เนื้องอกมดลูก (Myoma uteri)


1,184 ผู้ชม


ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :

มดลูก  ระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี 

อาการที่เกี่ยวข้อง :

ปัสสาวะบ่อย 

เนื้องอกมดลูกคืออะไร?

เนื้องอกมดลูก (Myoma uteri หรือ Uterine fibroid) ไม่ใช่มะเร็ง แต่เป็นโรคของกล้าม เนื้อมดลูกที่มีการเจริญมากขึ้นผิดปกติจนเกิดเป็นเนื้องอก ทำให้มดลูกมีขนาดที่โตขึ้น ก้อนเนื้องอกอาจมีขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดถั่ว หรือมีขนาดใหญ่เท่ากับผลแตงโม ก้อนเนื้องอกนี้สามารถพบได้ในทุกที่ของมดลูกและมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันตามตำแหน่งที่พบ ดังต่อไปนี้

  1. เนื้องอกที่กล้ามเนื้อ (Intramural fibroid) คือเนื้องอกที่ตำแหน่งก้อนเนื้องอกโตขึ้นภายในกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด
  2. เนื้องอกมดลูกที่ผิวด้านนอกมดลูก (Subserosal fibroid) คือเนื้องอกที่ตำแหน่งก้อนเนื้องอกโตขึ้นและดันออกมาที่ผิวด้านนอกของมดลูก
  3. เนื้องอกมดลูกที่โพรงมดลูก (Submucosal fibroid) คือเนื้องอกที่ตำแหน่งก้อนเนื้องอกโตขึ้นและดันเข้ามาในโพรงมดลูก และ
  4. เนื้องอกมดลูกชนิดมีก้านยื่น โดยตำแหน่งก้อนเนื้องอกซึ่งโตขึ้นอาจดันพ้นออกมาที่ผิวด้านนอกของมดลูกหรืออาจดันเข้ามาในโพรงมดลูก ตัวก้อนเนื้องอกจะยึดติดกับมดลูกด้วยก้านเล็กๆ (Intracavitary fibroid)

เนื้องอกมดลูกพบได้มากน้อยเพียงใด?

เนื้องอกมดลูกเป็นโรคที่พบได้บ่อย ในสตรี 4 คนจะพบว่ามี 1 คนเป็นเนื้องอกมดลูกโดยมักพบในวัยเจริญพันธุ์ (วัยยังมีประจำเดือน) และพบบ่อย ในช่วงอายุ 30-50 ปี ในผู้ที่ไม่เคยมีบุตร ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากโดยเฉพาะมากกว่า 70 กิโลกรัม และในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเนื้องอกมดลูก ส่วนในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วมักไม่เป็นเนื้องอกมดลูก

ผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูก มักจะมีก้อนเนื้องอกจำนวนหลายๆก้อนและมีขนาดต่างๆกัน อย่าง ไรก็ตาม ในบางรายอาจพบว่า มีเนื้องอกเพียงก้อนเดียวได้

สาเหตุของการเกิดเนื้องอกมดลูกคืออะไร?

เนื้องอกมดลูกเป็นโรคที่มีการเจริญมากผิดปกติของกล้ามเนื้อมดลูก สาเหตุของการเกิดโรคที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าการเติบโตของเนื้องอกมีความสัมพันธ์กับระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่ ในขณะตั้งครรภ์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับที่สูงขึ้น เนื้องอกมดลูกส่วนใหญ่ก็มักจะมีขนาดโตขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วย ส่วนในวัยหลังหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับลดต่ำลงมาก เนื้องอกมดลูกก็มักจะฝ่อตัวเล็กลงในวัยนี้ สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง

อาการและปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากเนื้องอกมดลูกมีอะไรบ้าง?

เนื้องอกมดลูกนั้น เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงและไม่ใช่โรคมะเร็ง โอกาสในการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมะเร็งในอนาคตเกิดขึ้นน้อยกว่า 1% อย่างไรก็ตาม ก้อนเนื้องอกมดลูกในบางตำ แหน่งและขนาดที่ใหญ่อาจไปกดอวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต หรือลำไส้ และทำให้เกิดอาการหรือความผิดปกติตามมาได้ เช่น ปัสสาวะบ่อย การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การทำงานของไตบกพร่อง และท้องผูก เป็นต้น

