ภาวะขาดประจำเดือนหมายถึงอะไร?
ประจำเดือน (Menstruation) หมายถึง การมีเลือดออกมาทางช่องคลอดเป็นประจำทุกๆเดือน นานครั้งละ 2-7 วัน เป็นอาการแสดงของการเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น (11-14 ปี) ซึ่งเกิดจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆภายในร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจริญพันธุ์ หากเกิดภาวะใดภาวะหนึ่งทำให้ไม่มีเลือดประจำเดือนออกมาตามปกติ เรียกว่า “ขาดประจำเดือน หรือภาวะขาดประจำเดือน (Amenorrhea)”
การที่สตรีจะมีเลือดประจำเดือนออกมาทุกเดือนเป็นปกตินั้น ต้องมีระบบการสร้างฮอร์โมน และระบบกายวิภาคของระบบสืบพันธุ์ปกติ ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์และการมีประจำเดือน คือ Gonadrotropin releasing hormone (GnRH, จีเอนอาร์เอช) ที่หลั่งจากสมองส่วนลึกในสมองใหญ่ที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) จะไปกระตุ้นเนื้อเยื่อส่วนหน้าของต่อมใต้สมอง (Anterior pituitary gland) ให้สร้างฮอร์โมน เอฟเอสเอช (FSH, Folli cular stimulating hormone) และฮอร์โมน แอลเอช (LH, Luteinizing hormone) ซึ่ง ฮอร์ โมนทั้ง 2 ตัวนี้ จะไปกระตุ้นรังไข่ให้สร้าง ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมน โปร เจสเตโรน (Progesterone) ที่จะไปทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรอรับการฝังตัวของตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างไข่ของฝ่ายหญิงและตัวอสุจิของฝ่ายชาย เพื่อที่จะตั้งครรภ์ต่อไป แต่หากไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ระดับฮอร์โมนต่างๆดังกล่าว จะลด ลง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกและมีการฉีกขาดของหลอดเลือดในโพรงมดลูกออกมาเป็นเลือดประจำเดือนต่อไป นอกจากนั้นทางด้านกายวิภาค (กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรี) ต้องมีมดลูก ปากมดลูก และ ช่องคลอดที่ปกติ ที่จะให้เลือดประจำเดือนออก มาได้
ภาวะขาดประจำเดือนแบ่งเป็นกี่ประเภท?
ทางการแพทย์ แบ่งการขาดประจำเดือนเป็น 2 แบบ/ประเภท คือ
- ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary amenorrhea) คือ การที่สตรีไม่เคยมีประจำ เดือนมาก่อน ใช้เกณฑ์อายุ 15 ปี ยังไม่เคยมีประจำเดือน หรือ 13 ปี ยังไม่มีลักษณะทางเพศของสตรี เช่น การขยายของเต้านม สะโพกผาย (เกณฑ์เดิมใช้อายุ 16 ปี และ 14 ปีตามลำดับ)
- ภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary amenorrhea) คือ การที่สตรีเคยมีประจำ เดือนมาก่อนแต่ต่อมาประจำเดือนขาดหายไปอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 3 รอบเดือน ซึ่งภาวะนี้ ยังแบ่งได้อีก 2 กลุ่มคือ
สาเหตุของการขาดประจำเดือนมีอะไรบ้าง?
