กุ้งยิง (Sty)


869 ผู้ชม


ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :

หนังตา  ระบบตา 

อาการที่เกี่ยวข้อง :

กุ้งยิงคืออะไร? เกิดได้อย่างไร?

กุ้งยิง (Sty หรือ Stye หรือ Hordeolum) เป็นการอักเสบติดเชื้อของต่อมในหนังตาที่อยู่บริเวณโคนขนตา มีลักษณะเหมือนฝีทั่วไปเพียงแต่พบบริเวณหนังตา มีขนาดประมาณ 2 มิลลิ เมตร ไปจนถึง 1 เซนติเมตร ถ้าเป็นการอักเสบติดเชื้อของต่อม Zeis (Gland of Zeis,ต่อมสร้างสารที่มีลักษณะเป็นน้ำมัน) หรือ ต่อม Moll (Gland of Moll,ต่อมเหงื่อ) มักจะขนาดไม่ใหญ่และหัวฝีจะชี้ออกด้านนอก (ด้านผิวหนัง) เรียกกันว่า กุ้งยิงภายนอก (External hordeolum) แต่ถ้าเป็นการอักเสบของต่อม Meibomian (ต่อมสร้างน้ำมันชนิดพิเศษที่ช่วยลดการระเหยของน้ำตา จึงช่วยให้ดวงตาคงความชุ่มชื้นได้นาน) ขนาดอาจใหญ่กว่าและหัวฝีชี้เข้าด้านใน เรียกกันว่า กุ้ง ยิงภายใน (Internal hordeolum)

ส่วนใหญ่กุ้งยิงเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบเป็นปกติบริเวณหนังตาและใบหน้า มักเป็นแบคทีเรียในกลุ่มสแตฟ (Staphylococcus) มากที่สุด โดยการอักเสบ มักเริ่มจากท่อทางออกของสารต่างๆจากต่อมต่างๆดังกล่าวที่บริเวณหนังตามีการอุดตัน ส่งผลให้มีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในต่อมเป็นจำนวนมาก เกินกว่าภูมิต้านทานคุ้มกันของร่างกายจะดูแลกำจัดได้ จึงก่อให้เกิดอักเสบของต่อมดังกล่าว ตามมาด้วยมีการบวม มีหนองสะสม ก่อให้เห็นเป็นฝี เป็นก้อนนูน ถ้าเป็นที่หนังตาบน หากหลับตาจะเห็นก้อนนูนชัดเจน

อาจมีอีกภาวะหนึ่งที่เกิดกับต่อมต่างๆของหนังตาเช่นกัน เป็นไตนูนแข็ง ขนาดพอๆกับกุ้งยิง เรียกว่า ปรวดหนังตา (Chalazion) โดยเป็นการอักเสบที่ไม่มีเชื้อ ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ โดยอาจกลายจากกุ้งยิงมาเป็นไตแข็ง หรือเกิดจากต่อมบริเวณหนังตาดังกล่าวอุดตัน ทำให้มีการอุดตันของสารที่หลั่งจากต่อมนั้นๆไม่มีทางออก จึงเกิดเป็นไตแข็งโดยไม่มีการอักเสบติดเชื้อ ไม่เจ็บเป็นเพียงมีก้อนนูนขึ้นมาเฉยๆ

กุ้งยิง เป็นโรคพบบ่อยโรคหนึ่งของหนังตา แต่ไม่มีสถิติการเกิดชัดเจน เป็นโรคพบได้ในผู้หญิงและในผู้ชายใกล้เคียงกัน พบได้ในทุกอายุ ทั้งในเด็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่มักพบในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก ทั้งนี้อาจเพราะสารที่สร้างจากต่อมต่างๆในผู้ใหญ่มักเข้มข้นกว่าในเด็กจากอิทธิ พลของฮอร์โมน จึงก่อการอุดตันของท่อต่อมต่างๆได้ง่ายกว่า

กุ้งยิงพบเกิดได้กับหนังตาทั้งสองข้าง โอกาสเกิดในข้างซ้ายและในข้างขวา ใกล้เคียงกัน และเกิดได้กับทั้งหนังตาบนและหนังตาล่าง แต่มักพบเกิดกับหนังตาบนมากกว่า เพราะหนังตาบนมีจำนวนต่อมต่างๆมากกว่าในหนังตาล่าง

ุ้งยิงมีอาการอย่างไร?