ในกลุ่มผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูกจะมีเพียงประมาณ 50% ที่จะมีอาการของโรคเกิดขึ้น ดังนั้นผู้หญิงที่มีเนื้องอกมดลูกหลายๆคนจึงไม่ทันรู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคเนื้องอกมดลูกแล้ว ทั้งนี้เพราะไม่มีอาการ หรือความผิดปกติทางร่างกายปรากฏให้เห็นนั่นเอง ดังนั้นเราจึงพบได้บ่อยครั้งว่า ผู้ หญิงรู้ตัวว่าเป็นเนื้องอกมดลูกก็เมื่อเข้ารับการตรวจร่างกายประจำปี ไม่ว่าจะเป็นการตรวจภาย ในหรือการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องหรือทางช่องคลอดก็ตาม ซึ่งเมื่อมีอาการ อาการของเนื้องอกมดลูกที่พบมีดังต่อไปนี้

การป้องกันการเกิดเนื้องอกมดลูกทำได้อย่างไรบ้าง?

ในปัจจุบัน สาเหตุของการเกิดเนื้องอกมดลูกยังไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ดี ฮอร์โมนเอส โตรเจนน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเนื้องอกมดลูก มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าเนื้องอกมดลูกนั้น เป็นโรคหนึ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ดังนั้นการป้องกันการเกิดโรคในบางครั้งอาจทำได้ค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม แนวทางในการป้องกันอาจทำได้ดังนี้

  1. วิธีคุมกำเนิด ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเนื้องอกมดลูก หากต้องการคุมกำเนิด อาจเลือกการใส่ห่วงหรือใช้ถุงยางอนามัยหรือการใช้ยาฉีด ยาฝัง ที่มีฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) แทนการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
  2. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะดังกล่าวแล้วว่า โรคนี้พบได้สูงขึ้นในคนมีน้ำหนักตัวเกิน
  3. รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เพราะไขมันจะเป็นแหล่งในการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นถ้ามีปริมาณไขมันในร่างกายเพิ่มพูนมากขึ้น ปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะมากขึ้นด้วย
  4. ออกกำลังกายแบบแอโรบิค 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งจะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์ โมนได้
  5. ลดหรือหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น แยม (Jam) หรือเจลลี (Jelly) บางชนิด ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง หรือสมุนไพรบางชนิด เช่น โสมบางชนิด

การวินิจฉัยเนื้องอกมดลูกทำได้อย่างไร?

การตรวจวินิจฉัยเนื้องอกมดลูกทำได้หลายวิธี วิธีที่เป็นที่นิยม ได้แก่ การตรวจภายในโดยสูตินรีแพทย์ และการตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องหรือทางช่องคลอด การทำอัลตราซาวด์นั้น จะช่วยบอกว่า อาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือก้อนที่คลำได้จากการตรวจนั้น เกิดจากเนื้องอกมดลูกจริง ไม่ใช่โรคหรือก้อนที่เกิดจากโรคอื่น

วิธีการรักษาเนื้องอกมดลูกมีอะไรบ้าง?