- การขาดประจำเดือนปฐมภูมิ อุบัติการณ์ของภาวะนี้ค่อนข้างน้อย สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางกายวิภาคของระบบสืบพันธุ์ (กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรี) มาแต่กำเนิด หรือมีความผิดปกติของโครโมโซม ทำให้มีผลต่อการทำงานของรังไข่ สาเหตุ ได้แก่
- Imperforated hymen หรือ ภาวะเยื่อพรหมจารีไม่ขาด (เยื่อพรหมจารี หรือ Hymen คือ เยื่อบางๆขนาดความหนาประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตรที่อยู่รอบๆปากช่องคลอด) เป็นความผิดปกติมาแต่กำเนิดที่เยื่อพรหมจารีไม่ขาดเป็นรูหรือเป็นช่องเปิดสู่ภายนอกเพื่อเตรียมให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาเมื่อถึงเวลาที่ควรมีประจำเดือน ผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิด ปกติจนกระทั่งเข้าสู่วัยที่ควรมีประจำเดือน หรือเพื่อการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีอาการปวดท้อง น้อยทุกเดือน เดือนละ 3-5 วัน และอาการจะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีประจำเดือนออกมาให้เห็น อาจมีอาการคัดตึงเต้านมร่วมด้วยในช่วงเวลาใกล้เคียงกับมีอาการปวดท้องน้อย
- Mullerian agenesis หมายถึง ภาวะที่เนื้อเยื่อในตัวอ่อนชนิด ที่เรียกว่า Mullerian duct ซึ่งในภาวะปกติเนื้อเยื่อนี้จะเจริญไปเป็นมดลูก ไม่มีการพัฒนาหรือเจริญไปเป็นมดลูกตามปกติ ทั้งนี้อาจไม่มีการพัฒนาทั้งหมด หรือมีการพัฒนาเพียงบางส่วน แต่รังไข่ในผู้ ป่วยกลุ่มนี้จะยังปกติ เพราะมีการพัฒนามาจากเนื้อเยื่อคนละส่วนกัน ผู้ป่วยจึงมีลักษณะทางเพศของสตรีเป็นปกติ แต่ไม่มีมดลูก และไม่มีช่องคลอด
- รังไข่ไม่พัฒนา (Gonadal dysgenesis) หรือ รังไข่หยุดทำงานก่อนเวลาอันควร (Premature ovarian failure) หากเกิดก่อนวัยรุ่น ก่อนที่จะมีประจำเดือน ผู้ป่วยก็ไม่มีประ จำเดือนเลย ไม่มีการพัฒนาของร่างกายไปเป็นหญิงสมวัย เต้านมไม่พัฒนา การที่รังไข่ไม่ทำ งานก่อนเวลาอาจเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม เช่น กลุ่มอาการ Turner syndrome ที่โครโมโซมจะเป็น 45X0 (0 คือ ศูนย์) ซึ่ง โครโมโซมสตรีปกติ จะเป็น 44XX )
- Testicular feminization (Androgen insensitivity) ผู้ป่วยมี โครโมโซมเป็น XY คือ เป็นชาย จึงไม่มีการสร้างมดลูก และมีต่อมเพศซึ่งเป็นของเพศชายคอยสร้างฮอร์ โมน แต่เนื้อเยื่อทั่วไปของผู้ป่วยจะไม่มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชาย จึงทำให้ลักษณะภายนอกของผู้ป่วยเป็นหญิง
- มีเนื้องอกของสมอง (เนื้องอกและมะเร็งสมอง) โต กดเบียดทับสมอง และ/หรือต่อมใต้สมองที่สร้างฮอร์โมนเพื่อการมีประจำเดือน หรือมีเนื้องอกของต่อมใต้สมอง จึงทำให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนเสียไป (ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ภาวะขาดประจำเดือนหมายถึงอะไร?) จึงส่งผลให้ไม่มี/ขาดประจำเดือน
- การขาดประจำเดือนทุติยภูมิ
สาเหตุส่วนใหญ่ของการขาดประจำเดือนจะเป็นผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่
- การตั้งครรภ์ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการขาดประจำเดือนแบบนี้ เมื่อประจำเดือนที่เคยมาปกติทุกเดือนเกิดไม่มา ต้องสันนิษฐานเป็นเบื้องต้นไว้ก่อนว่าอาจมีการตั้ง ครรภ์ โดยเฉพาะหากเกิดในสตรีวัยเจริญพันธุ์ แล้วหาทางพิสูจน์ก่อนที่จะคิดถึงสาเหตุอื่น
- ภาวะ Polycystic ovarian syndrome (PCOS, รังไข่ทั้งสองข้างเกิดมีถุงน้ำมากมายโดยยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่เชื่อว่า จากมีความผิดปกติทางพันธุกรรม) พบได้บ่อยโดยเฉพาะในวัยรุ่น ประจำเดือนจะมาไม่สม่ำเสมอ 2-3 เดือนเป็นประจำเดือน 1 ครั้ง มักมีรูปร่างอ้วนร่วมด้วย อาจพบภาวะขนดก หรือมีหนวดเพิ่มขึ้นร่วมด้วย
- ภาวะทำงานผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (โรคของต่อมไทรอยด์) ทั้งต่อมไท รอยด์ทำงานมากกว่าปกติ หรือทำงานน้อยกว่าปกติ (Hyperthyroidism หรือ Hypothyroidism ) จะมีผลไปกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมน GnRH ทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ
- ภาวะเครียด (Stress) สามารถทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ อาจขาดประจำ เดือนไปได้คราวละหลายๆเดือน เนื่องจากความเครียดจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการหลั่งฮอร์ โมน GnRH
- ภาวะอ้วน/โรคอ้วน (Obesity) ในสตรีที่อ้วน ประจำเดือนมักมาไม่ปกติ สา มารถทำให้ขาดประจำเดือนไปได้คราวละหลายๆเดือน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากในคนอ้วน ผิวหนังสามารถเปลี่ยนเซลล์ไขมันไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งจะไปมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมน FSH และฮอร์โมน LH ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- การฉายรังสี/รังสีรักษา เช่น การฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกรานเพื่อรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก จะไปทำลายรังไข่ ทำให้รังไข่ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้ จึงไม่มีประจำเดือน
- การให้ยาเคมีบำบัด ในการรักษาโรคมะเร็งทุกชนิด จะมีผลไปทำลายรังไข่ ทำให้รังไข่ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้จึงไม่มีประจำเดือน
- Galactorrhea คือ ภาวะที่มีน้ำนมไหลโดยที่ไม่ได้อยู่ในระยะให้นมบุตร สา เหตุเกิดได้จากหลายอย่าง เช่น
- อาจจากมีเนื้องอกต่อมใต้สมอง ทำให้ขัดขวางฮอร์โมนที่ห้ามการสร้างน้ำนม จึงมีผลทำให้มีการสร้างน้ำนม ซึ่งจะไปกระทบต่อระบบประจำเดือนอีกต่อหนึ่ง
- หรืออาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางอย่างที่ทำให้น้ำนมไหลได้ เช่น ยาทางจิตเวชบางชนิด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด เป็นต้น
- การใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิด (วิธีคุมกำเนิด) เป็นระยะเวลานานๆ เช่น ยาฉีดคุมกำเนิด หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิด
- ภาวะ Anorexia nervosa คือ มีความรู้สึกเบื่ออาหาร และน้ำ ไม่ยอมรับประทานอาหารจากการที่กลัวน้ำหนักเพิ่มมากเกินไป ทำให้น้ำหนักลดลงมาก จึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการหลั่งฮอร์โมน GnRH
- นักกีฬามาราธอน หรือบุคคลที่ออกกำลังกายอย่างมาก มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการหลั่งฮอร์โมน GnRH
- การตีบตันของช่องคลอด ปากมดลูก และ/หรือโพรงมดลูก เนื่องจากพังผืดหลังการอักเสบในโพรงมดลูก หรือหลังการขูดมดลูก
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุของการขาดประจำเดือนอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุของการขาดประจำเดือนได้จาก อายุ ประวัติการมีประจำเดือน ประวัติเพศสัมพันธ์ ประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ประวัติอาการร่วมต่างๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ประวัติการใช้ยาโดยเฉพาะยาคุมกำเนิดและยาฮอร์โมนต่างๆ การตรวจร่างกาย และการตรวจภายใน
นอกจากนั้น คือ การตรวจอื่นๆทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ซึ่งมีได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับอา การของผู้ป่วย และความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ ซึ่งแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสม แต่ผู้ป่วยทุกรายไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเหมือนกัน การตรวจต่างๆเพิ่มเติม เช่น
- การตรวจปัสสาวะ เพื่อตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ (Urine pregnancy test) เป็นการตรวจที่ง่าย สะดวก สามารถตรวจด้วยตนองได้ สามารถหาซื้อเครื่องตรวจได้ตามร้านขายยาขนาดใหญ่ทั่วไป มีความไวของตัวทดสอบสูงมากถึงประมาณ 99% อาจตรวจได้ผลบวกหรือผลลบของการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่ประจำเดือนเลยกำหนดไปได้เพียง 1 วัน เป็นการตรวจที่ควรเลือกใช้อันดับแรกหากสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ประจำเดือนเคยมาปกติแล้วขาดหายไป
- การตรวจระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (Serum beta hCG) ในเลือด เพื่อดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ หากตรวจปัสสาวะแล้วไม่แน่ใจ หรือ เนื่องจากจะมีบางกรณีที่การตั้งครรภ์ยังอ่อนมาก ตรวจไม่พบฮอร์โมนในปัสสาวะ ก็มีความจำเป็นที่ต้องตรวจเลือด แต่ต้องใช้เวลาและเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า
- การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง/อัลตราซาวด์ โดยเฉพาะการตรวจผ่านทางช่องคลอด (Transvaginal ultrasound) จะทำให้เห็นพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานชัดเจนขึ้น ว่ามีก้อนเนื้องอกต่างๆหรือไม่ รังไข่ปกติหรือไม่ เป็นถุงน้ำเล็กๆรอบรังไข่หรือไม่ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นในผู้ป่วย PCOS
- การตรวจไทรอยด์ฮอร์โมน (Thyroid function test) เพื่อดูภาวะการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่ามากหรือน้อยเกินไป ซึ่งแพทย์มักตรวจเมื่อผลการตรวจเบื้องต้นอื่นๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วไม่พบความผิดปกติ
- การตรวจฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin hormone) เพื่อดูระดับฮอร์โมน หากพบ ว่าสูง บ่งบอกว่าอาจมีเนื้องอกในสมอง ซึ่งแพทย์มักตรวจเมื่อผลการตรวจเบื้องต้นอื่นๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วไม่พบความผิดปกติ
- การตรวจฮอร์โมน FSH และฮอร์โมน LH เพื่อดูว่าเข้าสู่ วัยหมดประจำเดือนหรือไม่
- การตรวจ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า/ เอมอาร์ไอที่สมอง ( Magnetic Resonance Imaging Brian) ไม่ได้ทำในสตรีที่ขาดประจำเดือนทุกราย แต่จะทำในกรณีที่สงสัยมีเนื้องอกสมอง
- การตรวจหาโครโมโซม (Chromosome study) มักทำในรายที่มีการขาดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ เพื่อดูว่า มีโครโมโซมผิดปกติเป็นชนิดใด 45XO, 46XX, หรือ 46XY ซึ่งจะใช้เป็นตัวแยกโรคต่างๆออกจากกัน
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อขาดประจำเดือน?
เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น ตามเกณฑ์อายุที่ควรจะมีประจำเดือนแล้วไม่มีประจำเดือนมา ควรไปพบสูตินรีแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุ
ส่วนในกรณีที่เคยมีประจำเดือนมาแล้วจู่ๆประจำเดือนเกิดขาดหายไป และอายุอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ต้องตรวจปัสสาวะว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่เป็นอย่างแรก ซึ่งปัจจุบันแถบตรวจการตั้ง ครรภ์สามารถหาซื้อได้ง่ายและสะดวก
หากไม่มีการตั้งครรภ์ ต้องตรวจค้นหาตามสาเหตุอื่นๆ ซึ่งเมื่อมีอาการเหล่านั้น ควรรีบพบแพทย์/สูตินรีแพทย์เสมอ เช่น
- ต้องสังเกตว่าน้ำหนักตนเองเปลี่ยนแปลงไปมากหรือน้อยอย่างไร หากน้ำหนักตัวเกินก็ควรออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก ควบคุมหรือระมัดระวังในการรับประ ทานอาหาร
- ต้องไม่เครียด
- ออกกำลังกายพอประมาณไม่หักโหม แต่สม่ำเสมอ
- สังเกตว่าตนเองใบหน้ามีสิวมากผิดปกติหรือไม่ มีผิวหน้ามันผิดปกติ มีขนขึ้นมากผิดปกติหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นอาการจากโรคของรังไข่
- ต้องสังเกตว่ามีอาการผิดปกติใดเกิดขึ้นกับตนเอง มีอาการใจสั่น เหนื่อยง่ายหรือ ไม่ หรือเป็นคนขี้ร้อน หงุดหงิดง่าย รู้สึกผิวหนังชื้นมาก เหงื่อเยอะเหล่านี้เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นอาการของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือทำงานมากกว่าปกติ หรือรูสึกเฉื่อยชา เหนื่อยง่าย อาจเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ (ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน) ก็ได้
