โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
ในประเทศไทย พบผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าหรือที่เรียกว่าหมาว้อในปี 2549 ใกล้เคียงกับในปี 2548 ซึ่งพบทั้งหมด 20 ราย ส่วนใหญ่ถูกสุนัขวัย 3 เดือนกัด
ข้อมูลก่อนหน้านี้พบว่า ในหนึ่งปี มีคนถูกสุนัขบ้ากัดประมาณ 3 แสนราย ชั่วโมงละ 240 คน เสียชีวิตจากโรคนี้สัปดาห์ละ 1 คน เพราะไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกัน
สาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้า
เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อเรบีส์ (Rabies virus) เชื้อนี้ถูกทำลายได้ง่ายด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป
วิธีการติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้า
เชื้อไวรัสนี้จะอยู่ที่น้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ และเข้าสู่ร่างกายของคนทางบาดแผลที่เป็นรอยกัด ข่วน ถลอก แล้วเชื้อจะเดินทางไปตามเส้น ประสาทเข้าสู่สมอง ทำให้มีอาการทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ เชื้อยังเข้าสู่คนได้ทางเยื่อเมือกต่างๆ ได้แก่ เยื่อเมือกบุตา เยื่อเมือกบุจมูกและเยื่อเมือกบุช่องปาก
ระยะฟักตัวของโรค
คือระยะที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายจนถึงมีอาการ ใช้เวลาประมาณ 2-8 สัปดาห์ หรืออาจสั้นเพียง 5 วัน แต่อาจยาวนานกว่า 1 ปีก็ได้ ซึ่งระยะฟักตัวสั้นหรือยาวขึ้น กับปัจจัยหลายอย่าง คือ
- ความรุนแรงของบาดแผล
- ปริมาณของปลายประสาทที่ตำแหน่งของแผล
- ระยะทางจากแผลไปยังสมอง เช่น แผลที่ ใบหน้า ศีรษะ ลำคอ และมือ จะมีระยะฟักตัวสั้น
- จำนวนและความรุนแรงของเชื้อ เช่น ถูกกัดผ่านเสื้อผ้า จำนวนเชื้อจะลดลง หรือมีการล้างแผลทันทีหลังถูกกัดจะลดจำนวนเชื้อได้มาก
อาการของคนที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
อาการของโรคพิษสุนัขบ้าจะมีอาการนำก่อน (Prodromal symptoms) คือ อาการคัน ปวดแสบ ปวดร้อน ชา เย็น บริเวณที่ถูกกัด และมีอาการที่ไม่จำเพาะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องร่วง/ท้องเสีย อาการนำจะมีอยู่ 2-3 วัน ต่อไปจึงมีอาการเฉพาะของโรค ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- แบบเอะอะโวยวาย (Furious rabies)
- แบบเป็นอัมพาต (Paralytic rabies)
- อาการแบบเอะอะโวยวาย (Furious rabies) ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 7 วัน หลังจากมีอาการกระสับกระส่าย ตื่นเต้น เอะอะโวยวาย และจะมีอาการเฉพาะคือ กลัวน้ำ (Hydrophobia) กลัวลม (Aerophobia) กลืนลำบาก สำลักน้ำ ไม่ยอมดื่มน้ำหมดสติ เสียชีวิต
- อาการแบบอัมพาต (Paralytic rabies) จะมีอาการอ่อนแรงของแขน ขาที่ถูกสัตว์กัด จะเสียชีวิตภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากมีอาการไข้ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีการกระตุกของกล้ามเนื้อช่วยหายใจ มีการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดล้ม เหลว มีความผิดปกติของความสมดุลสารน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
