ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :
อวัยวะเพศชาย อวัยวะเพศหญิง ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ชาย ระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรีอาการที่เกี่ยวข้อง :
การคุมกำเนิดคืออะไร?
การคุมกำเนิด หรือการป้องกันการตั้งครรภ์ (Contraception) คือ การป้องกันไม่ให้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น โดยมีกลไกในการป้องกันการตั้งครรภ์หลายกลไก เช่น การป้องกันไม่ให้มีการตกไข่ การป้องกันไม่ให้ไข่กับอสุจิเกิดการปฏิสนธิ และการป้องกันไม่ให้มีการฝังตัวของตัวอ่อนในโพรงมดลูก
ประเภทของการคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?
วิธีการคุมกำเนิดมีมากมายหลายชนิด สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทแล้วแต่เกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งประเภท ทั้งนี้ ในที่นี้แบ่งตามระยะเวลาในการคุมกำเนิด โดยแบ่งออกเป็น
- การคุมกำเนิดชั่วคราว เป็นวิธีคุมกำเนิดที่ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะมีอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อหยุดใช้ จะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้เอง เหมาะสำหรับผู้ที่ยังต้องการมีบุตรในอนาคต
- การคุมกำเนิดถาวร เป็นวิธีคุมกำเนิดที่ทำครั้งเดียว สามารถคุมกำเนิดได้ตลอด ไม่สามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้เองอีก เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการมีบุตรอีกแล้ว
ชนิดของการคุมกำเนิดชั่วคราวมีอะไรบ้าง?
- ถุงยางอนามัยบุรุษ
ผลิตจากยางลาเทค (Latex) หรือบางชนิดผลิตจากยางเทียม (Polyurethane) คุมกำเนิดโดยการสวมใส่ที่องคชาตเพศชายขณะแข็งตัว เป็นการป้องกันไม่ให้เชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อปฏิสนธิกับไข่ ทำให้ไม่มีการตั้งครรภ์ ซึ่งพบอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ ประมาณ 2-15%
- ข้อดี: หาซื้อได้ง่าย ไม่มีความเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนในร่างกาย สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- ข้อเสีย: ต้องอาศัยความร่วมมือของฝ่ายชาย อาจขัดจังหวะการร่วมเพศ มีโอกาสที่จะแตกรั่วได้ ถุงยางชนิด Latex ไม่สามารถใช้กับวัสดุหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพราะจะทำให้เพิ่มโอกาสเกิดการรั่วการแตกของถุงได้ และต้องใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ถุงยางอนามัยสตรี
เป็นถุงปลายตัน ผลิตจากยางเทียม Polyurethane คุมกำเนิดโดยการใส่คลุมในช่องคลอดสตรี ป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก ไม่เป็นที่นิยม และหาซื้อได้ยาก ซึ่งพบอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ได้ประมาณ 5-12%
- ข้อดี: สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ สามารถใช้ร่วมกับเจลหล่อลื่นที่เป็นน้ำมันได้ และไม่เกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนในร่างกาย
- ข้อเสีย: หาซื้อได้ยาก ขัดจังหวะการร่วมเพศ และต้องใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
เป็นวิธีคุมกำเนิดที่แพร่หลาย มีผู้นิยมใช้มากที่สุด มีความสะดวกในการใช้ ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen) และโปรเจสติน (Progestin) มีผลยับยั้งการตกไข่ ทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้นทำให้อสุจิไม่สามารถผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกได้ และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งพบอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ได้ประมาณ 0.3-8%
