ทั่วไป
โดยทั่วไป คนเราสามารถควบคุมการถ่ายปัสสาวะหรือรอโอกาสที่จะปลดปล่อยปัสสาวะในสถานที่และในเวลาที่เหมาะสมได้ เมื่อมีความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ จะมีการส่งกระแสประสาทไปที่สมอง สมองจะประมวลผลและส่งกระแสประสาทกลับมาที่กระเพาะปัสสาวะ ให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวพร้อมๆกับสั่งให้หูรูดท่อปัสสาวะเปิดออก เราก็จะถ่ายเป็นปัสสาวะออกมา จากนั้นหูรูดท่อปัสสาวะก็จะปิดดังเดิมเป็นประตูคอยกลั้นไม่ให้ปัสสาวะเล็ดออกมาในขณะที่ไตจะผลิตน้ำปัสสาวะลงไปในกระเพาะปัสสาวะตลอดเวลาเพื่อรอการปล่อยออกของปัสสาวะในรอบต่อไป หากมีสิ่งใดไปทำให้ระบบนี้เสียไป เช่น ระบบประสาทการสั่งการบีบตัวกระเพาะปัสสาวะ การปิดเปิดของหูรูดท่อปัสสาวะ ผิดปกติ ก็จะมีผลต่อการควบคุมการถ่ายปัสสาวะ
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีคืออะไร?
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรี (Urinary incontinence) คือการที่สตรีผู้นั้นไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ตามที่ต้องการ ไม่สามารถกลั้นหรือหยุดยั้งการไหลของปัสสาวะในเวลาหรือในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม น้ำปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีผลกระทบต่อสตรีอย่างไร?
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ พบได้บ่อยในสตรีสูงอายุ อุบัติการณ์พบได้ประมาณ 25% และเป็นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น แต่สตรีส่วนมากคิดว่าเป็นภาวะปกติของสตรีในวัยนี้ จึงยอมรับว่าเป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่เป็นปัญหา อุบัติการณ์ที่รายงานจึงมักต่ำกว่าปกติมาก การปัสสาวะบ่อยมาก ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ จะมีผลกระทบชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในตนเองเพราะมีปัสสาวะราด ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทำให้ไม่อยากออกงานสังคม เพราะเกรงจะเกิดความอับอาย
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีกี่ประเภทและสาเหตุมีอะไรบ้าง?
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีหลายประเภท ได้แก่
- Stress incontinence (ปัสสาวะเล็ดเมื่อ ไอ จาม) มีลักษณะ คือ เวลาไอ จาม หรือเมื่อมีการเพิ่มของความดันในช่องท้อง (เช่น ยกของหนักเป็นประจำ หรือท้องผูกเรื้อรัง) จะทำให้มีน้ำปัสสาวะเล็ดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ สาเหตุมักเกิดจากการปิดของหูรูดของท่อปัสสาวะไม่ดี เนื่องจากมีการหย่อนยานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่จะช่วยพยุงบริเวณคอกระพาะปัสสาวะตามอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- Urge incontinence (ปัสสาวะรด เมื่อปวดปัสสาวะ) มีลักษณะ คือ เวลารู้สึกปวดปัสสาวะ จะราดทันที มักไม่สามารถกลั้นจนไปเข้าห้องน้ำได้ทัน สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานไม่ปกติ
- Overflow incontinence (ปัสสาวะรดโดยไม่ปวดปัสสาวะ) มีลักษณะ คือ เมื่อกระเพาะปัสสาวะโป่งมากจากปริมาณน้ำปัสสาวะที่มากขึ้น เนื่องจากการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการบีบรัดตัวของกระเพาะปัสสาวะเสียไปปัสสาวะก็จะท้นออกมา จะพบในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนานๆ หรือผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุบริเวณไขสันหลัง ทำให้เสันประสาทที่ไปเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะเสียไป
- True incontinence (กระเพาะปัสสาวะมีรูรั่ว) มีลักษณะ คือ จะมีน้ำปัสสาวะไหลออกมาตลอดเวลา ไม่สามารถกลั้นได้ สาเหตุหากไม่ใช่เป็นมาแต่กำเนิดที่มีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว มักเป็นภาวะจากการผ่าตัดมดลูกแล้วมีภยันตรายต่อกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดช่องเชื่อมต่อกันระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับช่องคลอด (Vesico-vaginal fistula) หรืออาจเกิดจากการลุกลามของมะเร็งปากมดลูกไปที่กระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดรูรั่วขึ้
- Mixed incontinence (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หลายรูปแบบร่วมกัน) เป็นความผิดปกติหลายๆอย่างร่วมกัน ทั้ง Stress incontinence และ Urge incontinence
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีมีอะไรบ้าง?
ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีหลายอย่าง ได้แก่
- การคลอดบุตร เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ การคลอดจะทำให้เกิดการฉีกขาดของเส้นประสาทของกล้ามเนื้อหูรูด และของกล้ามเนื้อกระบังลมในอุ้งเชิงกราน (กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่างๆในอุ้งเชิงกราน) ทำให้เกิดอุ้งเชิงกรานหย่อน
- อายุมาก ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จากรังไข่จะลดลง ทำให้ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อต่างๆเสียไป
- การไอ หรือท้องผูกเรื้อรัง จะเพิ่มความดันในช่องท้อง
- โรคอ้วน
วิธีการค้นหาสาเหตุของการการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรี มีอะไรบ้าง?
แพทย์วินิจฉัยสาเหตุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้จาก
- การตรวจปัสสาวะ (Urine analysis หรือเรียกย่อว่า UA) เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ) หรือไม่ เพราะหากมีการติดเชื้อจะทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยได้ ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นที่จำเป็น ทำได้ง่าย ราคาไม่แพง หากพบว่ามีการติดเชื้อต้องให้ยาปฏิชีวนะรักษาตามสาเหตุ
- การถ่ายภาพรังสี/เอกซเรย์ของระบบทางเดินปัสสาวะ (Film KUB) เพื่อดูว่ามี นิ่วในไต นิ่วในท่อไต หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือไม่
- การจดบันทึกการปัสสาวะประจำวัน (Voiding diary) หากการสืบค้นขั้นพื้นฐานไม่พบความผิดปกติ ขั้นต่อไปแพทย์จะให้ผู้ป่วยกลับไปบันทึกเกี่ยวกับประวัติการดื่มน้ำ การรับประทานอาหาร การขับถ่ายปัสสาวะประมาณ 2-3 วัน เพื่อนำมาประกอบการวิเคราะห์ และวินิจฉัยโรค
- การตรวจพลศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ (Urodynamic study) เป็นการตรวจการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของการทำงาน จะมีการใส่น้ำเข้าไปในกระปัสสาวะ แล้ววัดการเปลี่ยนแปลงของความดันในกระเพาะปัสสาวะ และอัตราการไหลของปัสสาวะในระยะต่างๆ เช่น ตอนรู้สึกเริ่มปวดปัสสาวะ และตอนอยากปัสสาวะมากที่สุด เพื่อนำมาช่วยในการวินิจฉัยโรค
ควรดูแลตนเองอย่างไร?
กรณีที่มีอาการปัสสาวะเล็ดเมื่อ ไอ จาม (Stress incontinence) ไม่มาก การดูแลตนเองเบื้องต้นเป็นสิ่งจำเป็น ประกอบด้วย
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
- การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยการฝึกทำ Kegel exercise หรือการขมิบช่องคลอดนั่นเอง การทำไปนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อที่พยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแข็งแรง ช่วยพยุงบริเวณหูรูดปัสสาวะให้แข็งแรงขึ้น วิธีการทำมีดังนี้
- ครั้งแรกให้ฝึกขมิบช่องคลอดเพื่อหยุดปัสสาวะขณะที่กำลังถ่ายปัสสาวะ แล้วจำความรู้สึกนั้นไว้ (มีข้อห้ามที่ไม่ควรฝึกขมิบหลังตื่นนอนทันที เพราะมีน้ำปัสสาวะคั่งมาตลอดคืน)
- ต่อไปฝึกขมิบช่องคลอด โดยขมิบแล้วกลั้นไว้ นับ 1 ถึง 10 ต่อจากนั้นให้คลายการขมิบ นับเป็น 1 ครั้ง ทำเป็นชุดๆละ 30 ครั้ง เวลาใดก็ได้ที่สะดวก ทำ 3 เวลาต่อวัน นาน 3-6 เดือน
ทั้งนี้ หากดูแลปฏิบัติด้วยตนเองไป 6 เดือนแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น สมควรที่จะไปพบแพทย์/สูตินรีแพทย์
กรณีที่มีอาการ ปัสสาวะรดเมื่อปวดปัสสาวะ (Urge incontinence) แต่อาการยังไม่มาก นอกจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการทำ Kegel exercise แล้ว ควรทำการฝึกการทำงานกระเพาะปัสสาวะ หรือยืดเวลาในการขับถ่าย (Bladder training) ให้เกิดความเคยชินในการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ โดยให้บีบตัวหรือขับถ่ายให้เป็นเวลาตามที่เรากำหนด คือเมื่อรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะให้ลองกลั้นไว้สัก 5 นาทีก่อน แล้วจึงไปปัสสาวะ ฝึกทุกครั้งให้กระเพาะปัสสาวะเริ่มชิน แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาทีละ 5 นาทีไปเรื่อยๆ จนเกือบเท่าคนปกติ หากไม่สำเร็จ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับประทานยาร่วมด้วย
