โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ โรคเอ็นโดเมททริโอซิส คืออะไร?
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือเกิดผิดที่ หรือ โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือเกิดผิดที่ หรือโรคเอ็นโดเมททริโอซิส (Endometriosis) คือ โรค/ภาวะที่ มีการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดขึ้นภายนอกมดลูก ซึ่งส่วนมากจะพบโรคดังกล่าวเกิดในบริเวณภายในอุ้งเชิงกราน (ท้องน้อย)
ในภาวะปกติ เยื่อบุโพรงมดลูกจะบุอยู่ภายในโพรงมดลูกเท่านั้น และในแต่ละรอบเดือน หากไม่มีการตั้งครรภ์เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกตัวออกมาเป็นประจำเดือน หากมี ภาวะการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติภายนอกโพรงมดลูกในช่วงเป็นรอบประจำเดือน ก็จะมีการลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่ดังกล่าวร่วมด้วยเสมอ เป็นเหตุให้เกิดบาดแผลและการอักเสบในอุ้งเชิงกราน ซึ่งจะก่อให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน และอาจมีการสะสมของเลือดที่ออก ทำให้เกิดถุงน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญที่รังไข่ ทำให้มีการสะสมของเลือดในรังไข่กลายเป็นถุงน้ำที่มีเลือดสะสมอยู่ ลักษณะของเลือดเก่าที่คั่งค้างอยู่จะมีลักษณะเป็นสีคล้ำขึ้น คล้ายช็อกโกแลต จึงทำให้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ถุงน้ำช็อกโกแลต หรือ ช็อกโกแลตซีส (Chocolate cyst)” นั่นเอง
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เป็นโรคร้ายแรงหรือไม่?
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ไม่จัดว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่ความรุนแรงของอาการ อาจมีได้หลายระดับ ตั้งแต่มีอาการปวดปวดประจำเดือน เล็กน้อยจน ถึงระดับปวดประจำเดือนมาก จนส่งผลรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวัน บางรายอาจมีอาการปวดท้องน้อยเรื่อรังได้จากการมีพังผืดในอุ้งเชิงกราน
ส่วนการเปลี่ยนแปลงของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกไปเป็นมะเร็งนั้น จากการศึกษาในปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นั้น อาจจะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งรังไข่บางชนิดมากขึ้นกว่าประชากรทั่วไป แต่โอกาสการเกิดโรคมะเร็งดังกล่าวนั้นต่ำมากๆ และโอกาสการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสตรีที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ที่ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน (โรคมะเร็งรังไข่พบได้สูงกว่าในคนที่ไม่เคยตั้งครรภ์เมื่อเปรียบเทียบกับคนเคยตั้งครรภ์)
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่พบได้บ่อยหรือไม่ และใครบ้างที่มีโอกาสเกิดโรค?
ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดถึงอุบัติการณ์ของโรคเยื่อบุโพรงมดลูเจริญผิดที่ เนื่องจากสตรีที่เป็นโรคนี้ จะไม่มีอาการทุกรายหรือบางรายมีอาการน้อยมากจนไม่ได้มารับการตรวจวินิจฉัย โดยมากที่พบว่าเป็นโรคดังกล่าวก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการ และมารับการรักษาเท่านั้น อย่างไรก็ตามมีการประมาณการว่าโรคนี้พบได้ประมาณ 1 ใน 10 ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ (วัยยังมีประจำเดือน) หรืออาจจะมาก ถึง 5 ใน 10 ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ทั้งหมด ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอุบัติการณ์ของโรคดังกล่าวอาจจะมากถึง 50% ของประชากรหญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยส่วนมากจะพบในสตรีอายุระหว่าง 25-40 ปี สตรีในวัยดังกล่าวจึงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โดยจะพบว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นหากมีปัจจัยดังต่อไปนี้
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โดยเฉพาะหากมี มารดา พี่สาว หรือน้องสาวแม่เดียวกัน เป็นโรคดังกล่าว
- เริ่มเป็นประจำเดือน เมื่ออายุน้อย
- ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน
สาเหตุของการเกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร?
ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุการเกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หากแต่มีการสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน จากโพรงมดลูกผ่านท่อนำไข่เข้าไปยังอุ้งเชิงกราน ซึ่งเลือดประจำเดือนเหล่านี้จะมีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ ซึ่งเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกดังกล่าว สามารถเจริญเติบ โตได้ในอุ้งเชิงกราน และอาจจะไปเกาะอยู่ตามอวัยวะต่างๆได้ เช่น รังไข่ หรือ ลำไส้
เยื่อบุโพรงมดลูกเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศหญิงได้ดังเช่น เมื่ออยู่ในโพรงมดลูกนั้นหมายความว่าในช่วงมีรอบประจำเดือน เยื่อบุโพรงมดลูกดังกล่าวก็จะลอกตัวออกจากอวัยวะ หรือผิวของอุ้งเชิงกรานที่เกาะอยู่ ทำให้เกิดแผลภายในอุ้งเชิงกราน และในอวัยวะภายในช่องท้อง ซึ่งเมื่อเกิดบาดแผลขึ้นร่างกายจะพยายามซ่อมแซมบาดแผลเหล่านั้นดัวยการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ แต่ใน บางกรณี การซ่อมแซมนั้นๆจะทำให้เกิดพังผืด หรือแผลเป็นในอุ้งเชิงกรานพังผืด เหล่านั้นอาจดึงรั้งให้อวัยวะที่อยู่ใกล้กันมายึดติดรวมกันได้ เช่น อาจดึงรั้งให้ลำไส้ใหญ่มาติดกับมดลูก หรือรังไข่ หรืออาจดึงรั้งกระเพาะปัสสาวะมาติดกับมดลูก เป็นต้น
ในบางกรณี เยื่อบุโพรงมดลูกที่ลอกตัวดังกล่าวอาจจะทำให้มีเลือดออก ซึ่งหากเยื่อบุโพรงมดลูกเหล่านั้นเจริญในที่ที่ไม่มีทางระบายออก เช่น ที่รังไข่ก็จะเกิดการขังตัวของเลือดกลายเป็นถุงน้ำที่รังไข่ เลือดจะมีสีคล้ำเมื่อสะสมอยู่นาน ทำให้มีลักษณะคล้ายช็อกโกแลตเหลว จึงมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการ ของถุงน้ำที่รังไข่ประเภทนี้ว่า ถุงน้ำช็อกโกแลตดังกล่าวแล้วนั่นเอง
อาการของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เป็นอย่างไร?
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นั้น บางรายไม่มีอาการใดๆเลย ซึ่งอาจจะทำให้ไม่ได้มาตรวจวินิจฉัย และรับการรักษา และที่น่าประหลาดใจ คือ ในบางกรณีความรุนแรงของอาการอาจไม่สัมพันธ์กับความรุนแรงของตัวโรคเลย เช่น ในบางรายมีอาการมาก แต่เมื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้วกลับพบว่าโรคที่พบมีขนาดเล็กมาก เป็นต้น
อย่างไรก็ตามอาการที่ชวนสงสัยว่า ท่านอาจจะเป็นโรคดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
- ปวดประจำเดือนซึ่งอาการปวดประจำเดือนที่สัมพันธ์กับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่มักจะมีอาการปวดก่อนมีประจำเดือนประมาณ 2-3 วัน และอาการปวดจะดำเนินไปตลอดช่วงการมีประจำเดือน อาการปวดจะเป็นมาก และมักจะแย่ลงเรื่อยๆในประจำเดือนรอบต่อๆไป
- เจ็บลึกๆในช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาการเจ็บปวดมักจะคงอยู่หลังมีเพศสัมพันธ์ไปอีก 1-2 ชั่วโมง
- ปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง
- มีบุตรยาก
- อาการอื่นๆที่พบไม่บ่อย เช่น
- ในช่วงเป็นประจำเดือนจะมีอาการปวดในทวารมากขณะถ่ายอุจจาระ หรือ ปวดในอุ้งเชิงกรานมากขณะปัสสาวะ
- ในบางรายอาจมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือปัสสาวะเป็นเลือดในช่วงที่เป็นประจำเดือน ซึ่งเป็นอาการหนึ่งที่บ่งว่า อาจจะมีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญในลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย หรือในกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่?