อาการของกุ้งยิงส่วนใหญ่ เริ่มจากมีอาการเคืองตาคล้ายมีผงอยู่ในตา ตามด้วยน้ำตาไหล บางรายอาจมีขี้ตาออกมากกว่าปกติปวดตา ตาแดง เจ็บบริเวณที่เป็น ตามด้วยมีก้อนนูนซึ่งถูกจะเจ็บ บางคนก้อนนี้อาจแตกมีหนองไหลออกมา หากเชื้อรุนแรงหรือภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายต่ำ อาจก่อให้เกิดการอักเสบกระจายบริเวณโดยรอบก้อนและแผ่กว้างออกไป (Cellulitis) ระยะนี้ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น เด็กบางคนอาจมีไข้ร่วมด้วย

โดยทั่วไปอาการของกุ้งยิงไม่รุนแรง ไม่ทำให้สายตามัวลง ยกเว้นบางรายที่ก้อนใหญ่จนกดกระจกตาทำให้เกิดภาวะสายตาเอียง จึงทำให้สายตามัวลงไปบ้าง

แพทย์วินิจฉัยกุ้งยิงได้อย่างไร?

ตากุ้งยิงมักพบในวัยรุ่นถึงผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุพบได้น้อยกว่า หากพบในผู้สูงอายุต้องตรวจ เช็คร่างกาย อาจพบโรคเบาหวานโรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง หรือโรคต่างๆที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายต่ำลง

นอกจากนั้น กุ้งยิง มักพบในบุคคลที่ชอบขยี้ตา ผู้ที่ไม่ค่อยรักษาความสะอาดใบหน้า ใช้เครื่องสำอางใบหน้าและดวงตา ตลอดจนใช้คอนแทคเลนส์/เลนส์สัมผัส (Contact lens) ร่วม กับผู้อื่น อยู่ในสิ่งแวดล้อมสกปรก มีการอักเสบบริเวณหนังตาบ่อยๆ ผู้ที่มีโรคผิวหนังบริเวณใบ หน้า และ/หรือ มีใบหน้ามัน จึงมีการอุดตันของต่อมไขมันบริเวณใบหน้ารวมทั้งหนังตาได้สูงกว่า

การวินิจฉัยโรคกุ้งยิง ทำได้โดยแพทย์ตรวจพบเป็นก้อนนูนที่หนังตาร่วมกับ อาการเจ็บเวลากด มีการอักเสบรอบๆก้อน ตาอาจจะแดง มีขี้ตาชัดเจน ถ้าเป็นไตแข็งชนิด Chalazion จะเป็นเพียงก้อนนูน ไม่เจ็บ ตาไม่แดง เพียงแต่ผู้ป่วยอาจรู้สึกรำคาญ หรือระคายเหมือนมีก้อนกลิ้งไปมาในตา โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องตรวจเพาะหาเชื้อที่เป็นต้นเหตุ เพราะโรคไม่ร้ายแรง อีกทั้งมักตอบสนองต่อการรักษาดี ไม่ว่าจะเกิดจากการติดเชื้อชนิดอะไรก็ตา

รักษากุ้งยิงอย่างไร?

