ยาฝังคุมกำเนิดคืออะไร?
ยาฝังคุมกำเนิด หรือยาคุมกำเนิดแบบฝัง (Contraceptive implant หรือ Implantable contraception) เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง โดยการฝังฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำเป็นแท่งเล็กๆเข้าไปที่ใต้ผิวหนังใต้ท้องแขนด้านที่ไม่ถนัด ซึ่งฮอร์โมนนี้จะค่อยๆซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปทำการยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ของสตรี ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ยาฝังคุมกำเนิด เป็นวิธีคุมกำเนิดที่สะดวกสบาย มีใช้มานานนับ 10 ปี ในระยะแรกจะเป็นฮอร์โมนที่บรรจุในแท่งพลาสติกเล็กๆจำนวน 6 แท่ง ขนาดแท่งละ 3.4 x 0.24 เซนติเมตร(ซม) เช่น ยา Norplant® สามารถใช้ได้คุมกำเนิดได้ 5 ปี ปัจจุบันมีการพัฒนาให้สะดวกขึ้นเหลือเพียงชนิดแบบ 1 แท่ง (Implanon®) ขนาดแท่งละ 4.0 x 0.20 ซม. คุมกำเนิดได้ 3 ปี และแบบ 2 แท่ง (Jadelle®) ขนาดแท่งละ 4.3 x 0.25 ซม. คุมกำเนิดได้ 5 ปี
ยาฝังคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร?
ยาฝังคุมกำเนิด จะประกอบด้วย ฮอร์โมนเพศหญิงโปรเจสติน (Progestin,ฮอร์โมนเพศหญิงสังเคราะห์)) เพียงชนิดเดียว จึงไม่มีผลข้างเคียงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เหมือนในยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม
- ในยาฝังคุมกำเนิดที่ชื่อ Implanon® จะเป็นฮอร์โมน Etonogestrel 68 มก. (มิลลิกรัม) แล้วค่อยๆปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 70-60 ไมโครกรัม
- ส่วน Jadelle® จะเป็นฮอร์โมน Levonorgestrel 75 มก. ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 100-40 ไมโครกรัม (ระดับฮอร์โมนจะสูงในช่วงแรก และค่อยๆลดลงจนคงที่ในระยะเวลาต่อมา)
กลไกการป้องกันการคุมกำเนิด คือ ฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาจากแท่งยาฝัง จะไปมีผลทำให้ฟองไข่ไม่พัฒนา จึงไม่สามารถโตต่อไปจนตกไข่ได้ ทำให้ไม่มีไข่ที่จะรอผสมกับเชื้ออสุจิ จึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ ฮอร์โมนนี้ยังทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น ทำให้เชื้ออสุจิว่ายผ่านเข้าไปได้ยาก จึงช่วยลดโอกาสเกิดการผสมกับไข่
ยาฝังคุมกำเนิด มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดีมาก โอกาสการตั้งครรภ์น้อยกว่า 1 ใน 100 ของสตรีที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิด
ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?
ข้อดีของยาคุมกำเนิดแบบฝัง คือ
- สะดวกสบาย เมื่อไปรับการคุมกำเนิดวิธีนี้ สามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดของยา
- ไม่ต้องรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดทุกวัน ลดโอกาสลืมกินยา หรือต้องไปฉีดยาคุม กำเนิดทุก 3 เดือน ลดโอกาสฉีดยาคลาดเคลื่อนไม่ตรงกำหนด
- ไม่มีผลข้างเคียงของฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เป็นฝ้า
- เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงดังกล่าวแล้วในหัวข้อก่อนหัวข้อนี้
ผลข้างเคียงของยาฝังคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?
ข้อเสียของยาฝังคุมกำเนิด คือ อาจมีผลข้างเคียงจากยาได้ โดยผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ
- ประจำเดือนกะปริบกะปรอย พบมากที่สุด
- ไม่มีประจำเดือน หรือเกิดภาวะขาดประจำเดือน
- อาจมีน้ำหนักตัวขึ้น
- ปวดแขนบริเวณที่ฝังแท่งยาคุมกำเนิด
- แผลที่ฝังยาเกิดการอักเสบ หรือมีรอยแผลเป็น
- อารมณ์แปรปรวน
- ปวด/เจ็บเต้านม
- มีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูก (ท้องนอกมดลูก) หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น
- อาจเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
หลังใช้ยาฝังคุมกำเนิด เมื่อไรต้องพบแพทย์ก่อนนัด?
เมื่อใช้ยาฝังคุมกำเนิด ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อ
- ปวดแขนที่ฝังยาผิดปกติ หรือ อักเสบ (แผลบวม แดง ร้อน) หรือ เป็นหนอง
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก (อาการของการแพ้ยา)
- ปวดศีรษะมากผิดปกติ
- แขน ขา อ่อนแรง (อาจเป็นอาการของ ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ หรือโรคทางสมอง )
ใครคือสตรีที่เหมาะที่จะใช้ยาฝังคุมกำเนิด?
สตรีที่เหมาะที่จะใช้ยาฝังคุมกำเนิด คือ
- ผู้ที่ลืมรับประทานยาบ่อยๆ รวมทั้งยาเม็ดคุมกำเนิด
- ต้องการคุมกำเนิดในระยะเวลาประมาณ 3-5 ปี
- มีข้อห้ามในการใช้การคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น กำลังให้นมบุตร
ใครคือสตรีที่ห้ามใช้ยาฝังคุมกำเนิด?