- ข้อดี: ทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ลดปริมาณเลือดประจำเดือน ลดอาการปวดประจำเดือน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงในการเกิดอุ้งเชิงกรานอัก เสบ (การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน) นอกจากนั้น เมื่อหยุดใช้ ยังสามารถตั้งครรภ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น
- ข้อเสีย: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน อายุมากกว่า 35 ปีที่สูบบุหรี่ (เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ) ผู้ที่มีข้อห้ามใช้ฮอร์โมน และอาจพบผลข้างเคียง เช่น เลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย และคัดตึงเต้านม
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดโปรเจสตินอย่างเดียว
ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงชนิดเดียว มีกลไกทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น อสุจิไม่สามารถเคลื่อนผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกได้ และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งพบอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ยาได้ประมาณ 0.3-8%
- ข้อดี: สามารถใช้ในผู้ที่กำลังให้นมบุตรได้ เนื่องจากไม่มีผลต่อปริมาณและคุณภาพของน้ำนม สามารถใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามต่อการใช้ฮอร์โมนเอส โตรเจน และสามารถใช้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีที่สูบบุหรี่ได้
- ข้อเสีย: ต้องรับประทานยาในเวลาเดิมทุกวัน หากรับประทานผิดเวลาไป 3 ชั่วโมงต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย ขณะใช้ยาจะไม่มีประจำเดือน แต่อาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอยได้
- ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินในขนาดสูง มีกลไกป้องกันการตั้งครรภ์ โดยป้องกันหรือเลื่อนเวลาการตกไข่ ขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน โดยเป็นยาที่ใช้รับประทานหลังมีเพศสัมพันธ์ในกรณีที่ลืมคุมกำเนิด หรือเกิดเหตุไม่คาดฝันขณะมีเพศสัมพันธ์ เช่น ถุงยางอนามัยรั่วหรือแตก ได้ผลดีที่สุดถ้ารับประทานหลังมีเพศสัมพันธ์ทันที หรือในเวลาไม่เกิน 72-120 ชั่วโมง พบมีอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ ประมาณ 25%
- ผลข้างเคียง คือ มีเลือดออกกะปริดกะปรอย
- แผ่นแปะคุมกำเนิด
ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน มีกลไกในการป้องกันการตั้งครรภ์เช่นเดียวกับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม พบอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ 0.3-8%
- วิธีใช้: แปะแผ่นคุมกำเนิดที่ผิวหนังบริเวณที่มีไขมัน ยกเว้นบริเวณเต้านม โดย 1 แผ่น แปะนาน 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงเปลี่ยนแผ่นโดยแปะ 3 แผ่น (นาน 3 สัปดาห์) แล้วเว้น 1 สัปดาห์ โดยสัปดาห์ที่เว้นไม่แปะแผ่นยา จะมีประจำเดือนมา โดยขณะแปะแผ่นยา สามารถทำกิจกรรมอาบน้ำ ว่ายน้ำได้ปกติ
- ข้อดี: ใช้การดูดซึมจากผิวหนังไม่ต้องผ่านการเปลี่ยนรูปของฮอร์ โมนที่ตับ จึงลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่อตับ นอกจากนั้น ยังทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุกเดือน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งรังไข่โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และเมื่อหยุดใช้สามารถตั้งครรภ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น
- ข้อเสีย: ไม่เหมาะในผู้ที่มีข้อห้ามใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน และอาจมีอาการข้างเคียง เช่น คัดตึงเต้านม และเลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย
- ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
เป็นยาฉีดคุมกำเนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน มีกลไกป้องกันการตั้งครรภ์เช่นเดียวกับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
- ข้อดี: มีประจำเดือนมาทุกเดือน ใช้ยาเพียงเดือนละ 1 ครั้ง จึงลดโอกาสลืมกินยา และไม่ต้องพกพายาไปไหนมาไหนด้วย
- ข้อเสีย: ต้องได้รับการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อบริเวณก้น โดยบุคลากรทางการแพทย์ และห้ามใช้ในสตรีที่มีข้อห้ามต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดโปรเจสตินอย่างเดียว
เป็นยาฉีดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว มีกลไกป้อง กันการตั้งครรภ์โดยยับยั้งการตกไข่ นอกจากนั้น ยังทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น อสุจิจึงไม่สามารถเคลื่อนผ่านเข้าโพรงมดลูกได้ และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และพบอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ยาได้ประมาณ 0.3-8%
- ข้อดี: ใช้เพียง 4 ครั้งต่อปี โดยฉีดยาทุก 3 เดือน ไม่ต้องพกพายาคุมกำเนิดติดตัว สามารถใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามต่อการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน สามารถใช้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีที่สูบบุหรี่ และยามีราคาถูก
- ข้อเสีย: มีผลข้างเคียง ทำให้เลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะ ปรอย เมื่อใช้ไปนานๆ อาจไม่มีประจำเดือนอาจมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการคั่งของเกลือและน้ำในร่างกาย และต้องได้รับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่บริเวณก้นจากบุคลากรทางการแพทย์
- ยาฝังคุมกำเนิด
ในปัจจุบันมีเฉพาะยาฝังคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสติน อย่างเดียว ยามี 2 ชนิด คือ แบบ 1 แท่ง สามารถคุมกำเนิดได้ 3 ปี และชนิด 2 แท่ง สามารถคุมกำเนิดได้ 5 ปี กลไกการคุมกำเนิดคล้ายกับยาเม็ดชนิดที่มีฮอร์โมน โปรเจสตินอย่างเดียว พบอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ยาประมาณ 0.05% วิธีการฝังยาทำโดยกรีดผิวหนังบริเวณท้องแขนข้างที่ไม่ถนัดขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร จากนั้นใช้อุปกรณ์สอดเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนัง แล้วใส่แท่งยาตาม ไม่ต้องเย็บแผลเนื่องจากแผลมีขนาดเล็ก ให้ใช้ผ้าพันบริเวณแผลไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำเป็นเวลา 7 วัน
- ข้อดี: สามารถคุมกำเนิดได้ 3-5 ปี สามารถใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามต่อการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน และสามารถใช้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีที่สูบบุหรี่
- ข้อเสีย: ต้องได้รับการฝังยาจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกฝนมา มีหลักฐานการคุมกำเนิดโดยสามารถคลำแท่งยาได้ที่บริเวณท้อง แขน อาจพบภาวะแทรกซ้อนจากการฝังยา เช่น มีก้อนเลือดคั่งบริเวณที่กรีดผิว หนัง และอาจพบว่า ตำแหน่งของแท่งยาเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม
- ห่วงคุมกำเนิดชนิดทองแดง
เป็นอุปกรณ์พลาสติกที่มีขดลวดทองแดงพัน โดยการใส่เข้าสู่โพรงมดลูก มีกลไกป้องกันการตั้งครรภ์โดย ลดการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิทำให้เกิดการปฏิสนธิกับไข่ได้ลำบาก ร่วมกับทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ระยะเวลาในการคุมกำเนิด 3, 5, หรือ 10 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของห่วงคุมกำ เนิด ระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการใส่ห่วงคุมกำเนิดคือ ช่วงวันที่ 1-5 ของการมีประ จำเดือน เนื่องจากแน่ใจได้ว่า ช่วงนี้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และเป็นช่วงใส่ห่วงได้ง่ายเนื่องจากปากมดลูกเปิด ทั้งนี้ พบอัตราตั้งครรภ์หลังใช้ ประมาณ 0.6-0.8%
