์ก แทนซาเนีย และไต้หวัน รายละเอียดดังตารางที่ 3
ซึ่งจากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าทัศนคติของกลุ่มประชาชนที่ศึกษาต่อผู้ป่วยโรคลมชัก มีความไม่เหมาะสมในหลายประเด็น เช่น การไม่อยากทำงานร่วมกัน หรือการไม่อนุญาตให้ลูก เล่นร่วมกับเด็กที่เป็นโรคลมชัก เพราะคนทั่วไปยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสาเหตุของโรคลม ชักว่าสามารถติดต่อกันได้โดยการสัมผัสหรือพูดคุย เป็นต้น
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อโรคลมชักอย่างไร?
มี 2 การศึกษาในเรื่องนี้ ใน 2 ประเทศ คือการศึกษาในประเทศฮังการี และในสหรัฐ อเมริกา ซึ่งในที่นี้ ขอสรุปรายละเอียดผลการศึกษาในประเทศฮังการี ดังตารางที่ 4
ตารางที่ 4 ทัศนคติต่อโรคลมชักในปี พ.ศ. 2537 และ 2543
จะเห็นได้ว่าทัศนคติต่อโรคลมชักมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ทั้งๆที่ได้มีการเผยแพร่ความรู้อย่างต่อเนื่อง สำหรับความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของโรคลมชักที่ได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องในประเทศสหรัฐอเมริกา รายละเอียด ดังตารางที่ 5
ตารางที่ 5 ความรู้ต่อสาเหตุโรคลมชักในช่วงเวลาต่างๆ
การศึกษาเรื่องความรู้และทัศนะคติต่อโรคลมชักในประเทศไทยเป็นอย่างไร?
ในประเทศไทย ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติของครู 284 คน ต่อโรคลมชัก ใน พ.ศ. 2542 พบเพียง 38% ที่เคยได้ยินหรืออ่านหนังสือโรคลมชัก โดย
- 38.7% ทราบจากสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ นิตยสาร
- 1.8% ทราบจากครอบครัว
- 5.8% ทราบจากแพทย์
- 34% เคยมีนักเรียนในห้องเป็นโรคลมชัก
- 46.6% เชื่อว่าโรคลมชักรักษาไม่หาย
- และ 38% คิดว่าเด็กที่เป็นโรคลมชักจะมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเด็กทั่วไป
- 59% ไม่ยินยอมให้บุตรของตนแต่งงานกับผู้ป่วยโรคลมชัก
- แต่ที่น่าตกใจคือ 86.4% ให้การช่วยเหลือเด็กขณะชักไม่ถูกต้อง เช่น ยึดผู้ป่วย นำช้อนใส่ปากผู้ป่วยเพื่อป้องกันการกัดลิ้น เป็นต้น
การศึกษาในจังหวัดขอนแก่น
ผู้เขียนได้มีโอกาสศึกษาใน 4 กลุ่มประชากรได้แก่ ญาติผู้ป่วยโรคระบบประสาท ครูระดับ ประถมศึกษา นักศึกษาแพทย์ และพยาบาล รายละเอียดดังตารางที่ 6
10 ประเด็นคำถามที่พบบ่อยในโรคลมชัก
ดังนั้น เห็นได้ว่าทุกกลุ่มประชากรที่ศึกษายังมีความรู้ต่อโรคลมชักค่อนข้างต่ำ จึงมีความจำเป็นต้องให้การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคลมชักอย่างต่อเนื่องต่อไป
จากบทความนี้ ผู้เขียน ขอสรุปเป็น 10 ประเด็นที่พบบ่อยในโรคลมชักดังนี้
- คำถาม : โรคลมชักเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
คำตอบ : โรคลมชักเป็นโรคที่มีสาเหตุทางพันธุกรรมน้อยมาก (1-2% เท่านั้น) โดยส่วนใหญ่แล้วสาเหตุการเกิดโรคลมชักในประเทศไทย มีสาเหตุหลักจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ การติดเชื้อในสมอง เช่น จากพยาธิตัวตืด โรคหลอดเลือดสมอง การผ่าตัดสมอง และแพทย์หาสาเหตุไม่พบ
- คำถาม : โรคลมชักเป็นโรคที่ติดต่อทางอาหาร น้ำลายและการสัมผัสได้หรือไม่
คำตอบ : เป็นไปไม่ได้เลย โรคลมชักไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อที่สามารถติดต่อได้โดยการทานอาหาร น้ำลายหรือการสัมผัสใดๆ ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งจะเกิดจากการติดเชื้อ แต่เชื้อดังกล่าวส่งผลต่อเนื้อสมองโดยตรง ทำให้มีกระแสไฟฟ้าในสมองผิดปกติและก่อให้ เกิดอาการชัก เชื้อดังกล่าวไม่สามารถติดต่อได้ทางการสัมผัสหรือการทานอาหาร
- คำถาม : การช่วยเหลือผู้ป่วยกำลังมีอาการชัก ต้องป้องกันการกัดลิ้น โดยการนำของแข็งงัดปากผู้ป่วยหรือนำนิ้วมือไปงัดปากผู้ป่วย
คำตอบ: การช่วยเหลือด้วยวิธีดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ถูกอย่างยิ่ง เพราะโดยปกติแล้วโอกาสที่ผู้ป่วยจะกัดลิ้นนั้น พบได้น้อยกว่า 4% และถ้าเกิดการกัดลิ้นจริงๆ ก็ไม่มีอันตรายใดๆ การช่วยเหลือด้วยวิธีดังกล่าวส่งผลเสียมากกว่า เพราะอาจก่อให้เกิดอัน ตรายต่อผู้ป่วยได้ เช่น ฟันหัก ฟันหลุดลงในคอและอุดหลอดลม หรือ ผู้ช่วยเหลือถูกกัดนิ้วมือได้บ่อย
- คำถาม : การช่วยเหลือผู้ป่วยที่กำลังชักที่ถูกต้องควรทำอย่างไร?
