ระยะหลังคลอดหมายถึงอะไร?
ระยะหลังคลอด (Postpartum period) หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่หลังคลอดทารกและรกเสร็จสิ้น ไปจนถึงระยะ 6 สัปดาห์หลังคลอด (ใช้เกณฑ์เดียวกันทั้งการคลอดปกติทางช่องคลอดและการผ่าท้องคลอด) ซึ่งในช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสรีระและฮอร์โมนของสตรีหลังคลอดเพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติ
ระยะหลังคลอดปกติและการเปลี่ยนแปลงของมารดาระยะหลังคลอดมีอะไรบ้าง?
หลังการคลอดเสร็จสิ้น หากทารกแข็งแรงปกติดี เจ้าหน้าที่จะนำทารกมาดูดนมแม่ทันทีหลังจากเช็ดตัวทารกให้แห้งแล้ว เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ ความรัก และความผูกพันระหว่างแม่-ลูก
อาการหรือความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่พบในสตรีหลังคลอดปกติ ได้แก่
- เต้านมคัดตึง และจะมีน้ำนม ชนิดที่เรียกว่า นมน้ำเหลือง (Colostrum,นมที่ผลิตในระยะ แรก อาจก่อนคลอดเล็กน้อยและจนถึงหลังคลอดประมาณ 2-3 วัน นมนี้จะมีสารภูมิต้าน ทานคุ้มกันโรคจากมารดารวมทั้งมีโปรตีนสูง แต่มีไขมันต่ำ) อาจหลังคลอด 1-2 วัน (ซึ่งบางคนจะเร็วกว่านี้)
สตรีหลังคลอดจะเริ่มมีอาการเต้านมคัดตึง รู้สึกปวดเต้านม หากลองบีบที่หัวนม จะพบน้ำเหลืองๆที่เรียกว่า นมน้ำเหลือง ซึ่งมีประโยชน์มาก มีสารอาหารที่สมบูรณ์ หลัง จากนั้นร่างกายจะมีการสร้างน้ำนมมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทารกดูดนมมากเท่าใด การสร้างน้ำ นมก็ยิ่งมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากไม่มีการดูดนมของทารก ฮอร์โมนการสร้างน้ำนมจะลดลงทำให้มีน้ำนมน้อยลง
ในช่วงแรกหลังคลอดใหม่ๆ น้ำนมอาจมาน้อยซึ่งทำให้มารดาหลังคลอดเกิดความ เครียด วิตก กังวล เกรงลูกจะดูดนมไม่อิ่ม จึงรีบให้นมผสม หรือนมขวดแทน ทำให้เด็กอิ่มแล้วไม่ยอมดูดนมแม่ ซึ่งจะเป็นผลเสียระยะยาว เพราะร่างกายจะลดการผลิตน้ำนมลง
- น้ำคาวปลา (Lochia,เลือดและของเหลว) เป็นสิ่งคัดหลั่งที่ไหลออกมาจากโพรงมดลูกหลังกระบวนการคลอดทุกอย่างเสร็จสิ้น น้ำคาวปลา/เลือด ของเหลวในโพรงมดลูกจะถูกขับออกมาทางช่องคลอด ซึ่งระยะ 3 วันแรกหลังคลอด น้ำคาวปลาจะมีสีแดง (Lochia rubra) ระยะ 4-10 วันหลังคลอด สีของน้ำคาวปลาจะเป็นสีแดงจางลง เรียกว่า Lochia serosa หลังจากนั้น น้ำคาวปลาจะเป็นสีขาว (Lochia alba) ซึ่งอาจจะมีอยู่นานถึง 4-6 สัปดาห์
- มดลูกหดรัดตัว มดลูกเป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์ สามารถขยายตัวได้อย่างมากจนสามารถเป็นที่อยู่ของทารกได้ และเมื่อคลอดทารกออกไปแล้วก็หดรัดตัวเล็กลงเรื่อยๆ ทั้งนี้ หลังคลอดประมาณ 2 สัปดาห์ จะคลำไม่พบมดลูกทางหน้าท้องแล้ว และ มดลูกจะหดตัวจนเท่าขนาดปกติก่อน ตั้งครรภ์ภายใน 4 สัปดาห์
- อาการปวดท้องน้อย อาการจะไม่มากนัก พอทนได้ โดยทั่วไปเกิดจากการหดรัดตัวของมดลูก โดยเฉพาะขณะให้ลูกดูดนมแม่ จะมีฮอร์โมน Oxytocin (ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ที่ช่วยให้มีการหดรัดตัวของมดลูก) หลั่งออกมามากขึ้น ทำให้มดลูกหดรัดตัวมากขึ้น