กรณีปัสสาวะรดโดยไม่ปวดปัสสาวะ (Overflow incontinence) และ/หรือ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในหลายรูปแบบ (Mixed incontinence) ควรต้องพบแพทย์แต่แรก ซึ่งแพทย์จะให้คำแนะนำรักษาดูแลผู้ป่วยเป็นรายๆไป ตามความรุนแรงของอาการ สาเหตุ และดุลพินิจของแพทย์
กรณีที่เป็นการปัสสาวะไหลตลอดเวลาจากกระเพาะปัสสาวะมีรูรั่ว (True incontinence) ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดรักษา ไม่มีการการรักษาด้วยตนเอง
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
หากผู้ป่วยมีการฝึกพฤติกรรมเต็มที่แล้ว ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ยังไม่บรรเทา ควรที่จะไปพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่เหมาะสม
การรักษาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีมีอะไรบ้าง?
วิธีการรักษาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีหลายวิธี คือ
- การรักษาด้วยการทำพฤติกรรมบำบัดตามที่กล่าวมาแล้ว เบื้องต้น ต้องทำควบคู่กับการรักษาแบบอื่นๆร่วมไปด้วยเสมอ และทำไประยะยาว ตลอดชีวิต
- การรักษาด้วยยา
- ยาในกลุ่ม Anticholinergic drug โดยยาจะไปยับยั้งการบีบรัดตัวของกระเพาะปัสสาวะ เช่น Oxybutynin chloride, Tolteridine, Flavoxate, และTrospium chloride
- ยาในกลุ่ม Tricyclic depressants โดยยาจะไปออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
- ยาในกลุ่ม Calcium channel blockerโดยยาจะทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่หดรัดตัว
- ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
- การใส่วงแหวนพยุงในช่องคลอด (Vaginal pessary) เคยมีการใช้ในสมัยก่อนและหยุดใช้ไป ปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ใหม่ จะเป็นวงยางนิ่มๆ มีหลายขนาด ที่ใส่เข้าไปในช่องคลอด ค้างไว้และนำออกมาล้างและใส่เข้าไปใหม่ทุกวัน ส่วนมากจะได้ผลในกรณีที่มีการหย่อนของมดลูก หรือของช่องคลอดร่วมด้วย สามารถใช้ได้ในผู้ป่วยที่ไม่อยากหรือมีข้อห้ามในการผ่าตัด
- การผ่าตัด เป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยที่เป็น Stress incontinence มีหลากหลายวิธี ได้แก่
- การเย็บช่องคลอด (Anterior colporrhaphy with Kelly plication)
- การเย็บบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ (Retropublic colposuspension)
- การคล้องบริเวณท่อปัสสาวะด้วยเส้นเทป (Tension free vaginal tape)
- การกระตุ้นประสาทกระเพาะปัสสาวะด้วยไฟฟ้า
- การฝังเข็ม
ป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้อย่างไร?
ไม่มีสตรีคนใดอยากมีปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะราด เพราะจะทำให้อับอาย หรือไม่สะดวกในการเข้าสังคม วิธีการป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ได้แก่
- ดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มกาเฟอีน เพราะจะทำให้มีปริมาณปัสสาวะมาก เช่น ชา กาแฟ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ป้องกันการไอเรื้อรัง
- รับประทานผัก ผลไม้มากๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก ที่จะไปเสริมแรงดันช่องท้องขณะเบ่งถ่าย
- ควรลดน้ำหนัก หากมีโรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน
- บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise) โดยการฝึกขมิบช่องคลอดตามที่กล่าวมาแล้ว ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและเป็นระยะเวลานาน ควรบริหารตั้งแต่อายุยังน้อย สามารถบริหารได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ ไปจนถึงหลังคลอด จะให้ผลดีกว่าการไปรอบริหารเมื่อหลังคลอด หรือตอนเป็นผู้สูงอายุแล้ว