- สังเกตว่าตนเองมีน้ำนมไหลทั้งๆที่ไม่ได้ให้นมบุตร และ/หรือมีอาการตาพร่ามัว ซึ่งอาจเป็นอาการของโรคเนื้องอกสมอง(เนื้องอกและมะเร็งสมอง) หรือเนื้องอกต่อมใต้สมอง
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
เมื่อดูแลตนเองอย่างดีแล้ว ควบคุมน้ำหนัก ไม่เครียด แล้วประจำเดือนก็ยังไม่มา และ/หรือมีอาการเหล่านี้ ก็ต้องไปปรึกษาแพทย์/สูตินรีแพทย์
- เป็นการขาดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ
- เป็นการขาดประจำเดือนแบบทุติยภูมิแล้วตรวจไม่พบว่ามีตั้งครรภ์
- มีการขาดประจำเดือนร่วมกับโรคอ้วน หรือผอมมาก
- มีการขาดประจำเดือนร่วมกับมีอาการขี้ร้อน ผิวหนังชื้น
- มีการขาดประจำเดือนร่วมกับมีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น
- มีการขาดประจำเดือนร่วมกับมีน้ำนมไหล
- มีการขาดประจำเดือนร่วมกับมีขน หรือหนวดขึ้นมากกว่าผิดปกติ
- มีการขาดประจำเดือนร่วมกับ ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว
รักษาภาวะขาดประจำเดือนอย่างไร?
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะแนวทางในการดูแลภาวะขาดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ส่วนภาวะขาดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ ไม่ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี่
เมื่อมีภาวะขาดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละ เอียด รวมทั้งการตรวจภายใน หากไม่พบความผิดปกติ แพทย์จะส่งตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่
หากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นก็จะแนะนำไปฝากครรภ์ต่อไป
หากไม่มีการตั้งครรภ์ แพทย์จะให้ยา (สารสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนโปรเจสเตโรน ที่เรียกว่า โปรเจสโตเจน/Progestogen) เพื่อทดสอบว่า รังไข่ยังทำงานเป็นปกติดีหรือไม่ เรียกว่า Progestin challenge test โดยให้รับประทาน ยา Primalut N® 5 มิลลิกรัม (มก.) เช้า 1 เม็ด เย็น 1 เม็ด เป็นเวลา 7 วัน หรือ ยา Provera® 10 มก วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน แล้วรอสังเกตว่าหลังยาหมด 2-3 วัน มีเลือดประจำเดือนออกมาหรือไม่
โดยทั่วไป หากการทำงานของรังไข่ยังปกติ จะมีการสร้างฮอร์โมน เอสโตรเจนไปกระ ตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นเมื่อได้รับฮอร์โมนโปรเจสติน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เยื่อบุโพรงมดลูกแล้วหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือนเลียนแบบธรรมชาติ นาน 3-7 วัน
แต่หากหลังหยุดรับประทานยาแล้วไม่มีประจำเดือนออก สาเหตุอาจเกิดจากรังไข่ทำงานไม่ดี ไม่สามารถกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวได้ หรือมีความผิดปกติที่ช่องทางออกของประจำเดือน ต้องมีการทดสอบต่อไป
โดยให้ฮอร์โมน เอสโตรเจน + ฮอร์โมนโปรเจสติน เรียกว่า Estrogen –Progestin challenge test หรือสามารถให้เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวมไปรับประทานแทนก็ได้ ประมาณ 15-20 วัน เมื่อยาหมด 2-3 วัน สังเกตว่ามีเลือดประจำเดือนออกมาหรือไม่ ถ้ามีประจำเดือนมา แสดงว่า ขาดฮอร์โมนจากรังไข่ อาจเกิดจากรังไข่ไม่ทำงาน ต้องหาสาเหตุต่อไป และพิจารณาให้ฮอร์โมนทดแทนต่อไป
แต่หากไม่มีเลือดประจำเดือนมา แสดงว่าน่าจะมีการอุดตันหรือขัดขวางทางออกของเลือดประจำเดือน ที่อาจเกิดจากตัวมดลูกมีพังผืดหรือตีบ ซึ่งต้องหาสาเหตุต่อไป
นอกจากนี้หากมีอาการอื่นที่ชวนสงลัยว่าเป็นโรคของต่อมไทรอยด์ เช่น ต่อมต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือทำงานน้อยกว่าปกติ (ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน) ก็ต้องตรวจดูการทำงานของต่อมไทรอยด์ และรักษาไปตามแนวทาง
หรือหากมีน้ำนมไหล ต้องตรวจฮอร์โมน Prolactin และรักษาไปตามแนวทางของสาเหตุนั้นๆ
ภาวะขาดประจำเดือนที่ไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์มีผลข้างเคียงไหม?