- แผลฝีเย็บ สตรีที่มาคลอดส่วนใหญ่จะได้รับการตัดฝีเย็บ (ถ้าไม่ได้ถูกตัดฝีเย็บ ถือว่าโชคดี จะได้ไม่ต้องเย็บแผล ไม่ปวดแผล) ส่วนมากแผลจะได้รับการเย็บด้วยไหมละลาย ไม่ต้องกลับไปตัดไหม โดยปกติแผลอาจมีอาการปวดเล็กน้อย รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเชตามอล (Paracetamol) ก็บรรเทาปวดได้ สำหรับโรงพยาบาลบางแห่ง เย็บแผลด้วยไหมที่ไม่ละลาย จะมีการนัดผู้คลอดไปตัดไหมประมาณวันที่ 7 หลังคลอด
- ปัสสาวะออกมาก เนื่องจากขณะตั้งครรภ์ร่างกายมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณเลือด หลังคลอดจึงทำเลือดไหลกลับสู่ระบบไหลเวียนโลหิตมากขึ้น ทำให้เลือดไปที่ไตมากขึ้น ไตจึงกรองน้ำออกจากเลือดมากขึ้น สตรีหลังคลอดจึงมีปัสสาวะออกมากได้
- น้ำหนักตัว หลังคลอดจะลดลงทันที 5-6 กิโลกรัม ต่อไปลดประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อเดือน
- ด้านอารมณ์หลังคลอด ในสตรีที่ไม่มีปัญหาทางครอบครัว มีความต้องการมีบุตร มักจะมีความสุข สมหวัง ที่มีลูกมาให้เลี้ยงดู มีญาติพี่น้องมาดูแลเอาใจใส่ แต่ในคนที่มีปัญหาครอบครัว อาจเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ (Postpartum blue) ทั้งนี้อาจเนื่องจากความเจ็บปวดระหว่างการคลอด ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ลูกร้องกวน ไม่มีเวลาพัก ผ่อนความกังวลในการเลี้ยงลูก อาการเหล่านี้พบบ่อยในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด หากอาการไม่มาก และ/หรือถ้าสามารถปรับตัวได้ อารมณ์ก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม หากมีอาการมากจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรกลับไปพบสูติแพทย์ก่อนนัด
ภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดมีอะไรบ้าง?
ภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงจากการคลอดในมารดาหลังคลอดที่อาจพบได้ คือ
- ตกเลือดหลังคลอด หลังคลอดปกติจะมีเลือดออกประมาณ 100-200 มิลลิลิตร หากมีการเสียเลือดเกิน 500 มิลลิลิตร แสดงว่ามีภาวะตกเลือดหลังคลอด แบ่งเป็น
-
การตกเลือดหลังคลอดภายใน 24 ชั่วโมง หรือการตกเลือดเฉียบพลัน สาเหตุมักเกิดจาก
- มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
- มีเศษรกค้างในโพรงมดลูก
- มีการฉีกขาดของช่องทางที่ทารกคลอด
- หรือเกิดจากระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
ซึ่งแพทย์ต้องให้การรักษาอย่างทันท่วงที เพราะสามารถเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ส่วนการตกเลือดหลัง 24 ชั่วโมงหลังคลอดไปแล้ว สาเหตุมักเกิดจาก
- มีการติดเชื้อในโพรงมดลูก
- มีเศษรก
- หรือเศษเยื่อหุ้มทารกค้างอยู่
เลือดที่ออกตอนนี้มักไม่ออกมากเหมือนการตกเลือดแบบเฉียบพลัน ซึ่งสำหรับการรักษา แพทย์พิจารณาให้รับประทานยาปฏิชีวนะ ร่วมกับพิจารณาขูดมดลูกหากพบว่ามีเศษรก/เศษเยื่อหุ้มทารกค้างอยู่
- แผลหน้าท้องจากการผ่าตัดคลอด เกิดอักเสบ บวม แดง ปวด มากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งมีหนองไหลออกจากแผล อาจมีไข้สูงได้
- มดลูกอักเสบ น้ำคาวปลาจะมีสีแดงไหลอยู่นาน อาจมีกลิ่นเหม็น มีอาการปวดท้องน้อย กดเจ็บบริเวณท้องน้อย มักพบร่วมกับการไม่เข้าอู่ของมดลูก คือ มดลูกยังมีขนาดใหญ่อยู่ทั้งๆที่ควรจะมีขนาดเล็กเป็นปกติแล้ว