- ข้อดี: สามารถคุมกำเนิดได้เป็นเวลานาน เมื่อต้องการตั้งครรภ์สามารถดึงห่วงคุมกำเนิดออกได้ทันที ไม่มีผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมน ผู้ใช้จะมีประจำเดือนทุกเดือนตามปกติ และมีรายงานว่า อาจช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก
- ข้อเสีย: ต้องได้รับการใส่จากบุคลากรทางการแพทย์ เหมาะสำ หรับผู้ที่เคยคลอดบุตร ต้องทำการตรวจสายห่วงด้วยตนเองทุกเดือน ไม่เหมาะสำ หรับผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือกำลังเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะเพิ่มโอกาสติดเชื้อให้สูง และรุนแรงขึ้น อาจมีผลข้างเคียง คือ อาการปวดหน่วงท้อง น้อย และเลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย
- ห่วงคุมกำเนิดชนิดมีฮอร์โมนโปรเจสติน
เป็นวัสดุพลาสติกที่มีแท่งยาฮอร์โมนโปรเจสติน โดยแท่งยาจะค่อยๆปล่อยฮอร์โมนโปรเจสตินเข้าสู่ร่างกายทีละน้อยๆ มีระยะเวลาในการคุมกำเนิด 5 ปี ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการใส่ห่วงคุมกำเนิด เช่นเดียวกับห่วงคุมกำเนิดชนิดทองแดง กลไกการป้องกันการตั้งครรภ์โดยทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ขัดขวางการฝังตัวอ่อน มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น ทำให้อสุจิไม่สามารถปฏิสนธิกับไข่ได้ และพบอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้วิธีนี้ ประมาณ 0.1%
- ข้อดี: เนื่องจากมีฮอร์โมนโปรเจสติน จึงสามารถช่วยลดปริมาณเลือดประจำเดือน อาจช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยลดขนาดของเนื้องอกมดลูก(ถ้ามีเนื้องอกมดลูกอยู่) เมื่อใส่ห่วงในขณะอายุ 45 ปี สามารถใช้คุมกำ เนิดจนถึงวัยหมดระดูได้ สามารถใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน ฤทธิ์ของฮอร์โมนโปรเจสติน เป็นการออกฤทธิ์เฉพาะที่ ไม่ผ่านร่างกายทั้งระบบ
- ข้อเสีย: มีราคาแพง ต้องได้รับการใส่ห่วงนี้จากบุคลากรทางการ แพทย์ ต้องทำการตรวจสายห่วงด้วยตนเองทุกเดือน ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือมีคู่นอนหลายคน อาจมีอาการข้างเคียง เช่นปวดหน่วงท้อง น้อย และเลือดออกกะปริดกะปรอย
- วงแหวนคุมกำเนิด
เป็นวงแหวนพลาสติก ซึ่งจะค่อยๆปล่อยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปร เจสตินเข้าสู่ร่างกายทีละน้อยๆ กลไกการป้องกันการตั้งครรภ์คล้ายกับยาเม็ดคุม กำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม โดยใส่วงแหวนคุมกำเนิดเข้าไปในช่องคลอด ให้วงแหวนคลุมปากมดลูก โดยใส่ในช่องคลอดนาน 21 วัน ถอดออก 7 วันในช่วงที่ไม่ ได้ใส่วงแหวนคุมกำเนิด 7 วันนี้จะมีประจำเดือนมา หลังจากนั้นจึงใส่วงแหวนคุม กำเนิดอันใหม่
- ข้อดี: เป็นการดูดซึมฮอร์โมนเฉพาะที่ ไม่รบกวนระบบของร่างกาย ทั้งหมด ใส่เดือนละครั้ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งเยื่อบุ โพรงมดลูก และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ และประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
- ข้อเสีย: ยังไม่มีจำหน่วยในประเทศไทย อาจมีการระคายเคืองช่องคลอด อาจจะเพิ่มการติดเชื้อในช่องคลอด มีตกขาวมากขึ้น อาจเกิดเลือด ออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย และคัดตึงเต้านม
ชนิดของการคุมกำเนิดถาวรมีอะไรบ้าง?
