กรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease)


1,192 ผู้ชม


ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :

กระเพาะอาหาร  หลอดอาหาร  ระบบทางเดินอาหาร 

อาการที่เกี่ยวข้อง :

แสบร้อนกลางอก 

บทนำ

โรคกรดไหลย้อน (Gastoesophageal reflux disease) หรือ เรียกย่อว่า โรคเกิร์ด (GERD) หรือ อาจเรียกว่า โรคกรดไหลกลับ ได้แก่โรคซึ่งกรดที่ควรมีอยู่แต่เฉพาะในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร และก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ เช่น อาการแสบร้อนกลางอก (Heartburn) ลำคอและ กล่องเสียงอักเสบ

กรดไหลย้อนเป็นโรคพบได้บ่อยทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย โดยพบได้ใกล้ เคียงกัน เป็นโรคพบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยพบอัตราเกิดสูงสุดในคนอายุ 60-70 ปีขึ้นไป มีรายงานว่าในคนอังกฤษ พบโรคนี้ได้ประมาณ 4.5 คนในประชากร 1,000 คน ส่วนในสหรัฐอเมริกา พบได้ประมาณ 5.4 คนในประชากร 1,000 คน ซึ่งคาดว่าเมื่อคนมีอายุยืนยาวมากขึ้น ก็จะพบโรคนี้ได้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

โรคกรดไหลย้อนเกิดได้อย่างไร?

ระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร จะมีกล้ามเนื้อทำหน้าที่เป็นหูรูด (Sphincter) ช่วยบีบบังคับไม่ให้อาหาร และกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร ทั้งนี้เพราะกรดจะทำลายเยื่อบุหลอดอาหาร ก่อให้เกิดอาการและโรคต่างๆตามมา เพราะเนื้อเยื่อหลอดอาหารไม่สามารถทนต่อกรดได้ ดังนั้น เมื่อเกิดภาวะที่ทำให้หูรูดนี้หย่อนยาน หรือ ปิดไม่สนิท จึงส่งผลให้กรดและอาหารที่กำลังย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลทวนย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหาร

ภาวะที่ทำให้เกิดการหย่อนยาน และ/หรือการปิดไม่สนิทของหูรูด ที่สำคัญ คือ อายุ กระเพาะอาหารบีบตัวได้น้อยลง และการมีความดันในกระเพาะอาหารสูง ขึ้น

  • อายุ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์/เนื้อเยื่อ ทุกชนิดของร่างกายจะเสื่อมลงรวมทั้งของหูรูดนี้ ดังนั้นจึงเกิดการหย่อนยาน ทำงานประสิทธิภาพลดลง อาหาร และกรดในกระเพาะอาหารจึงดันท้นย้อนกลับเข้าในหลอดอาหาร ส่วนในเด็กอ่อน เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ การทำงานจึงหย่อนยาน เด็กอ่อนจึงมีการขย้อนนม และ อาหารออกมาได้ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อเด็กโตขึ้น
  • กระเพาะอาหารบีบตัวลดลงจากสาเหตุต่างๆ เช่น จากอายุหรือ จากการอักเสบของกระเพาะอาหาร หรือของเส้นประสาทกระเพาะอาหาร หรือจากผล ข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาคลายเครียด ยาโรคกระเพาะ ยาบรรเทาปวดกล้ามเนื้อ หรือจากสารบางอย่างที่ทำให้กล้ามเนื้อหย่อนยาน เช่น สุรา ซึ่งจากการบีบตัวลดลง จึงส่งผลให้เกิดการคั่งของอาหารและกรด จึงเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหาร ดันให้หูรูดนี้เปิด อาหาร/กรดจึงไหลย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหาร
  • การมีแรงดันในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น จึงดันให้หูรูดนี้เปิด หรือ ปิดไม่สนิท อาหาร/กรดจากกระเพาะอาหาร จึงไหลท้นย้อนกลับเข้าหลอดอาหาร เช่น การกินอาหารในแต่ละมื้อในปริมาณสูง การกินแล้วนอนเลย โรคอ้วน โรคไอเรื้อรังและ ประเภทอาหารชนิดคุณสมบัติค้างอยู่ในกระเพาะอาหารได้นาน เช่น อาหารไขมัน

โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่

โรคกรดไหลย้อนมีอาการอย่างไร?

