ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :
ช่องคลอด ท่อนำไข่ ปากมดลูก มดลูก รังไข่ อวัยวะเพศหญิง ระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรีอาการที่เกี่ยวข้อง :
อวัยวะในระบบสืบพันธุ์ภายในของสตรีมีอะไรบ้าง?
อวัยวะซึ่งอยู่ในระบบนี้ ได้แก่
- ช่องคลอด (Vagina)
- คอมดลูก (บางตำราเรียกว่าปากมดลูก) (Uterine cervix)
- ตัวมดลูก (Uterine corpus)
- ท่อนำไข่หรือท่อรังไข่หรือปีกมดลูก (Fallopian tube) มีสองข้าง ซ้ายและขวา
- รังไข่ (Ovary) มีสองข้าง ซ้ายและขวา
กายวิภาคของอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรีเป็นอย่างไร?
กายวิภาคของแต่ละอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ภายในของสตรี คือ
ช่องคลอด (Vagina)
ช่องคลอด (Vagina) เป็นอวัยวะที่ต่อเนื่องมาจากบริเวณแคมเล็ก/ Labia minora (อ่านเพิ่มเติมใน กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะเพศภายนอกสตรี) ลักษณะเป็นช่องที่มีความยาวมากกว่าความกว้าง โดยมีความยาวประมาณ 6 นิ้วและกว้างประมาณ 2 นิ้ว ลักษณะเป็นเยื่อบุผิวที่เป็นเยื่อเมือก (Mucous membrane) ที่มีเซลล์ชนิดรูปร่างแบนเป็นแผ่น (Squamous cell) เป็นเยื่อบุผิวของช่องคลอด ใต้ชั้นเยื่อบุนี้เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ประกอบด้วยเส้นใยของกล้ามเนื้อเรียบ (Smooth muscle) คอลลาเจน (Collagen fiber) และเส้นใยอีลาสติค (Elastic fiber)ที่ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของช่องคลอด ภายในเยื่อบุนี้จะมีต่อมสร้างมูก (Mucous gland) อยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนปลายสุดของช่องคลอดจะต่อกับคอมดลูก/ปากมดลูก (Uterine cervix) โดยตรงรอยต่อนี้จะมีลักษณะเป็นร่องล้อมรอบส่วนนอกของคอ/ ปากมดลูกซึ่งยื่นโผล่ออกมาเล็กน้อย เรียกร่องนี้ว่า Fornix
ผนังของช่องคลอดส่วนด้านหน้าที่อยู่ลึกประมาณ 2-3 นิ้วจากปากช่องคลอด จะเป็นบริเวณที่มีความหนามากกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย และมีเส้นประสาทสัมผัสมาเลี้ยงเป็นจำนวนมากเรียกว่า จีสปอท (G-spot) ซึ่งหน้าที่ที่ชัดเจนยังไม่ทราบ แต่เชื่อว่าน่าจะสัมพันธ์กับการรับความรู้สึกทางเพศ
ในวัยเด็กและในสตรีที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์บางคน อาจจะมีแผ่นเนื้อเยื่อบางๆเป็นแผ่นยื่นออกมาจากบริเวณกลางๆของผนังช่องคลอดและมีรูตรงกลางเรียกว่าเยื่อพรมจารี (Hymen) แต่บางคนก็อาจไม่มีเยื่อพรมจารี ก็ได้
คอมดลูก/ปากมดลูก (Uterine cervix)
คอมดลูก/ปากมดลูก (Uterine cervix) เป็นส่วนหนึ่งของตัวมดลูก (Uterus) ที่ยื่นเข้ามาในช่องคลอด ส่วนมดลูกที่ต่อกับคอมดลูก จะมีลักษณะเป็นรอยคอดมากกว่าส่วนอื่นๆของมดลูก
คอมดลูกจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนนอกจะมีผิวเรียบสีขาวปนชมพู บุด้วยเซลล์ชนิดแบนเป็นแผ่น ( Squamous) เรียกว่า Ectocervix ส่วนในจะเป็นรูอยู่ตรงกลาง บุด้วยเนื้อเยื่อสีแดงปนชมพูคล้ายกำมะหยี่ คลุมด้วยเซลล์รูปร่างเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Columnar cell) ซึ่งเรียกส่วนนี้ว่า Endocervix
บริเวณที่เป็นรอยต่อระหว่าง Ectocervix และ Endocervix เรียกว่า Transition zone ซึ่งเป็นบริเวณที่มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก
โดยทั่วไป ถ้าเราดูคอ/ปากมดลูก จากทางปากช่องคลอดแบบที่แพทย์เห็นเวลาตรวจภายใน จะเห็น คอ/ปากมดลูกภายนอกเป็นรูปกลมสีขาวปนชมพู ผิวเรียบ และมีรู Endocervix สีแดงเข้มกว่าอยู่ตรงกลาง รูนี้จะเป็นทางผ่านของเลือดประจำเดือนจากโพรงมดลูกด้านใน ออกมายังช่องคลอด
ตัวมดลูก (Uterine corpus)
ตัวมดลูก (Uterine corpus) เป็นส่วนของมดลูก ซึ่งอยู่เหนือคอ/ปากมดลูกขึ้นไป รูปร่างเป็นรูปไข่ ขนาดปกติยาว 4 -5 เซนติเมตร (ซม.) กว้างประมาณประมาณ 3 ซม. และหนาประมาณ 2 ซม. คลำดูจะมีลักษณะแข็งมากกว่าคอมดลูก มีส่วนประกอบเป็นกล้ามเนื้อเรียบ (Smooth muscle) เรียงตัวเป็นมัดขนาดเล็กๆ (Fascicles) จำนวนมากสานกันไปมาอยู่ในผนังหนาประมาณ 2-3 ซม.