คำตอบ : การช่วยเหลือที่ถูกต้องนั้น คือ การที่ผู้พบเห็นต้องไม่ตกใจและตั้งสติให้ดี เพียงแค่ระวังไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอันตรายจากการชัก ไม่สำลักน้ำลายหรืออาหาร โดยการจับศีรษะและลำตัวตะแคงไปด้านข้าง ไม่ให้มีสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยอยู่ใกล้ตัว เช่น กาน้ำร้อน หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เป็นของแข็ง เพื่อไม่ให้แขน ขาของผู้ป่วยมากระ แทก ทีสำคัญถ้าเป็นอาการชักครั้งแรก ผู้เห็นเหตุการณ์ควรตั้งสติและสังเกตอาการชักให้ละเอียด ถ้าเป็นไปได้ คือ บันทึกภาพเคลื่อนไหวของอาการชักที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาให้แพทย์ดูว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้น ใช่อาการชักหรือไม่ และถ้าใช่เป็นการชักชนิดไหน
- คำถาม : เด็กที่เป็นโรคลมชักสามารถเรียนหนังสือได้หรือไม่?
คำตอบ: เด็กที่เป็นโรคลมชักสามารถเรียนหนังสือได้เหมือนกับเด็กทั่วไป โดยครูและเพื่อนต้องทราบวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคลมชักทั้งในด้านการเรียนและในด้านการเจ็บ ป่วยที่ถูกต้องด้วย เพื่อให้การช่วยเหลือที่ถูกต้อง และไม่ควรล้อเลียนเพื่อนด้วย มีเพียงส่วนน้อยของเด็กเท่านั้นที่มีปัญหาด้านสติปัญญาและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
- คำถาม : ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
คำตอบ : ไม่มีเหตุผลใดๆที่ต้องห้ามผู้ป่วยโรคลมชักมีเพศสัมพันธ์ เพราะการมีเพศสัม พันธ์นั้นไม่มีอันตรายใดๆ และไม่มีการถ่ายทอดอาการชักไปสู่คู่ที่มีเพศสัมพันธ์ได้ และก็ไม่ได้เป็นการกระตุ้นให้มีอาการชัก
- คำถาม : ผู้ป่วยโรคลมชักแต่งงานได้หรือไม่?
คำตอบ : การแต่งงานสามารถทำได้ และก็มีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่การตั้งครรภ์นั้นต้องพิจารณาเกี่ยวกับอาการชัก การควบคุมอาการชักว่าทำได้ดีหรือยัง และต้องคำนึงถึงโอกาสการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นต้องมีการวางแผนครอบครัวที่ดีและต้องแจ้งให้แพทย์ผู้ทำการรักษาทราบถึงความต้องการว่าจะมีบุตรหรือ ไม่ ต้องการมีบุตรเมื่อไหร่?
- คำถาม : ผู้ป่วยโรคลมชักสามารถทำงานได้หรือไม่?
คำตอบ : ผู้ป่วยสามารถทำงานได้เกือบเหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่ไม่ควรทำอาชีพต่อไปนี้ คือ ขับรถ ขับเรือ ขับเครื่องบิน ทำงานกับเครื่องจักรกล และควรหลีกเลี่ยงการทำงานในที่สูง ดังนั้นนายจ้างควรเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยโรคลมชักเข้าทำงาน
- คำถาม : ผู้ป่วยโรคลมชักทานเนื้อหมูได้หรือไม่?
คำตอบ: เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุด เพราะจากชื่อโรคที่คนไทยเรียกโรคลมชัก ว่า โรคลมบ้าหมู จึงมีความเชื่อว่า โรคนี้มีเทพเจ้าที่ควรเคารพ คือ หมู จึงห้ามทานเนื้อหมู ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย อย่างไรก็ตาม การทานเนื้อหมูสุกๆดิบๆก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมีโอกาสเกิดการติดเชื้อพยาธิได้
- คำถาม : ผู้ป่วยโรคลมชักควรทานยากันชักเฉพาะ วันพระ วันโกน หรือวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น
คำตอบ : ความเชื่อนี้เกิดจากการสังเกตว่าผู้ป่วยจะมีอาการชักบ่อยๆในช่วงวันดังกล่าวร่วมกับเข้าใจว่ายาที่ทานนั้นเป็นยากันชัก ดังนั้นจึงทานยาเฉพาะช่วงที่มีอาการชักบ่อยเท่านั้น ซึ่งการสังเกตนั้นมีความถูกต้อง เพราะจากการศึกษาแบบเป็นระบบ พบว่าผู้ป่วยโรคลมชักมีอาการบ่อยขึ้นช่วงวันดังกล่าว แต่ญาติและผู้ป่วยไม่เข้าใจว่าการรักษาโรคลม ชักนั้นต้องทานยาต่อเนื่อติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี เพื่อควบคุมอาการชักให้ดี แล้วจึงค่อยๆลดยาจนสามารถหยุดยาได้
สรุป
จากการศึกษาทั้งในประเทศไทยและในประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว พบว่า ยังมีปัญหาทั้งทางด้านความรู้และทัศนคติต่อโรคลมชักของคนทั่วไป ที่ต้องการการปรับปรุงให้มีความรู้และทัศนคติที่ดีต่อผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยโรคลมชักมีคุณภาพชีวิตที่ดีใกล้เคียงปกติให้ได้มากที่สุด
ที่มา https://haamor.com/th/ความรู้และทัศนะคติของประชาชนต่อโรคลมชัก/