แพทย์วินิจฉัยได้โดย
- จากการซักประวัติสัตว์กัด ตรวจพบบาดแผล และอาการของโรคดังกล่าว
- แพทย์จะส่งน้ำลาย หรือน้ำไขสันหลังของผู้ป่วยไปตรวจหาเชื้อไวรัสเรบีส์
แนวทางปฏิบัติเมื่อถูกสัตว์กัดและอาจมีโอกาสติดเชื้อพิษสุนัขบ้า
- ล้างและทำความสะอาดแผล ด้วยน้ำเกลือและสบู่ทันที หรือล้างแผลด้วยน้ำเกลือล้างแผล Normal saline และเช็ดแผลโดยใช้ 70% แอลกอฮอล์และน้ำยาโพวิดีนร่วมด้วย
- รีบไปพบแพทย์ฉุกเฉิน
แพทย์รักษาผู้ถูกสัตว์กัดและสงสัยอาจมีโอกาสติดเชื้อพิษสุนัขบ้า โดย
- แพทย์จะทำแผล ตามลักษณะของแผลที่ถูกสัตว์กัด หากยังไม่ได้ล้างแผล จะล้างแผลด้วย 70% แอลกอฮอล์และน้ำยาโพวิดีน โดยปกติแพทย์จะไม่เย็บแผลที่ถูกสุนัขหรือสัตว์กัด ยกเว้นบาดแผลกะรุ่งกะริ่งมาก หรือ เมื่อแผลใหญ่ จะเย็บไว้หลวมๆ
- ให้ยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก (หากยังได้วัคซีนไม่สมบูรณ์ และให้ครั้งสุดท้ายนานเกิน 10 ปีหรือ 5 ปี ดังได้กล่าวไว้แล้ว)
- พิจารณาให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ทั้งแบบการสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานชนิดแอคทิพ (Active immunization, ร่างกายจะเป็นผู้สร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรคเอง) และชนิด แพสซิฟ (Passive immunization,เป็นสารภูมิคุ้มกันต้านทานที่ผลิตขึ้นเป็นตัวยา)
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
มี 2 ชนิดคือ
- วัคซีนที่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต้านทานแบบแอคทิฟ (Active immunization) คือให้วัคซีนไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรคพิษสุนัขบ้าเอง ในปัจจุบัน ฉีด 5 เข็ม คือ วันแรก และวันที่ 3, 7, 14 และ 30 ของวันที่ถูกสุนัขหรือสัตว์กัด
- การให้ยาภูมิคุ้มกันภูมิต้านทานสำเร็จซึ่งเรียกว่า แพสซิฟ (Passive immunization) ซึ่งมีทั้งทำจากเซรุ่มคน (Human rabies immunization) หรือทำจากเซรุ่มม้า (Equine rabies immunization) ซึ่งหากใช้เซรุ่มจากม้า แพทย์จะทำการทดสอบเรื่องการแพ้เซรุ่มจากม้าก่อนให้วัคซีน เมื่อไม่แพ้จึงให้ยา โดยจะฉีดยาสารภูมิคุ้มกันต้านทานสำเร็จนี้รอบๆแผลและในแผลที่ถูกกัดให้มากที่สุด ที่เหลือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ซึ่งแพทย์จะฉีดยาสารภูมิคุ้มกันต้าน ทานสำเร็จนี้ตั้งแต่วันแรกที่ฉีดวัคซีนหรือภายใน 7 วันหลังจากฉีดวัคซีน เพราะการฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรคพิษสุนัขบ้า ต้องใช้เวลา 10-14 วัน จึงจะมีระดับภูมิต้านทาน (แอนติบอดี/Antibody) ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเพียงพอ
ความรุนแรงของโรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรครุนแรงสูงสุด ผู้ป่วยเสียชีวิตทุกราย
การป้องกันสุนัขกัด
- ให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครอง ให้ระมัดระวังเด็กในการเล่นกับสัตว์เลี้ยงไม่ควรเล่นใกล้ ชิดเกินไป
- ไม่แหย่หรือรบกวนสุนัขในขณะที่สุนัขกินอาหารหรือนอนหลับ
- ไม่เล่น แหย่ หรือทำร้ายสุนัขเพื่อความสนุกสนาน