เมื่อไม่ได้ตั้งครรภ์ ตรงกลางของตัวมดลูก จะเป็นโพรงแคบๆยาวๆซึ่งโพรงนี้จะมีเยื่อบุด้านใน เรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูก/เยื่อบุมดลูก (Endometrium) ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ชนิดรูปแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Columnar cells) เรียงตัวกันเป็นรูปร่างของต่อม(Gland) และของท่อ (Tubule) จำนวนมาก
โพรงมดลูกนี้ จะไปต่อเนื่องกับรูของ Endocervix ของคอ/ปากมดลูก และเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ จะมีความหนาบางเปลี่ยนแปลงไปในระยะต่างๆของรอบประจำเดือน และจะกลายเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของประจำเดือน (Menstrual blood) ออกมาทุกเดือน โดยกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ในผนังมดลูก สามารถหดตัวและคลายตัวได้โดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น จะมีการบีบรัดตัวในเวลาที่ต้องการให้เลือดประจำเดือนหยุดไหล เป็นต้น
ท่อรังไข่ หรือ ท่อนำไข่ หรือ ปีกมดลูก (Fallopian tube)
ท่อรังไข่ หรือ ท่อนำไข่ หรือ ปีกมดลูก (Fallopian tube) มี 2 ข้างซ้ายและขวา รูปร่างเป็นท่อยาวประมาณ 6 – 8 ซม. และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.6 – 0.8 ซม.
ท่อรังไข่นี้ ติดอยู่กับตัวมดลูกส่วนบนทั้งสองข้าง ส่วนปลายสุดจะบานออกเป็นรูปร่างคล้ายดอกไม้บาน เรียกว่า Fimbria โดยมีหน้าที่ช่วยโบกพยุงให้ไข่เคลื่อนเข้าสู่ท่อรังไข่ ไม่ตกไปอยู่ในช่องท้อง
ตรงกลางของท่อรังไข่ เป็นรูยาวต่อมาจากโพรงมดลูก ใช้เป็นทางผ่านของไข่ (Ovum) ที่ตกออกมาจากรังไข่ (Ovary) และเป็นทางผ่านของไข่ที่ผสมกับตัวอสุจิ (Spermatozoa) ของเพศชายแล้วเคลื่อนที่ไปสู่โพรงมดลูกเพื่อฝังตัวเวลาตั้งครรภ์
ผนังของท่อรังไข่นี้ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ชนิด คอลลาเจน (Collagen) และเซลล์ของกล้ามเนื้อเรียบหลายชั้น แต่ไม่หนามากเหมือนผนังตัวมดลูก สามารถบีบรัดตัวได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ไข่เคลื่อนที่ไปสู่โพรงมดลูกได้ เซลล์ที่บุผนังภายในของท่อนำไข่ จะเป็นเซลล์รูปร่างเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Columnar cell) แต่มีลักษณะพิเศษคือ จะมีส่วนคล้ายขนเรียกว่า Cilia อยู่บริเวณผิวที่ติดกับรูท่อ เพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ของไข่ให้ไปสู่โพรงมดลูกได้เร็วขึ้น
ในภาวะการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติบางชนิด ตัวอ่อนที่เกิดจากการผสมระหว่างไข่และตัวอสุจิจะมาฝังตัวในผนังของท่อนำไข่ เรียกว่า การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic tubal pregnancy) หรือ ท้องนอกมดลูก
รังไข่ (Ovary)
รังไข่ (Ovary) เป็นอวัยวะรูปร่างเป็นรูปไข่แต่ค่อนข้างแบน อยู่ติดกับท่อนำไข่ โดยมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันพวกคอลลาเจนเป็นตัวยึดระหว่างท่อรังไข่และรังไข่
ขนาดปกติของรังไข่แต่ละข้างยาวประมาณ 3 – 4 ซม. กว้างประมาณ 1.8 – 2.5 ซม. และหนาประมาณ 1 – 1.3 ซม.