อาการพบบ่อยของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่

แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ประวัติอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคทางปอด การส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดอาหารและลำไส้ และอาจตัดชิ้นเนื้อในบริเวณผิดปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดอาหาร และอาจมีการตรวจวิธีเฉพาะ เช่น ตรวจวัดภาวะความเป็นกรดของหลอดอาหารในขณะส่องกล้อง ทั้ง นี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์

รักษาโรคกรดไหลย้อนอย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคกรดไหลย้อน ได้แก่ การรักษาประคับประคองตาอาการ เช่น การปรับพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เลิก จำกัดอาหาร เครื่องดื่มที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เลิกบุหรี่ ควบคุมน้ำหนัก การให้ยาลดกรด หรือ ยาเพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหาร และเมื่ออาการเลวลงมาก อาจต้องให้การผ่าตัดหูรูด แต่ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ เพราะการผ่าตัดไม่ได้ผลดีในผู้ป่วยทุกราย

โรคกรดไหลย้อนมีผลข้างเคียงไหม? รุนแรงไหม?

โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคไม่รุนแรง ไม่ทำให้เสียชีวิต แต่เป็นโรคเรื้อรัง ส่ง ผลถึงคุณภาพชีวิต การรักษาให้หายมักเป็นไปได้ยาก แต่การรักษาจะช่วยให้โรคสงบได้นาน และช่วยชะลอความรุนแรงของโรค

ผลข้างเคียง (ผลแทรกซ้อน) ที่พบได้จากโรคกรดไหลย้อน คือ โรคคอ และกล่องเสียงอักเสบเรื้อรัง โรคไซนัสอักเสบเรื้อรังโรคหืด และฟันผุง่าย จากช่องปากเป็นกรด และจากกรดไหลย้อนถึงช่องปาก นอกจากนั้น คือ เป็นสาเหตุให้หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเซลล์ที่อักเสบเรื้อรังเหล่านี้ อาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้น การเป็นโรคกรดไหลย้อน จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารได้

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคกรดไหลย้อน ได้แก่

  • ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • กินอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลง ไม่กินแล้วนอนเลย ต้องรออาหารย่อยผ่านกระเพาอาหารไปก่อน (ประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังกินอาหาร)
  • หลีกเลี่ยง และจำกัด ประเภทอาหาร เครื่องดื่ม ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
  • งด/เลิก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนักเมื่อมีโรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน
  • นอนในท่าเอนตัว ไม่นอนราบ
  • ไม่ก้มหยิบของเมื่อกินอาหารอิ่มๆ เพราะเพิ่มความดันต่อกระเพาะอาหาร
  • ไม่ใส่เสื้อผ้า หรือ รัดเข็มขัดจนแน่น เพราะเพิ่มความดันต่อกระเพาะอาหาร
  • ควบคุม รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
  • พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือ ผิดไปจากเดิม
  • รีบพบแพทย์ หรือ พบแพทย์ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อ

ป้องกันโรคกรดไหลย้อนได้อย่างไร?

การป้องกันโรคกรดไหลย้อน ได้แก่ หลีกเลี่ยงสาเหตุดังกล่าวแล้วที่หลีก เลี่ยงได้ ปรับพฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิต ดังกล่าวแล้ว ป้องกันโรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน รักษา ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง และปฏิบัติตนดังกล่าวแล้วในหัวข้อ การดูแลตนเอง
ที่มา   https://haamor.com/th/กรดไหลย้อน/

อัพเดทล่าสุด