ชนิดของการคุมกำเนิดถาวร ได้แก่
- การทำหมันหญิง
เป็นการคุมกำเนิดโดยการตัดผูกท่อนำไข่ 2 ข้าง ทำให้ตัวอสุจิไม่สามารถเข้าปฏิสนธิกับไข่ได้ จึงไม่มีการตั้งครรภ์ซึ่งพบอัตราการตั้งครรภ์หลังผ่า ตัด ประมาณ 0.2-0.7%
ข้อดี: ผ่าตัดครั้งเดียว สามารถคุมกำเนิดได้ตลอดชีวิต ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ และทำให้เพิ่มความสุขทางเพศเพราะไม่ต้องกังวลต่อการตั้งครรภ์
ข้อเสีย: ต้องได้รับการผ่าตัดโดยแพทย์ มีแผลที่หน้าท้อง หากต้อง การมีบุตรเพิ่มอีก ต้องได้รับการผ่าตัดแก้หมัน โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญและอุปกรณ์ในการผ่าตัดที่เฉพาะ
- การทำหมันชาย
เป็นการคุมกำเนิดโดยผ่าตัดผูกหลอดนำอสุจิ ที่บริเวณอัณฑะ ทำให้ไม่มีตัวอสุจิออกมากับน้ำเชื้อ จึงไม่มีการปฏิสนธิของอสุจิกับไข่
ข้อดี: ผ่าตัดครั้งเดียว สามารถคุมกำเนิดได้ตลอดชีวิต การผ่าตัดทำได้ง่าย ใช้เวลาน้อย ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ จึงทำให้เพิ่มความสุขทางเพศ
ข้อเสีย: ต้องได้รับการผ่าตัดจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกฝนมา หากต้องการมีบุตรเพิ่มอีก ต้องได้รับการผ่าตัดแก้หมันโดยผู้เชี่ยวชาญ และเครื่องมือในการผ่าตัดเฉพาะ
ข้อควรพิจารณาในการเลือกวิธีการคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?
การเลือกวิธีคุมกำเนิด ควรเป็นไปโดยความสมัครใจ โดยมีข้อควรพิจารณา คือ
- ความสะดวกในการใช้วิธีต่างๆดังกล่าว
- ความสะดวกในการเข้าถึงการคุมกำเนิด
- ระยะเวลาที่ต้องการคุมกำเนิด
- ความสามารถในการป้องกันการตั้งครรภ์ของวิธีคุมกำเนิด
- ความสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- โรคประจำตัว หรือข้อเสียในวิธีคุมกำเนิดแต่ละวิธี
ควรคุมกำเนิดเมื่อไหร่?
ผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ คือ เริ่มมีการพัฒนาร่างกายทางเพศ เริ่มมีประจำเดือน ซึ่งส่งผลให้สามารถตั้งครรภ์ได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น จึงควรเริ่มคุมกำเนิดตั้งแต่เมื่อคิดจะมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ครั้งแรก เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ
ใครบ้างที่สมควรคุมกำเนิด?
ผู้สมควรคุมกำเนิด คือ หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (วัยยังมีประจำเดือน) ซึ่งสามารถตั้งครรภ์ได้แม้ว่าจะมีอายุมากกว่า 50 ปี ดังนั้น เมื่ออายุน้อยกว่า 50 ปี ยังมีประจำเดือนและยังมีเพศสัมพันธ์ ควรคุมกำเนิดไปจนถึงหลังหมดประจำเดือนถาวรแล้วประมาณ 2 ปี แต่ถ้าอายุมากกว่า 50 ปี ควรคุมกำเนิดไปจนหลังหมดประ จำเดือนถาวรแล้ว 1 ปี
เมื่อต้องการคุมกำเนิดควรทำอย่างไร?
เมื่อต้องการคุมกำเนิด ควรมีการปรึกษาหารือบุคคลในครอบครัวในการวาง แผนครอบครัวว่า ต้องการมีบุตรอีกหรือไม่ ต้องการคุมกำเนิดกี่ปี ต้องการเว้นระยะ ห่างของการมีบุตรกี่ปี จากนั้นจึงปรึกษาแพทย์ หรือพยาบาล หรือบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ให้คำแนะนำในเรื่องนี้
ทั้งนี้ ควรเลือกวิธีที่สามารถเข้าถึงบริการได้ง่าย สะดวก ต้องไม่มีข้อห้ามในการใช้วิธีคุมกำเนิดนั้นๆ เช่น ห้ามใช้วิธีคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้ที่เป็นโรคลิ้นหัวใจ และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง เช่น ถ้าต้องการมีประจำเดือนทุกเดือน ไม่ควรใช้ยาฉีดชนิดโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว หรือใช้ยาฝังคุมกำเนิด เพราะเมื่อฉีดไปเป็นเวลานานอาจไม่มีประจำเดือน
ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานานหลายปี หรือมีโรคประจำตัว หรือต้องรับประทานยาต่างๆเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสม และที่ปลอดภัย
ที่มา https://haamor.com/th/การคุมกำเนิด/