สตรีที่ห้ามใช้ยาฝังคุมกำเนิด คือ
- โรคตับ เพราะผลข้างเคียงของยาฝังคุมกำเนิด อาจส่งผลให้เกิดตับอักเสบเพิ่มขึ้นได้
- มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม เพราะยาฝังคุมกำเนิดอาจกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งลุกลามแพร่กระจาย
- มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆที่ไม่ทราบสาเหตุ เพราะยาฝังคุมกำเนิดอาจกระตุ้นให้เลือดออกมากขึ้น
- มีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก เพราะยาฝังคุมกำเนิดอาจรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือด ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวในภาวะเลือดออก
ประโยชน์อย่างอื่นของยาฝังคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?
ประโยชน์อย่างอื่นของยาฝังคุมกำเนิด นอกจากการคุมกำเนิด คือ
- ลดอาการปวดประจำเดือน
- ป้องกันการหนาตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
- ลดโอกาสเกิดอาการซีดจากการมีประจำเดือนมามากผิดปกติ จากมีการหนาตัวมากของเยื่อบุโพรงมดลูก
รับการฝังยาคุมกำเนิดได้ที่ไหน? และการฝังยาต้องนอนโรงพยาบาลหรือไม่?
หากสตรีท่านใดตัดสินใจที่จะใช้การคุมกำเนิดโดยใช้ยาฝังคุมกำเนิด สามารถไปขอรับบริการได้ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือโรงพยาบาลประจำอำเภอที่มีขนาดใหญ่ หรือสามารถสอบถามตามคลินิกสูตินรีเวช ทั้งนี้การฝังยาสามารถทำได้ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ใช้เวลาเพียงประมาณ 10-20 นาที โดยผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล
การฝังยาฝังคุมกำเนิดต้องดมยาสลบหรือไม่?
การฝังยาคุมกำเนิดไม่ต้องดมยาสลบ แพทย์จะใช้วิธีฉีดยาชาเข้าที่ใต้ท้องแขนด้านที่ไม่ถนัด จากนั้นจะใช้เข็มนำเปิดแผลขนาด 0.3 ซม. ที่ท้องแขนด้านนั้น แล้วสอดใส่แท่งตัวนำหลอดยาที่มียาบรรจุอยู่ เข้าไปในเข็มนำนี้ หลังจากใส่หลอดยาเข้าไปเรียบร้อยแล้ว (1 หรือ 2 แท่งตามแต่ชนิดของยา) ก็จะถอนแท่งนำยาและเข็มนำออก ทำการปิดปากแผลโดยไม่ต้องเย็บแผล จากนั้นพันแผลด้วยผ้าพันแผล และพันทับด้วยผ้าอิลาสติค (Elastic bandage) อีกชั้น ก็เสร็จเรียบร้อย โดยพันทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อช่วยหยุดจุดเลือดออกต่างๆ และแพทย์จะให้ยาแก้ปวดไปรับประทานหากมีอาการปวดแผล ในวันรุ่งขึ้นอาจพบมีรอยช้ำที่แขนได้เล็กน้อยซึ่งจะค่อยๆหายไปเอง
ค่าใช้จ่ายยาฝังคุมกำเนิดมากน้อยเพียงใด?
ราคาของยาฝังคุมกำเนิดในโรงพยาบาลของรัฐ ประมาณ 2,500-3,000 บาท หากทำในโรงพยาบาลเอกชน หรือ คลินิกก็จะมีค่าบริการเพิ่มเติมขึ้น
หากไม่ต้องการคุมกำเนิดแล้ว จะทำอย่างไร?
หากต้องการมีบุตรหรือฝังยาคุมกำเนิดมาครบตามจำนวนเวลาที่ระบุแล้ว (3 หรือ 5 ปี) สามารถไปถอดยาฝังได้ตามโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งแผลที่เกิดจากการถอดหลอดยา จะใหญ่กว่าตอนใส่เล็กน้อย และอาจได้รับการเย็บด้วยไหม 1 เข็ม ซึ่งก็มีการฉีดยาชาก่อนเสมอ ทั้งนี้การถอดยาฝังใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที และทำได้ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลเช่นเดียวกับตอนใส่หลอดยาเช่นกัน
โอกาสตั้งครรภ์หลังเอายาฝังคุมกำเนิดออกแล้ว เป็นอย่างไร?
ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาฝังคุมกำเนิดดีมากดังได้กล่าวแล้วในตอน ต้น และเมื่อถอดยาออก ภาวะการเจริญพันธุ์ก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้ภายในระยะเวลาประ มาณ 1-12 เดือนขึ้นกับความแข็งแรงและอายุของสตรีท่านนั้น รวมทั้งระยะเวลาที่ใช้ในการคุม กำเนิดก่อนหน้านี้ด้วย
หากถอดยาฝังคุมกำเนิดออกแล้ว สามารถฝังใหม่ได้อีกหรือไม่?
สามารถฝังยาชุดใหม่ได้เลย หากต้องการคุมกำเนิดต่อ
ที่มา https://haamor.com/th/ยาฝังคุมกำเนิด/