- เต้านมอักเสบ หรือเต้านมเป็นฝี มักเกิดจากให้ลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ผิวหนังที่เต้านมจะบวมแดง คัดตึง หากเป็นมากจะกลายเป็นฝี/หนอง มีอาการปวดมาก หากเป็นฝีอาจคลำได้เป็นก้อนแข็งและตรงกลางนุ่มๆ
- หลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน (Deep vein thrombosis) โดยมีโอกาสพบบ่อยกว่าในสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ เนื่องจากช่วงตั้งครรภ์ เลือดจะข้นมากขึ้น หากมีการ นั่ง นอน นานๆ โดยไม่เคลื่อนไหวจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี มีโอกาสเกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดได้ จะทำให้มีอาการขาบวม ปวดขามากผิดปกติ อาจมีไข้ร่วมด้วยได้
- ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression) สตรีหลังคลอดบางคนจะมีอาการซึมเศร้ามากผิดปกติ ไม่สนใจลูก เบื่อหน่าย ท้อแท้ ไม่อยากเลี้ยงลูก อาการมักจะเกิดประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังคลอด เมื่อผู้คลอดกลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้ว กลับไปอยู่กับสภาพชีวิตจริง บางคนเป็นมากจนถึงขั้นมีปัญหาทางจิตเวช (Postpartum psychosis) ซึ่งทั้งสองภาวะนี้ต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์
อนึ่ง เมื่อเกิดอาการ/ภาวะแทรกซ้อนต่างๆดังกล่าว ควรต้องรีบกลับไปโรงพยา บาลที่ทำคลอด หรือ ถ้าคลอดเองที่บ้าน ก็ควรต้องรีบไปโรงพยาบาลเช่นกัน ไม่ควรรอดูแลตน เอง เพราะภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวอาจรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลให้การรักษายุ่งยากซับซ้อนขึ้นได้
การปฏิบัติตัวและการดูแลตนเองระยะหลังคลอดควรทำอย่างไร?
การปฏิบัติตัวและการดูแลตนเองในระยะหลังคลอด คือ
- อาหารและเครื่องดื่ม
ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วน ได้แก่ รับประทานปลา เนื้อ ไข่ นม ผักสด ผลไม้ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงหลังจากการตั้งครรภ์ที่ยาวนานและการคลอดที่ต้องเสียเลือดไปมาก เพราะอาหารที่ดีจะส่งผลถึงคุณภาพของน้ำนมที่ใช้สำหรับเลี้ยงบุตร แนะนำให้รับ ประทานอาหารทะเลเพื่อให้น้ำนมแม่มีแร่ธาตุไอโอดีน เพื่อเพิ่มไอคิว/เชาวน์ปัญญาให้แก่ลูก นอกจากนั้นต้องรับประทานผักและผลไม้ให้มากเพื่อป้องกันภาวะท้องผูก ดื่มน้ำมากๆ ไม่ควรมีความเชื่อผิดๆว่า ห้ามกินไข่ หรือกินอาหารกับเกลือได้อย่างเดียว
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารปรุงไม่สุก อาหารรสจัดมากเกินไป อาหารหมักดอง ควรต้องงดดื่มเหล้า หรือน้ำอัดลมต่างๆ แต่ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
- การพักผ่อน
ควรพักผ่อนให้มาก เพื่อให้สุขภาพดี เนื่องจากการให้นมบุตรอาจทำให้ พักผ่อนไม่พอ ควรหาเวลาพักผ่อนเมื่อมีโอกาส หรือ นอนกลางวัน
- การออกกำลังกายและการฝึกขมิบช่องคลอด
ช่วงหลังคลอดระยะแรก อาจออกกำลังกายเบาๆก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้น ทำงานบ้านเบาๆ หลีกเลี่ยงการยกของหนักๆ