เมื่อมีอาการชวนสงสัยดังกล่าว ท่านควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางสาขาสูติศาสตร์และนรีเวชเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยมากการตรวจวินิจฉัยจะอิงจากประวัติของอาการต่างๆเป็นหลัก เช่น มีประวัติปวดประจำเดือนมากและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หรือร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น เจ็บลึกๆในช่องคลอดขณะและหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือ มีบุตรยาก เป็นต้น
การตรวจภายในอาจจะช่วยวินิจฉัยโรคดังกล่าวได้ หากตรวจพบว่ามี ก้อนเนื้อ/พังผืดในบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือ ตรวจพบถุงน้ำรังไข่ การทำอัลตร้าซาวด์อุ้งเชิงกรานอาจจะช่วยวินิจฉัยในกรณีที่มีถุงน้ำรังไข่เกิดขึ้น แต่หากเป็นตัวโรค หรือพังผืดในอุ้งเชิงกรานยังมีขนาดเล็กๆ การทำอัลตร้าซาวด์อาจจะไม่พบความผิดปกติ
การยืนยันผลการวินิจฉัยทำได้โดยการผ่าตัดส่องกล้องทางหน้าท้องเพื่อสำรวจภายในอุ้งเชิงกรานว่า มีโรคเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่หรือไม่ โดยอาจพบรอยโรคดังกล่าวร่วมกับการมีพังผืดในอุ้งเชิงกราน หรือ พบว่ามีถุงน้ำช็อกโกแลต เป็นต้น การดูด้วยตาเปล่าจากกล้องเพียงอย่างเดียวก็อาจจะเพียงพอต่อการวินิจ ฉัย แต่หากต้องการการยืนยันที่แน่นอนก็ควรมีการตัดชิ้นเนื้อ บริเวณที่เป็นรอย โรคดังกล่าวเพื่อ การตรวจทางพยาธิวิทยา อย่างไรก็ตามการตรวจวินิจฉัยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดส่องกล้องทุกราย อาจจะใช้เพียงอาการ และ การตรวจร่างกายเพื่อ วินิจฉัยโรค ก็อาจจะเพียงพอในการให้การรักษา
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่มีผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงที่เกิดจากโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ได้แก่
- ปวดประจำเดือนมาก
- ปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง
- มีบุตรยาก
- บางรายอาจมีอุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด หรือ เลือดออกในช่องปอดในช่วงมีประจำเดือน ซึ่งพบได้น้อยมาก จะเกิดได้ในรายที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญผิดที่ที่อวัยวะดังกล่าว
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่?
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาทุกรายดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ในบางรายที่ไม่มีอาการหรือในรายที่มีอาการน้อยมากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเลย และโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นี้อาการมักจะดีขึ้นได้เองเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เนื่องจากไม่มีฮอร์โมนเพศหญิงมากระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกแล้ว เยื่อบุโพรงมดลูกเหล่านั้นก็สามารถฝ่อ และสลายไปได้เอง
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่รักษาได้อย่างไร?
จุดมุ่งหมายในการรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ คือ ลดหรือกำจัดอาการของโรค เช่น หากผู้ป่วยมีอาการปวดประจำเดือน การรักษาก็มุ่งเน้นเพื่อลดอาการปวด ในรายที่มีบุตรยากจากโรคดังกล่าว การรักษาก็จะมุ่งเน้นในเรื่องการช่วยให้มีบุตร หรือหากเป็นกรณีที่มีถุงน้ำรังไข่ การรักษาก็จะมุ่งเพื่อกำจัดถุง น้ำรังไข่ เช่น เฝ้าติดตามเมื่อถุงน้ำมีขนาดเล็ก หรือ ผ่าตัดเฉพาะถุงน้ำเมื่อถุงน้ำมีขนาดใหญ่เป็นต้น
ดังจะเห็นได้ว่า การรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นั้น การรักษามิได้มุ่งจะกำจัดรอยโรค (ซึ่งโดยมากมักไม่สามารถกำจัดรอยโรคได้หมด) หากแต่เป็น การรักษาตามอาการของโรค และ รอยโรคนั้นสามารถหายไปได้เองเมื่อเข้าสู่วัย หมดประจำเดือนดังนั้นการรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นจะขึ้นกับอาการนำที่นำผู้ป่วยมาสู่การรักษานั้นเอง
การรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี ใหญ่ๆ ดังนี้ คือ การรักษาดัวยยา และการรักษาด้วยการผ่าตัด
- การรักษาด้วยยา ยาแก้ปวดที่จะไม่มีผลต่อการมีบุตร) การรักษาด้วยยามักจะใช้ในรายที่มีอาการปวดประจำเดือน โดยที่ไม่มีถุงน้ำที่รังไข่ หรือมีถุงน้ำรังไข่ขนาดเล็ก ขนาดไม่เกิน 2-3 เซนติเมตร
ยาที่ใช้ในการรักษามีดังนี้
- ยาแก้ปวด และยาลดการอักเสบ อาจใช้ยากลุ่มพาราเซตตามอล (Paracetamol) ในการบรรเทาอาการปวดประจำเดือนในรายที่ปวดไม่มาก หรือ หากต้องการฤทธิ์การแก้ปวดมากขึ้น อาจจะใช้ยาต้านการอักเสบ เช่น พอนสแตน (Ponstan) เป็นต้น ซึ่งยาเหล่านี้จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ในรายที่ปวดไม่มาก
- ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน มีการรายงานถึงการใช้ยาคุมกำเนิดในการรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ว่า สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือน และอาการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
- ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดเป็นที่นิยมมากในการรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื่องจากยามีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดได้ดี และมีราคาถูก หากแต่อาจจะมีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ หรือ บางรายอาจจะไม่มีประจำเดือนมาเลยในขณะที่ไดัรับการรักษา อาจมีภาวะซึมเศร้าซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดชนิดฉีดได้ อีกทั้งผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาคุมกำเนิดชนิดฉีดมักจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด เพื่อการรักษาในรายที่ยังมีความต้องการมีบุตร เนื่องจากการใช้ยาคุมกำเนิดมีผลกับการทำงานของรังไข่ในระยะยาว ดังจะเห็นได้จากเมื่อหยุดการรักษาภาวะประจำเดือนของผู้ป่วยอาจจะผิดปกติได้ยาวนานกว่าที่รังไข่จะกลับมาทำงานปกติ จนมีประจำเดือนตามปกติได้
- ยาฮอร์โมนแอนโดรเจน ยาฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจนที่มีในท้องตลาดคือ ยา Danazol ยากลุ่มนี้ให้ผลการรักษาโรคและลดอาการปวดประจำเดือนได้ดี อีกทั้งเป็นยาชนิดรับประทานซึ่งสะดวกต่อการใช้มากกว่ายาฉีด หากแต่ยากลุ่มนี้อาจจะมีอาการไม่พึงประสงค์ คือ อาจส่งผลให้ผู้กินยามีลักษณะของเพศชายได้ เช่น ผิวมัน หน้ามัน เป็นสิว มีขน หรือหนวดขึ้น และที่เป็นปัญหามากที่สุดคือ อาจจะทำให้เสียงเปลี่ยนเป็นลักษณะแหบลงคล้ายเสียงผู้ชายได้ ซึ่งการเปลียนแปลงอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น สามารถหายไปได้หลังหยุดใช้ยา ยกเว้นการเปลี่ยนแปลงของเสียง ซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป ถึงแม้จะหยุดใช้ยาแล้วก็ตาม
- ยาฮอร์โมน GnRH ชนิดฉีด ยาฮอร์โมนชนิดนี้ เหมาะในผู้ป่วยที่ยังต้องการมีบุตร แต่มีอาการปวดประจำเดือนมาก ก็สามารถให้ยาฉีดดังกล่าวรักษาระยะสั้นๆได้ ถึงแม้ว่าในขณะรักษาจะไม่สามารถมีบุตรได้ก็ตาม ซึ่งข้อดีของยาตัวนี้คือ หลังหยุดยาแล้วรังไข่จะกลับมาทำงานได้ตามปกติทันทีที่หยุดให้ยา แต่ข้อเสียของยาตัวนี้คือ ราคาแพง และมีผลไม่พึงประสงค์มาก เช่น มีอาการคล้ายวัยหมดประจำเดือน มีร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย อาจมีภาวะกระดูกพรุนได้หากใช้เป็นระยะเวลานาน
- การรักษาด้วยกาารผ่าตัด ผู้ที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดมีลักษณะดังต่อไปนี้
- มีอาการปวดประจำเดือน หรือปวดอุ้งเชิงกรานมาก
- ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา
- มีถุงน้ำที่รังไข่ขนาดใหญ่
- มีภาวะมีบุตรยากหรือยังต้องการมีบุตร
อนึ่ง การรักษาด้วยการผ่าตัดสามารถทำได้โดยการรักษาแบบอนุรักษ์ (Conservative surgery) ซึ่งเป็นการผ่าตัดเฉพาะรอยโรค หรือถุงน้ำ หรือ แบบรุนแรง (Radical surgery) ซึ่งจะผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกทั้งหมด
- การผ่าตัดแบบอนุรักษ์
- ข้อดีของการรักษาโดยการผ่าตัดแบบอนุรักษ์ คือ ผู้ป่วยยังไม่เข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน เนื่องจากยังมีรังไข่ที่ยังสามารถผลิตฮอร์โมนเพศหญิงได้ และยังสามารถตั้งครรภ์ และมีบุตรได้หลังการผ่าตัด
- ข้อเสียของการรักษาโดยการผ่าตัดแบบอนุรักษ์ คือ มีโอกาสกลับเป็นโรคซ้ำหลังผ่าตัดรักษาได้ การกลับเป็นซ้ำอาจจะสูงถึง 60% ซึ่งการให้ยารักษาหลังผ่าตัด หรือ การช่วยให้ตั้งครรภ์ พบว่ามีผลช่วยลดอัตราการกลับเป็นซ้ำของโรคได้
- การผ่าตัดแบบรุนแรง
- ข้อดีของการรักษาโดยการผ่าตัดแบบรุนแรงคือ เป็นการรักษาที่หายขาด โอกาสกลับเป็นซ้ำของโรคต่ำมาก
- ข้อเสียของการรักษาโดยการผ่าตัดแบบรุนแรงคือ หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะเข้าสู่ภาวะวัยหมดประจำเดือนทำให้อาจมีผลเสียจากการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เช่น มีอาการร้อนวูบวาบ โรคกระดูกพรุน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ หลังผ่าตัดมักจะต้องได้รับการให้ฮอร์โมนทดแทน
ทั้งนี้การผ่าตัดรักษาทั้งสองวิธีสามารถทำได้ทั้งการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง และการผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน การผ่าตัดผ่านกล้องได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง บาดแผลมีขนาดเล็ก ทำให้เจ็บแผลผ่าตัดน้อยกว่า และฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วกว่าการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง อีกทั้งช่วยลดการเกิดพังผืดจากการผ่าตัดได้ จึงมักเป็นทางเลือกแรกสำหรับผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ยากที่มีโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
หากเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่แล้ว ควรดูแลตนเองอย่างไร?
โดยมากผู้ที่เป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่มักมาพบแพทย์ล่าช้า เนื่องจากอาการนำสำคัญของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คือ อาการปวดประจำเดือน ซึ่งสตรีที่มีอาการปวดประจำเดือนโดยมากมักเข้าใจว่า เป็นอาการปกติของการมีประจำเดือนดังนั้น หากสตรีท่านใดที่มีอาการปวดประจำเดือนมาก แล อาการเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางสาขาสูติศาสตร์และนรีเวช เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากโรคดังกล่าวแล้ว
สำหรับท่านที่ได้รับการวินิจฉัย หรือการรักษาโรคดังกล่าวแล้ว ควรติดตามการรักษาให้สม่ำเสมอ เนื่องจากโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่สามารถกลับเป็นซ้ำได้ตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ป้องกันได้หรือไม่? อย่างไร?
ปัจจุบันยังไม่พบวิธีป้องกันการเกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่ได้ ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ มีข้อมูลเรื่องการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ แต่ผลการป้องกันไม่แน่นอน การรับประทานอาหาร หรือ วิตามิน ไม่พบว่าช่วยลดโอกาสการเกิดโรค ดังนั้นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงหากมีอาการที่ชวนสงสัยว่าจะเป็นโรคดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์ก็น่าจะเป็นการดูแลตนเองที่ดีที่สุดเพื่อการรักษาโรคแต่เนิ่นๆในระยะที่โรคยังไม่รุนแรง