- ไม่ซื้อสุนัขให้เด็กเลี้ยง ถ้าเด็กยังไม่โตพอที่จะดูแลสุนัขได้ ปกติถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี มักยังไม่สามารถดูแลสุนัขได้อย่างปลอดภัย
- ไม่วิ่งหรือขี่จักรยานผ่านสุนัขอย่างรวดเร็ว เพราะจะกระตุ้นให้สุนัขไล่กัด
- ไม่ควรกักขังสุนัขไว้โดยผูกเชือกหรือล่ามโซ่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้สุนัขมีนิสัยดุร้าย
- หลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้สุนัขที่มีอาการของโรคพิษสุนัขบ้า
ข้อควรรู้และควรระวังเมื่อพบสุนัข
- สุนัขอาจต้องการดมซึ่งเป็นวิธีสื่อสารของสุนัขเพื่อทำความรู้จักและจำกลิ่น ดังนั้น ก่อนเลี้ยงสุนัขอาจต้องยอมให้สุนัขเข้ามาดม
- สุนัขชอบวิ่งตามวัตถุที่เคลื่อนที่ ดังนั้นไม่ควรวิ่งผ่านสุนัข
- สุนัขวิ่งเร็วกว่ามนุษย์ จึงไม่ควรให้สุนัขวิ่งไล่
- เมื่อพบเจอสุนัขควรอยู่นิ่งๆ อย่าร้องเสียงดัง เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นให้สุนัขอยากไล่ล่าเพราะนึกว่าเป็นเหยื่อ
- อย่ากอดจูบสุนัข
- จากประสบการณ์ของผู้เขียน หากจำเป็นต้องเดินไปในที่ที่อาจมีสุนัขดุ จะถือไม้ยาวไว้ในมือ หากสุนัขวิ่งมาจะไม่วิ่งหนี จะทำท่ายกไม้ปรามไม่ให้สุนัขมามีอำนาจเหนือเรา มันจะวิ่งหนีไป แต่ต้องคอยมองอย่าให้มันกลับมาเล่นทีเผลอไว้ด้วย
จะไปพบแพทย์เมื่อไร?
เมื่อถูกสุนัข หรือสัตว์อื่นกัด หลังจากล้างแผลแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ควรเป็นฉุกเฉิน อย่านิ่งนอนใจ เพื่อแพทย์จะได้ประเมินและทำการรักษาอย่างเหมาะสมทันท่วงที และหากแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว หลังจากนั้น ถ้ารู้สึกมีความผิดปกติ เช่นปวดแผลมากขึ้น มีอาการบวมขึ้น หรือมีไข้ตัวร้อน ควรรีบกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาภาวะแทรกซ้อน
ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า คือ
- เชื่อว่าโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเฉพาะในหน้าร้อนเท่านั้น
- เชื่อว่าเมื่อถูกสุนัขกัด ต้องใช้รองเท้าตบแผล หรือใช้เกลือขี้ผึ้งบาล์มหรือใช้ยาฉุนยัดใส่แผล
- หลังถูกกัด ต้องรดน้ำมนต์จะช่วยรักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้
- เมื่อถูกสุนัขกัด การฆ่าสุนัขให้ตายแล้วนำตับสุนัขมากิน คนจะไม่ป่วยโรคนี้
- เมื่อถูกสุนัขกัด การตัดหูตัดหางสุนัข จะช่วยให้สุนัขไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
- คนท้องไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- โรคพิษสุนัขบ้าเป็นเฉพาะในสุนัขเท่านั้น
- วัคซีนพิษสุนัขบ้าฉีดรอบสะดือ 14 เข็ม หรือ 21 เข้ม ถ้าหยุดฉีดต้องเริ่มใหม่
ความเชื่อเหล่านี้ทำให้ผู้ถูกสุนัขที่มีเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้ากัด ไม่ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันทำให้มีโอกาสตายร้อยเปอร์เซ็นต์
การฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด มีความปลอดภัยสูง ฉีดเพียง 5 เข็มและไม่ต้องฉีดทุกวันดังกล่าวแล้ว
การสังเกตว่าสัตว์อาจมีอาการโรคพิษสุนัขบ้า