เมื่อแผลที่ช่องคลอดหายดี สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติม คือ ควรฝึกการขมิบช่องคลอดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อพยุงช่องเชิงกราน การฝึกขมิบกล้ามเนื้อช่องคลอดเป็นประจำ จะช่วยลดโอกาสการเกิดการหย่อนของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน (ขมิบคล้ายเมื่อกลั้นปัสสาวะ แล้วค่อยๆคลายออก ทำสม่ำเสมอ บ่อยๆ) ลดโอกาสเกิดปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะลาดในอนาคต
- การดูแลแผลฝีเย็บ
ดูแลรักษาแผลฝีเย็บด้วยการอาบน้ำ ทำความสะอาดอวัยวะเพศตามปกติและซับให้แห้ง หรืออาจใช้วิธีนั่งแช่น้ำอุ่นครั้งละ 15 นาที วันละประมาณ 2 ครั้ง จากนั้นซับแผลให้แห้ง หรือใช้การประคบอุ่นที่แผลแทนการนั่งแช่น้ำอุ่นก็ได้ ไม่ต้องใช้ยาใส่แผลโดยทั่วไปแผลฝีเย็บจะติดดีภายใน 7 วัน และแผลจะหายสนิท 2-3 สัปดาห์ หลังคลอด
ควรใส่ผ้าอนามัยเพื่อซึมซับน้ำคาวปลาและควรเปลี่ยนบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมม
ควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในสระน้ำขณะยังมีน้ำคาวปลาไหล เพราะปากมดลูกจะเปิด จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อในโพรงมดลูกได้
- การอยู่ไฟ
หากจะอยู่ไฟ หรือกระโจมความร้อน ควรอยู่ไฟอ่อนๆ และห้ามนำลูกเข้าอยู่ไปด้วย ระ หว่างการอยู่ไฟ จะทำให้สูญเสียเหงื่อมาก อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ จึงควรดื่มน้ำมากๆ
- การรับประทานยา
หลังคลอดแพทย์จะให้ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) และให้ยาบำรุงเลือดกลับไปรับประทานที่บ้าน ซึ่งควรรับประทานยาบำรุงเลือดให้หมด เพราะสตรีมีการสูญเสียเลือดมากขณะคลอด ส่วนยาอื่นๆนอกเหนือจากที่แพทย์แนะนำ ไม่ควรรับประทาน เพราะยาสามารถผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูกได้ ซึ่งยาบางชนิดมีผลต่อลูกได้ หากจำเป็นต้องใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
- การให้นมบุตร
ควรเลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมมารดาอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน ไม่ควรให้น้ำร่วมด้วย เพราะจะทำให้เด็กอิ่มเร็ว ไม่ค่อยดูดนม ไม่ควรเลี้ยงด้วยนมแม่สลับกับนมขวดเพราะจะทำให้เด็กติดหัวนมยาง ดูดนมจากขวดง่ายกว่าดูดนมจากเต้าของแม่ ต้องกระตุ้นให้ลูกดูดนมบ่อยๆทุก 2 ชั่ว โมง สลับข้างกัน ให้ลูกดูดให้ถูกวิธีโดยให้ดูดให้มิดลานนม น้ำนมจะมีการสร้างมากขึ้นเรื่อยๆ หากลูกกินไม่หมดสามารถบีบเก็บไว้ในตู้เย็นได้ ช่วงที่ลูกดูดนมอาจรู้สึกปวดมดลูกได้เพราะการดูดของลูกจะกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมน Oxytocin ฮอร์โมนที่ทำให้มดลูกหดรัดตัว
นอกจากนี้ แม่ควรมีการดูแลรักษาความสะอาดของเต้านม หัวนม ทั้งก่อนและหลังลูกดูดนมเสร็จ (เช็ดด้วยน้ำสะอาด และซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด) ลูกที่ดื่มนมแม่จะมีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคสูง
- การมีเพศสัมพันธ์
ควรงดมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด (หรือจนกว่าจะหมดน้ำคาวปลา) เพราะช่วงหลังคลอดยังมีน้ำคาวปลาไหลอยู่ จึงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อในช่องคลอดและในโพรงมดลูกมากกว่าปกติ และเพื่อเป็นการรักษาแผลที่ฝีเย็บด้วย หากจำเป็นจริงๆควรใช้ถุงยางอนามัยด้วย