แนวทางการรักษากุ้งยิง โดยหากเป็นอาการในระยะแรกๆ ยังไม่เป็นตุ่มนูนชัดเจน เพียง แต่อักเสบแดงรอบๆ อาการจะหายได้โดยการใช้ประคบอุ่น นานประมาณ 15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง และนวดเบาๆ ร่วมกับการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดหยอดเพียงอย่างเดียว หรือร่วมกับยาปฏิชีวนะรับประทานด้วย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

หากพบมีการอักเสบของขอบหนังตาทั่วๆไป (Blepharitis) ร่วมด้วย ซึ่งจะสังเกตพบเป็นผงขุยบริเวณขอบตา ควรเช็ดทำความสะอาดขอบตาด้วยน้ำอุ่นสะอาด โดยเช็ดจากหัวตาไปหางตา ประมาณวันละ 2 ครั้ง

โดยทั่วไป แม้ไม่ได้ใช้ยา บางคนอาจหายได้เองในเวลา 1-2 สัปดาห์ ถ้าอาการไม่ดีขึ้น เกิดเป็นก้อนนูนชัดเจน และ/หรือใช้ยาปฏิชีวนะ (การซื้อยาใช้เอง ควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนเสมอ) แล้วไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อรักษาโดยการกรีดหนองออก

หากเป็น Chalazion การใช้ยาปฏิชีวนะอาจไม่ช่วย ต้องลงเอยด้วยการกรีดออก หรือแพทย์บางท่านอาจใช้วิธีฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปรอบๆก้อน

วิธีการกรีดกุ้งยิง ทำได้โดยใช้ยาชาชนิดหยอด 2-3 ครั้ง ตามด้วยการฉีดยาชาประมาณ 0.5 ซีซี (c.c) บริเวณก้อน กรีดด้วยมีดปลายแหลมยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร หนองจะทะลักออก และก้อนจะยุบโดยไวภายใน 2-3 วัน (เป็นการรักษาโดยแพทย์ ไม่ควรรักษาตนเอง หรือให้ผู้ไม่ใช่แพทย์รักษาให้)

กุ้งยิงมีผลข้างเคียงไหม? รุนแรงไหม?

ตามที่กล่าวแล้วว่า บางคนเป็นกุ้งยิง หากร่างกายแข็งแรงร่วมกับการรักษาความสะอาดใบหน้าและหนังตา โรคอาจหายได้เอง หรือใช้ยาปฏิชีวนะ ก็หายได้ใน 1-2 สัปดาห์เป็นส่วนใหญ่

แต่ในบางราย อาจเป็นที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ หรือเชื้อโรคมีจำนวนมาก หรือไม่รัก ษาความสะอาด ทำให้การอักเสบลุกลามไปทั่วหนังตา (Cellulitis) อาจลึกลงไปถึงเบ้าตา (เนื้อ เยื่อรอบๆลูกตา) ก่อให้เกิดการอักเสบลามไปเป็นการอักเสบบริเวณเบ้าตา (Orbital cellulitis) ซึ่งบางคนเป็นรุนแรงจนกระทั่งเชื้อโรคเข้ากระแสเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด) หรือเชื้อโรคอาจลุกลามไปยังด้านหลังลูกตา ลามไปถึงสมอง ถึงระยะนี้ การอักเสบจะรุนแรงมาก จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล เพื่อให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดต่อไป

ในบางครั้งหากกุ้งยิงเป็นตุ่มหนองชัดเจน ไม่รับการกรีดออก หนองอาจจะแตกเอง ทำให้เกิดแผลบริเวณขอบหนังตา และเกิดเป็นแผลเป็นในเวลาต่อมา (ในกรณีที่แพทย์กรีด โอกาสจะเป็นแผลเป็นน้อยมาก เพราะมีหลักวิธีการกรีดที่เลี่ยงมิให้เกิดแผลเป็นได้)

หากเป็นกุ้งยิงซ้ำๆ ถูกกรีดบ่อยๆ จะก่อให้เกิดการทำลายต่อมต่างๆดังกล่าวไปมาก เมื่ออายุมากขึ้น อาจมีอาการตาแห้งได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปส่วนใหญ่ อาการของกุ้งยิงไม่รุนแรง รักษาได้หายเสมอภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไม่ทำให้สายตามัวลง ยกเว้นบางรายที่ก้อนใหญ่จนกดกระจกตาทำให้เกิดภาวะสายตาเอียง จึงทำให้สายตามัวลงไปบ้าง

ควรดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นกุ้งยิง? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

การดูแลตนเอง การพบแพทย์เมื่อเป็นกุ้งยิง คือ

  1. เมื่อพบว่าเป็นกุ้งยิง ควรเช็ดขอบตารอบๆกุ้งยิงให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นสะอาดวันละประมาณ 2 ครั้ง เช้า เย็น และดูแลรักษาความสะอาดบริเวณใบหน้าเสมอ
  2. งดใช้เครื่องสำอางบริเวณดวงตา
  3. งดใช้คอนแทคเลนส์
  4. ประคบอุ่นบริเวณที่เป็นกุ้งยิงวันละ 3-4 ครั้ง เพราะการประคบอุ่นทำให้มีหลอดเลือดมาเลี้ยงบริเวณที่เป็นโรคมากขึ้น มาช่วยกันต่อสู้เชื้อโรค อีกทั้งความอุ่นอาจทำให้ไขมันที่อุดตันต่อม เปิดออก ทำให้หนองไหลออกมาได้เอง อาการจะดีขึ้น
  5. ยังคงทำงานได้ตามปกติ หากเป็นงานที่ใช้สายตามาก ควรพักสายตาเป็นระยะๆ
  6. หยอดตาชนิดมียาปฏิชีวนะ (ปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาเสมอ) ภายใน 2-3 วัน ถ้าอาการเจ็บไม่ลดลง ก้อนไม่ยุบ หรือมีเลือดออกจากแผล ควรพบแพทย์เพื่อพิจารณายาปฏิชีวนะที่เหมาะสม หรือกรีดหนองออก
  7. หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคที่ก่อให้มีภูมิคุ้มกันต้านทานต่ำ เช่น ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) โรคเลือด หรือกำลังได้ยาเคมีบำบัด (รักษาโรคมะเร็ง) ฯลฯ ควรพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมทันทีที่สงสัยว่าจะเป็นกุ้งยิง ไม่ควรลองรักษาด้วยตนเอง เพราะเชื้ออาจลุกลามได้รวดเร็วดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ผลข้างเคียง

ป้องกันกุ้งยิงได้อย่างไร?

สามารถป้องกันกุ้งยิง ได้โดย

  1. รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง (รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน/สุขบัญญัติแห่งชาติ) รับ ประทานอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ครบทุกวัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อันจะทำให้สุขภาพทั่วไปแข็งแรง เป็นด่านป้องกันการติดเชื้อที่ดี รวม ทั้งโอกาสเกิดตากุ้งยิงเป็นไปได้น้อย หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ควรจะควบคุมโรคนั้นๆให้ดี ก็จะป้องกันการติดเชื้อได้ดี
  2. รักษาสุขอนามัยบริเวณใบหน้า ขนตา ขอบตา ด้วยการล้างมือเสมอ ดูแลใบหน้าให้สะอาด เช็ดขอบตาให้สะอาด หากใช้เครื่องสำอางบริเวณขอบตา ควรเช็ดทำความสะอาดอย่างเคร่งครัดก่อนนอนทุกครั้ง และไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น
  3. หลีกเลี่ยงสถานที่มีฝุ่นละออง ที่สกปรกอันจะทำให้มีเชื้อโรคมาสัมผัสที่บริเวณดวงตามากขึ้น หากจำเป็นควรใช้แว่นกันแดด หรือหมวก ช่วย
  4. เลิกนิสัยชอบขยี้ตา
  5. ถ้ามีประวัติเป็นกุ้งยิงบ่อยๆ ควรงดการใช้เครื่องสำอางบริเวณขอบตา หมั่นทำความสะอาดบริเวณโคนขนตา โดยใช้สำลีชุบน้ำสะอาด เช็ดขอบตาจากหัวตาไปหางตา และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น หัวข้อการวินิจฉัยกุ้งยิงนอกจากนั้น ควรต้องพบแพทย์เสมอเพื่อหาสาเหตุ

ที่มา   https://กุ้งยิง/

อัพเดทล่าสุด