รังไข่เป็นอวัยวะที่ไม่มีรูตรงกลาง ผิวนอกจะมีสีขาวปนเหลือง และมีลักษณะเป็นรอยย่นเล็กๆกระจายอยู่ทั่วไป ถ้าฝานหน้าตัดรังไข่ดู จะพบเนื้อเยื่อสีน้ำตาลปนแดง เนื่องจากมีหลอดเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก โดยในระยะวัยเจริญพันธุ์จะพบถุงน้ำผนังบางขนาดเล็กๆ (Cystic follicles) เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 ซม.เกิดจากการสะสมของ ของเหลวใสในเซลล์ที่อยู่รอบไข่ (Granulosa และ theca cells) ถุงน้ำนี้มักจะมีหลายถุงแต่จะหายไปเมื่อเข้าสู่ วัยหมดประจำเดือน (Menopause)
นอกจากนั้นจะพบเนื้อเยื้อลักษณะเป็นสีเหลืองสดขนาดประมาณ 1 – 1.5 ซม. เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่อยู่รอบไข่ (Granulosa และ theca cells) หลังจากที่ไข่ฟองนั้นได้ตกไปแล้ว เนื้อเยื่อที่อยู่รอบไข่เหล่านี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีสีเหลืองเพราะมีสารพวกไขมันอยู่ในเซลล์มาก ซึ่งเนื้อเยื่อสีเหลืองนี้เรียกว่า Corpus luteum ซึ่งเนื้อเยื่อนี้มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง
หน้าที่ของอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรีคืออะไร?
แต่ละอวัยวะสืบพันธ์ภายในของสตรีมีหน้าที่ดังนี้ คือ
-
ช่องคลอด
มีหน้าที่ดังนี้คือ- เป็นอวัยวะที่ใช้ในการร่วมเพศ โดยเพศชายจะสอดใส่อวัยวะเพศชาย/องคชาต (Penis) เข้าไปในช่องคลอดเวลาร่วมเพศ
- สร้างมูก (Mucus) หลั่งออกมาจากต่อมสร้างมูกเพื่อให้ช่องคลอดชุ่มชื้นไม่แห้งและมีปริมาณมากขึ้นในระหว่างการร่วมเพศ
- เป็นทางออกของเลือดประจำเดือน
- เป็นทางออกของทารกเวลาคลอด
- เป็นที่อยู่ของแบคทีเรียปกติของช่องคลอดชื่อว่า Doderlein bacillus ซึ่งทำหน้าที่ในการปรับความเป็นกรด-ด่างของช่องคลอดโดยไม่ทำให้เกิดโรคเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะปกติ
-
คอมดลูก/ปากมดลูก
มีหน้าที่ดังนี้คือ- สร้างมูกออกจากต่อมของ Endocervix เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและหล่อลื่นให้กับคอมดลูก
- ป้องกันการกระทบกระแทกเวลาร่วมเพศโดย Ectocervix เป็นเยื่อบุชนิดรูปร่างเป็นแผ่นแบน (Squamous cell) ซึ่งมีความทนทานมากกว่าเซลล์รูปร่างเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Columnar) ของ Endocervix
- ช่วยพยุงทารกในขณะตั้งครรภ์ ลดโอกาสเกิดการแท้งบุตร
- สามารถขยายตัวได้มาก เพื่อเป็นทางผ่านของทารกเวลาคลอด
-
ตัวมดลูก
(Uterine corpus) มีหน้าที่ดังนี้คือ- เป็นที่ฝังตัวของรกและเป็นที่อยู่ของเด็กทารกตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์โดยเด็กทารกจะอยู่ในโพรงมดลูก หุ้มด้วยถุงน้ำคร่ำ
- เป็นที่เกิดของเลือดประจำเดือนซึ่งประกอบด้วยเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) ที่สลายตัวแล้ว รวมกับเลือดที่ออกมาจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงเยื่อบุมดลูก ไหลออกไปทางคอ/ปากมดลูก และทางช่องคลอด
- ทำหน้าที่หยุดเลือดประจำเดือน โดยการบีบรัดตัวของผนังมดลูกซึ่งเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ทำให้เกิดการกดบีบปิดโพรงมดลูก ทำให้เลือดประจำเดือนหยุดได้
-
ท่อนำไข่
มีหน้าที่ดังนี้คือ- เป็นทางผ่านของไข่ที่ตกออกมาจากรังไข่ หรือเป็นทางผ่านของไข่ที่ผสมกับอสุจิแล้วเพื่อผ่านไปฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก (ในตัวมดลูก)
- การบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบในผนังของท่อรังไข่และเซลล์ที่มีขน (Cilia) ที่อยู่บนผิวของเซลล์บุท่อนำไข่ จะช่วยให้การเคลื่อนที่ของไข่หรือไข่ที่ผสมแล้วไปสู่โพรงมดลูกได้เร็วขึ้น
-
รังไข่
มีหน้าที่ดังนี้คือ- เป็นที่เกิดของไข่ (Ovum) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์ของเพศหญิง รูปร่างเซลล์เป็นรูปกลมมีโครโมโซม 23 ชิ้น ร่วมกับมีโครโมโซมเพศหญิง (Chromosome X) 1 ชิ้น
- ทำหน้าที่ตกไข่อย่างน้อย 1 เซลล์ (หรือ 1 ฟอง) ในหนึ่งรอบเดือนในระยะวัยเจริญพันธุ์เพื่อพร้อมสำหรับการผสมกับอสุจิ
- สร้างฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) จากเซลล์หลักคือ Granulosa cell และ จากTheca cell (เป็นส่วนน้อย) เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและเริ่มมีการตกไข่ ทำให้เกิดลักษณะภายนอกของเพศหญิง เช่น การเกิดเต้านม ขนอวัยวะเพศ ไขมันใต้ผิวหนังบริเวณสะโพกและต้นขา และการเริ่มมีประจำเดือน เป็นต้น
- สร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนหรือโปรเจสติน (Progesterone, Progestin) ทำหน้าที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อให้พร้อมรับการฝังตัวของรกเวลาตั้งครรภ์ หรือกลายเป็นเลือดประจำเดือนถ้าไม่เกิดการตั้งครรภ์ นอกจากนั้นยังเตรียมต่อมน้ำนมที่เต้านมให้พร้อมสร้างน้ำนมอีกด้วย เซลล์หลักที่สร้างฮอร์โมนนี้คือ Theca cell ซึ่งอยู่รอบๆไข่ด้านนอกถัดออกมาจาก Granulosa cell โดยเฉพาะหลังจากที่ไข่ตกไปแล้วและ Granulosa-theca cells ได้เปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อสีเหลือง (Corpus luteum)
อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรีมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กถึงผู้ใหญ่อย่างไร?
อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรี มีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กถึงผู้ใหญ่ ดังนี้คือ
- ช่องคลอด ในวัยเด็กและวัยเจริญพันธุ์จะชุ่มชื้นและมีสารพวกมูกมาก แต่ในวัยหมดประจำเดือนจะแห้งและเซลล์ที่บุผนัง (Squamous epithelial cells) จะบางลงทำให้เกิดแผลและการอักเสบได้ง่าย
- คอมดลูก/ปากมดลูก ในวัยหมดประจำเดือนจะมีขนาดเล็กลงและไม่มีมูกมากเหมือนปกติ
- ตัวมดลูก จะมีขนาดเล็กลงมากในวัยหมดประจำเดือนเนื่องจากผนังกล้ามเนื้อเรียบมีการหดตัวฝ่อเล็กลง และเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะบางลงมาก และการมีประจำเดือนจะหมดไป
- ท่อรังไข่ โดยมากจะมีขนาดเล็กลงบ้างในวัยหมดประจำเดือน
- รังไข่ จะมีขนาดเล็กลงในวัยหมดประจำเดือน โดยภายในจะไม่มีเซลล์ไข่ (Ovum) อีกต่อไป Cystic follicles และ Corpus luteum จะหายไปเพราะไม่มีการตกไข่ เนื้อรังไข่จะถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อพังผืดชนิดคอลลาเจน
อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรีมีผลจากอวัยวะอื่นในการทำงานอย่างไร?
ผลจากอวัยวะอื่นๆ ที่ส่งผลมากที่สุดต่ออวัยวะสืบพันธ์ภายในของสตรี คือ ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ที่กระตุ้นให้เกิดการทำงานของรังไข่ กระตุ้น Granulosa cell ให้สร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ได้แก่ ฮอร์โมน FSH (Follicular stimulating hormone) และสร้างฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการตกไข่ และการเกิด Corpus luteum ที่เรียกว่า ฮอร์โมน LH (Luteinizing hormone) เป็นต้น
ที่มา https://haamor.com/th/วัยวะเพศภายในสตรี/