ในสตรีหลังคลอดที่เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมมารดาอย่างเดียว ประจำเดือนจะมาช้าถือเป็นการคุมกำเนิดไปในตัว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ไม่มีการตกไข่ แต่สตรีที่ไม่ ได้เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมมารดาอย่างเดียว ประจำเดือนจะกลับมาค่อนข้างเร็ว มีการตกไข่เร็วขึ้น อาจเกิดขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้นจึงต้องมีการคุมกำเนิดหลังคลอดได้ประมาณ 6 สัปดาห์ขึ้นไป หรือหากมีเพศสัมพันธ์ก่อนมาตรวจหลังคลอด ควรใช้ถุงยางอนามัยเสมอ
- การตรวจหลังคลอด
สตรีหลังคลอดควรให้ความสำคัญกับการมาตรวจหลังคลอด โดยทั่วไปแพทย์จะนัดมาตรวจสุขภาพ 6 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจแผลฝีเย็บ (แผลผ่าตัดหน้าท้อง หากผ่าท้องคลอด) ตรวจภายใน และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้ด้วย นอกจากนั้น แพทย์ พยาบาล จะได้ใช้โอกาสนี้ ให้คำแนะนำวิธีการคุมกำเนิดต่างๆอีกด้วย แม้ว่าสตรีหลังคลอดยังไม่มีประจำเดือนมา ก็ควรคุมกำเนิดไปเลย ซึ่งวิธีคุมกำเนิดจะมีหลากหลายวิธีมาก โดยแต่ละวิธีจะมีข้อเด่น ข้อด้อย แตกต่างกันออกไป ซึ่งได้กล่าวรายละเอียดอยู่ในบทความเรื่อง “การคุมกำ เนิด”
ในกรณีที่ผ่าท้องคลอด
การดูแลตนเองกรณีผ่าท้องคลอด จะเหมือนสตรีที่คลอดทางช่องคลอด แต่จะมีแผลที่หน้าท้องแทนแผลที่ช่องคลอด แผลจะยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตรที่ต้องดูแลเพิ่มขึ้น หากแพทย์เย็บแผลด้วยไหมละลาย หลัง 7 วัน สามารถเปิดแผลได้เลย ถ้าแผลไม่บวมแดง ก็ไม่น่า จะมีปัญหา หากแพทย์เย็บแผลด้วยไหมที่ไม่ละลาย ก็ต้องกลับไปตัดไหมหลังผ่าตัด 7 วัน ทั้ง นี้อาการปวดที่แผลจะลดลงเรื่อยๆ แต่หากแผลมีการติดเชื้อ คือ บวม แดง และมีอาการปวดมากขึ้น หรือมีหนอง มีกลิ่นเหม็น ต้องรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเสมอ
ควรรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
อาการผิดปกติที่ต้องรีบกลับไปพบแพทย์ก่อนครบกำหนดนัดตรวจหลังคลอด ได้แก่
- ไข้สูง
- ปวดแผลฝีเย็บมาก นั่งหรือเดินลำบาก
- ปัสสาวะแสบขัด
- น้ำคาวปลาที่เคยออกเป็นสีจางแล้ว กลับมามีเลือดออกสีเข้มมากขึ้น ปริมาณเลือดออกมากขึ้น มีกลิ่นเหม็น
- มีอาการผิดปกติอื่นๆ หรือ มีอาการของภาวะแทรกซ้อน ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ภาวะ แทรกซ้อน
- เมื่อกังวลในอาการ
ดูแลทารกกรณีปกติอย่างไร?
การดูแลทารกกรณีปกติ คือ
- ดูแลเช็ดตัวให้แห้ง รักษาความอบอุ่นของร่างกายทารกเสมอ
- พยายามให้ได้ดูดนมแม่เร็วที่สุด เพื่อสร้างสายใยรักความผูกพันระหว่างแม่-ลูก
- จัดให้อยู่ในห้องเดียวกับแม่ตลอดเวลา
- รับการฉีดวัคซีนตามแพทย์ พยาบาล นัด
- ให้ดูดนมมารดาอย่างเดียว 6 เดือนหลังคลอดหากเป็นไปได้
- นำทารกพบแพทย์ พยาบาล ตามนัดเสมอ
- เมื่อทารกมีอาการผิดปกติ เช่น ไม่ดูดนม หรือ มารดากังวลในอาการของทารก ควรนำทารกพบแพทย์/หมอเด็ก หรือ พยาบาล ก่อนนัดเสมอ