ผลข้างเคียงที่เกิดจากภาวะขาดประจำเดือนที่ไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ไม่เป็นประจำเดือน หากเกิดจากรังไข่ไม่ทำงานก็จะมีอาการคล้ายคนวัยหมดประจำเดือน เช่น มีอาการร้อนวูบวาบตามตัว แต่หากเกิดจากเยื่อบุมดลูกบางจนไม่มีเลือดออก (จากการขูดมดลูก การฉีดยาคุมกำเนิด) ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกติ
แต่สาเหตุที่พบบ่อยในวัยรุ่น ที่เกิดการขาดประจำเดือนคือ ไม่มีการตกไข่ ฮอร์โมนเอส โตรเจน จึงกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญไปเรื่อยๆ อาจทำให้เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกเปลี่ยน แปลงแบ่งตัวมากผิดปกติ เป็นสาเหตุให้มีเลือดออกจากโพรงมดลูกเป็นกะปริดกะปรอยได้
ภาวะขาดประจำเดือนที่ไม่ได้เกิดจากตั้งครรภ์ รักษาหายไหม? จะมีบุตรได้ไหม?
สาเหตุที่พบบ่อยในวัยรุ่นที่เกิดภาวะขาดประจำเดือนที่ไม่ใช่เกิดจากการตั้งครรภ์ คือ Polycystic ovarian syndrome (PCOS) เกิดจากความไม่สมดุลทางฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนเพศชายจะสูงกว่าในสตรีทั่วไป หน้าเป็นสิว ผิวมัน ทำให้ไม่มีการตกไข่ ทำให้ไม่มีการสร้างฮอร์ โมนโปรเจสเตโรน ที่จะมาทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นเลือดประจำเดือน
นอกจากนั้นกลไกการเกิดภาวะนี้อาจเกิดจากการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin, ฮอร์โมนจากตับอ่อน ที่ควบคุมการใช้แป้งและน้ำตาลของร่างกาย) ไม่มีประสิทธิภาพพอ (Insulin resistance) และคนเหล่านี้ส่วนมากมักมีโรคอ้วน มีน้ำหนักตัวเกินซึ่งการรักษาสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น ให้ยาต้านโรคเบาหวาน การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด
แต่หากต้องการจะมีบุตร แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยากระตุ้นการตกไข่ แทนการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ก็อาจสามารถตั้งครรภ์ได้
ภาวะขาดประจำเดือนที่ไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์รุนแรงไหม? จำเป็นต้องพบแพทย์ไหม? ดูแลตนเองได้ไหม?
เมื่อประจำเดือนที่เคยมาเป็นประจำเกิดขาดหายไป หากตรวจปัสสาวะแล้วไม่พบว่ามีการตั้งครรภ์ ก็ต้องกลับมาหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไรกันแน่ เครียดมากไปหรือไม่ น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือไม่ ซึ่งล้วนมีผลต่อระดับฮอร์โมนที่ควบคุมการมีประจำเดือน หรือเรามีอาการผิดปกติอื่นๆ ที่อาจเป็นโรคอื่นหรือไม่ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
หากทุกอย่างปกติ น่าจะไม่มีโรคร้ายแรงอะไร ไม่ควรกังวลใจมากเกินไป บางคนคิดว่าอาจมีเลือดประจำเดือนค้างอยู่ภายในแล้วจะเป็นอันตราย ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เราสามารถรอสังเกตอาการอีก 2-4 สัปดาห์ ประจำเดือนอาจสามารถกลับมาเป็นปกติได้
แต่หากนานเกิน 3 เดือนแล้วยังไม่มีประจำเดือนมา ควรปรึกษาแพทย์/สูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ ที่อาจรุนแรงได้