แนวทางการรักษาเนื้องอกมดลูก ได้แก่

  1. การสังเกตอาการ การรักษาด้วยวิธีนี้จะทำในกรณีที่เนื้องอกมดลูกไม่ได้ก่อให้เกิดอาการหรือความผิดปกติกับร่างกาย ในผู้ป่วยหลายๆราย ถึงแม้จะมีอาการ หรือความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายบ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงใดๆทั้งต่อการดำเนินชีวิต ประจำวัน หรือต่อสุขภาพในระยะยาว ก็อาจเลือกรักษาด้วยการสังเกตอาการได้ ทั้งนี้เพราะก้อนเนื้องอกที่พบจะมีขนาดเล็กลงหรือฝ่อตัวลงได้เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ดังนั้นอาการหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็จะหายไปด้วยในที่สุด ในช่วงเวลาของการสังเกตอาการนี้ สูตินรีแพทย์อาจทำการนัดตรวจเป็นระยะทุก 3-6 เดือน โดยอาจตรวจภายใน หรืออัลตราซาวด์ร่วมด้วย และในช่วงการติดตามนี้หากผู้ป่วยมีอาการ หรือมีความผิดปกติรุนแรงขึ้น หรือก้อนเนื้องอกโตขึ้นเร็ว สูตินรีแพทย์ก็อาจแนะนำให้ทำการรักษาด้วยวิธีอื่นต่อไปตามความเหมาะสม
  2. การใช้ยารักษา ในปัจจุบัน ทางการแพทย์ไม่มียาที่สามารถจะรักษาเนื้องอกมดลูกให้หายขาดได้ ยาที่ใช้ทั่วไปจะเป็นยาที่ช่วยทำให้อาการต่างๆดีขึ้น หรือช่วยให้ก้อนเนื้องอกลดขนาดลงชั่วคราว
    1. การใช้ยารักษาเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาที่ใช้ลดปริมาณประจำเดือน ซึ่งอาจใช้ได้ผลดีในบางรายแต่มักจะไม่ได้ผลในรายที่มีก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่ๆ
      1. Tranexamic acid รับประทาน 3-4 ครั้งต่อวัน ตลอดช่วงที่กำลังมีประจำเดือนจะสามารถช่วยลดปริมาณประจำเดือนลงได้
      2. ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory medicines) เช่น Ibuprofen และ Mefenamic acid ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เมื่อรับประทานยา และสามารถใช้ยาเฉพาะในวันที่มีอาการปวดประจำเดือนเท่านั้นก็ได้ ยาในกลุ่มนี้จะช่วยลดระดับของสารพรอสต้าแกลนดิน (Prostaglandin) ในโพรงมดลูก
      3. ยาเม็ดคุมกำเนิด จะช่วยลดทั้งปริมาณและอาการปวดประจำเดือน
      4. การใส่ห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเทรลบรรจุอยู่ในห่วง (Levonorgestrel intrauterine system;LNG-IUS) เข้าไปในโพรงมดลูก การใส่ห่วงอนามัยชนิดนี้ภายในโพรงมดลูกจะก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนโปรเจสโตเจน (Progestrogen) ที่มีชื่อเรียกว่าลีโวนอร์เจสเทรลออกจากห่วงทีละน้อยๆอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลง จึงสามารถช่วยลดปริมาณประจำเดือนลงได้ อย่างไรก็ตาม การใส่ห่วงชนิดนี้ในผู้ที่มีเนื้องอกอาจทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากก้อนเนื้องอกอาจขวางทาง ทำให้ใส่ห่วงได้ยากกว่าปกติ
    2. การใช้ยารักษาเพื่อให้ก้อนเนื้องอกมีขนาดเล็กลง เช่น การใช้ยาที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนที่กระตุ้นให้มีการหลั่งของโกนาโดโทรปิน มีชื่อเรียกว่า gonadotrophin-releasing hormone (GnRH) analogue ยาตัวนี้จะทำให้ระดับเอสโตรเจนในร่างกายลดลง ก้อนเนื้องอกจึงยุบลงได้ จึงทำให้อาการผิดปกติต่างๆที่พบ เช่นประจำเดือนมามาก ปวดประจำเดือน หรืออาการที่ก้อนเนื้องอกไปกดทับอวัยวะต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะไส้ตรง หรือทวารหนักหายไปในขณะที่ใช้ยา อย่างไรก็ตาม การที่ระดับเอสโตรเจนลดลงนั้นก็ทำให้เกิดอาการต่างๆเหมือนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมาก อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อระบบอื่นๆของร่างกาย ที่สำคัญคือ ทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วจนอาจทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ ดังนั้นการใช้ยาตัวนี้จึงควรใช้ไม่นานเกิน 6 เดือน

    โดยทั่วไปแล้ว การใช้ยาในกลุ่มนี้มักใช้เพียงชั่วคราว 3-6 เดือน เพื่อช่วยลดขนาดของก้อนและทำให้สามารถทำการผ่าตัดได้ง่ายขึ้น