โดยทั่วไปแล้วสัตว์/สุนัขจะแสดงอาการของโรคได้เร็วกว่าคน คือ หลังจากรับเชื้อแล้วประมาณ 1-3 เดือน สุนัข (หรือแมว หรือ สัตว์ต่างๆ) ที่มีเชื้อนั้นจะมีอาการแสดงให้เห็นว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าอยู่ 2 แบบ คือ ชนิดดุร้ายและชนิดเซื่องซึม
- ชนิดดุร้ายโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวด
ในแมวจะแสดงอาการดุร้ายมากกว่าสุนัข จะมีอาการพองขน กางอุ้งเล็บออก มีลักษณะหวาดระแวง เตรียมพร้อมจะต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ส่งเสียงดังเป็นพักๆ มีอาการราว 2-4 วัน ก็จะเริ่มเป็นอัมพาต เคลื่อนไหวได้ช้าลง หมดสติและตายในที่สุด
ในสุนัข/สัตว์จะมีอาการผิดปกติไปจากเดิม ถ้าหากล่ามโซ่หรือเลี้ยงไว้ในกรง จะเดินไปมากระวนกระวาย งุ่นง่าน พยายามหาทางออก โดยการกัดโซ่ กัดกรงขังจนเลือดออก แต่เมื่อไม่ได้อยู่ในกรง จะวิ่งไปโดยไร้จุดหมาย กัดคน กัดสัตว์ กัดทุกชนิดที่ขวางหน้า น้ำลายฟูมปาก คางห้อย หางตก แววตาน่ากลัว หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการเป็นอัมพาตขาหลังไม่มีแรง แล้วค่อยๆ ล้มลงหมดสติ และตายภายใน 3-6 วัน หลังจากที่แสดงอาการ - ชนิดเซื่องซึม จะสังเกตได้ยาก เพราะแสดงอาการป่วยเหมือนสัตว์เป็นโรคอื่นๆ เช่น โรคหวัด สุนัขหรือแมวจะหลบไปนอนในที่เงียบๆ ไม่แสดงอาการดุร้าย จะกัดคนหรือสัตว์อื่นเมื่อถูกรบกวน หรือเมื่อผู้เลี้ยงเอาน้ำ อาหาร หรือยาไปให้ เมื่ออาการกำเริบมากขึ้นจะมีอาการเป็นอัมพาต และตายในที่สุด ส่วนมากจะตายภายใน 3-6 วัน หลังจากแสดงอาการ
การเก็บตัวอย่างส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์
ถ้าเป็นสุนัข แมว หรือสัตว์ที่สามารถกักขังไว้ได้ กักสัตว์นั้นอยู่ในบริเวณไม่ให้หนีไปได้ เพื่อเฝ้าดูอาการประมาณ 10 วัน ถ้าสัตว์แสดงอาการป่วย หรือไม่สามารถกักขังสัตว์นั้นได้ หรือเป็นสัตว์ชนิดอื่น ให้รีบทำลายสัตว์นั้นและรีบส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการทันที โดยเมื่อสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นพิษสุนัขบ้าตายลง ให้ตัดหัว (เชื้อ และลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อที่ชัดเจนช่วยวินิจฉัยโรคได้แม่นยำ จะอยู่ที่สมอง) หรือถ้าสัตว์นั้นมีขนาดเล็กให้ส่งตรวจได้ทั้งตัว ตัวอย่างที่ส่งตรวจต้อง
- ใส่ถุงพลาสติกให้มิดชิด
- ห่อด้วยกระดาษหลายๆชั้น
- และใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง ปิดปากถุงให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจาย
- จากนั้นนำใส่ภาชนะเก็บความเย็นที่บรรจุน้ำแข็ง
- ปิดฉลากชื่อ นามสกุล ที่อยู่ผู้ส่งตรวจ และวันเดือนปีที่เก็บตัวอย่างส่งตรวจให้ชัดเจน
- รีบนำส่งห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลทันที
สิ่งที่ต้องระวังคือ ผู้ที่ตัดหัวสัตว์ต้องไม่มีแผลที่มือ และต้องใส่ถุงมือยางหนา ซากสัตว์ที่เหลือให้ฝังลึกประมาณ 50 เซนติเมตร มีดที่ใช้หลังตัดหัวสัตว์และเครื่องมือที่ใช้ต้องต้มให้เดือด 30 นาที เพื่อฆ่าเชื้อ และบริเวณที่ตัดหัวสัตว์ต้องล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอก หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทันที
ที่มา https://haamor.com/th/การปฐมพยาบาล-การดูแลรักษาโรคพิษสุนัขบ้า/