  3. การผ่าตัดรักษา ในปัจจุบันการผ่าตัดรักษาทำได้หลายวิธี ดังนี้
    1. การตัดมดลูก เป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่ใช้กันมานาน และเป็นวิธีที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน นิยมใช้ในการรักษาเนื้องอกมดลูกที่ก่อให้เกิดอาการ หรือความผิดปกติของร่างกาย และเป็นการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่บุตรเพียงพอแล้ว
    2. การตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก (Myomectomy) เป็นวิธีที่นิยมในผู้ที่ยังต้องการมีบุตรในอนาคต การผ่าตัดนี้จะเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออกแต่ยังเหลือมดลูกไว้ อย่างไรก็ดี การผ่าตัดด้วยวิธีนี้อาจไม่ประสบความสำเร็จในทุกคน บางรายหากมีการเสียเลือดมากอาจต้องลงท้ายด้วยการตัดมดลูก การผ่าตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออกนี้ อาจทำได้โดยการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ผ่าตัดผ่านกล้องส่องทางหน้าท้อง (การผ่าตัดผ่านทางกล้อง) หรือการผ่าตัดผ่านกล้องส่องผ่านเข้าไปในโพรงมดลูก การจะผ่าตัดในลักษณะใดขึ้นกับขนาด จำนวนและตำแหน่งของก้อนเนื้องอก ตลอดจนความชำนาญของแพทย์และความพร้อมของอุปกรณ์ในแต่ละสถาน ที่ให้บริการ สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การกลับเป็นซ้ำของเนื้องอกภายหลังจากการผ่าตัดแล้ว พบได้ค่อนข้างบ่อย
    3. การทำให้หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงมดลูกและก้อนเนื้องอกเกิดการอุดตัน (Uterine artery embolisation) การรักษาด้วยวิธีนี้ให้การรักษาโดยรังสีแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทาง วิธีการรักษาทำโดยการใช้สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาแล้วสอดต่อไปยังหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงมดลูก แล้วสอดต่อไปยังหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงเฉพาะก้อนเนื้องอกด้วย โดยใช้ภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ช่วยนำทางในการสอดสายสวน หลังจากที่ได้ตำแหน่งหลอดเลือดแดงที่ต้องการ รังสีแพทย์ก็จะฉีดสารเข้าไปในสายสวนเพื่อก่อให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้องอก ทำให้ก้อนเนื้องอกขาดเลือดและลดขนาดลงในที่สุด ซึ่งโดยส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาประมาณ 6-9 เดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมักจะสังเกตว่าอาการที่เคยเป็นมักจะดีขึ้นภายใน 3 เดือน อย่างไรก็ดี อาจมีผู้ป่วยบางรายที่ไม่หายจากการรักษาด้วยวิธีนี้
  4. วิธีรักษาอื่นๆ การรักษาโดยใช้เลเซอร์ (Laser) หรือคลื่นเสียงความถี่ต่ำทำลายก้อนเนื้องอกขณะที่ใช้การเอ็กซ์เรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance imaging;MRI) ช่วยในการระบุตำแหน่งในการแทงเข็มผ่านผิวหนังเข้าไปที่ตรงกลางของก้อนเนื้องอก จัดเป็นวิ ธีการใหม่ที่ใช้ในการรักษา โดยพลังงานจากเลเซอร์ หรือจากคลื่นเสียงความถี่ต่ำ จะถ่ายทอดผ่านเข็มดังกล่าวเข้าไปทำลายก้อนเนื้องอก วิธีการนี้ไม่สามารถใช้ได้กับเนื้องอกมดลูกทั้งหมด และในปัจจุบันประโยชน์ และโทษจากการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวก็ยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเจน

ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อสงสัยเป็นเนื้องอกมดลูก?

ในผู้หญิงปกติที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปี และหนึ่งในขั้นตอนของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก สูตินรีแพทย์ส่วนใหญ่ก็มักจะตรวจภายในเพื่อตรวจหาความผิดปกติของมดลูกและปีกมดลูกให้ด้วย ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูกมีเพียง 50% ที่จะมีอาการผิดปกติ ดังนั้นการตรวจภายในประจำปีจะสามารถช่วยวินิจฉัยเนื้องอกมดลูกในกลุ่มที่ไม่มีอาการผิดปกติได้

สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนผิดปกติ หรือมีลักษณะเลือดประจำเดือนออกเป็นก้อนจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปวดประจำเดือนมากกว่าที่เคยเป็น หรือมีอาการปวดร้าวไปที่ตำแหน่งอื่นทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรืออาจคลำได้ก้อนในท้อง ท้องอืด หรือท้องโตขึ้น ควรรีบปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจภายใน หรืออัลตราซาวด์เพื่อการวินิจฉัยโรค

สำหรับผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูกแล้ว และตัดสินใจที่จะรักษาโดยการสังเกตอาการ อาการที่ต้องสังเกตและรายงานต่อแพทย์สำหรับการนัดตรวจครั้งต่อไป คือ ปริมาณและลักษณะของประจำเดือน อาการปวดประจำเดือน การขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ตลอดจนอาการปวดท้อง และการโตขึ้นของก้อนเนื้องอกหากสามารถคลำได้ด้วยตนเอง
ที่มา   https://haamor.com/th/เนื้องอกมดลูก/

อัพเดทล่าสุด