ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :
ตับอ่อน ระบบศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ ระบบต่อมไร้ท่ออาการที่เกี่ยวข้อง :
ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลียเบาหวานคืออะไร?
เบาหวาน (Diabetes mellitus) คือ ภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย จนทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เบา หวานขึ้นตา เบาหวานลงไต หรือเบาหวานลงปลายประสาท หรือในบางครั้งผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก จนเกินความสามารถของไตในการดูดกลับ น้ำตาลส่วนที่สูงเกิน180 มก./ดล. (มิลลิกรัม/เดซิลิตร) นั้นจะล้นออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีรสหวาน จึงเรียกว่า “เบาหวาน” โรคนี้เป็นที่รู้จักกันมานานกว่า 3,000 ปี โดยมีการสังเกตเห็นว่า ปัสสาวะของผู้ป่วยโรคนี้ จะมีมดขึ้น เนื่องจากมีรสหวานนั่นเอง
น้ำตาลในร่างกายมาจากไหน?
คนทั่วไปมักเข้าใจว่าน้ำตาลในร่างกายมาจากอาหารอย่างเดียว แต่ที่จริงมาจาก 2 แหล่ง ดังนี้
- จากอาหารคาร์โบไฮเดรต (แป้ง และน้ำตาล) ที่เรารับประทานเข้าไป
- จากการสร้างของตับภายในร่างกายเราเอง ในช่วงที่เราไม่ได้รับประทานอาหาร เช่น ตอนกลางคืนที่เราหลับอยู่
ระดับน้ำตาลในเลือดคนปกติเป็นเท่าไร?
ถ้าอดอาหาร 8-12 ชั่วโมง จะอยู่ระหว่าง 60 แต่น้อยกว่า 100 มก./ดล. แต่ถ้าตรวจหลังอาหาร 2 ชั่วโมง จะน้อยกว่า 140 มก./ดล. (ตารางที่1)
ตารางที่ 1 ค่าน้ำตาลในเลือด(มก./ดล.)
น้ำตาลในเลือดเมื่องดอาหาร | น้ำตาลในเลือดหลังอาหาร | |
คนปกติ | 60 - น้อยกว่า 100 | น้อยกว่า 140 |
ภาวะเสี่ยงต่อการ เป็นเบาหวาน | 100 - น้อยกว่า 126 | 140 - น้อยกว่า 200 |
เบาหวาน | 126 ขึ้นไป | 200 ขึ้นไป |
เบาหวานเกิดได้อย่างไร?
ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องใช้น้ำตาลกลูโคส (Glucose) ในการทำให้เกิดพลังงาน ถ้าขาดน้ำตาลเราจะอยู่ไม่ได้ จะหมดสติและตาย แต่น้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไม่สามารถซึมเข้าไปในเซลล์ได้โดยตรง จำเป็นต้องมีตัวพาน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจ ซึ่งตัวที่พาน้ำตาลเข้าเซลล์นี้ เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนชื่อ “ อินซูลิน (Insulin)”
ในคนปกติ เมื่อเรารับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรต จะมีการกระตุ้น ลำไส้เล็กให้สร้างฮอร์โมนอินครีติน (Incretin) ออกมาฮอร์โมนอินครีตินจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้สร้างฮอร์โมนอินซูลินให้ออกมาพากลูโคสเข้าเซลล์ ขณะเดียวกัน จะกดการสร้างฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) จากตับอ่อน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการสร้างน้ำตาลจากตับให้ทำงานน้อยลง
เมื่อไม่ได้รับประทานอาหาร เช่น ขณะนอนหลับ ตับจะสร้างน้ำตาลปริมาณเล็กน้อยออกมา ส่วนตับอ่อนก็จะสร้างฮอร์โมนอินซูลินปริมาณที่เหมาะสมมาพาน้ำตาลเข้าเซลล์ ทำให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติตลอดเวลา
แต่ในคนที่เป็นเบาหวาน แม้น้ำตาลในเลือดจะสูง แต่เซลล์ก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ เนื่องจาก
- จำนวนฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ
- เกิดความผิดปกติในการทำงานของตับ ตับไม่ยอมหยุดสร้างน้ำตาล แม้น้ำตาลในเลือดจะสูงอยู่แล้ว เป็นการซ้ำเติมน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นไปอีก
เบาหวานมีกี่ชนิด?
เบาหวานมีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยมี 2 ชนิดซึ่งจะกล่าวถึงในที่นี้ คือ
เบาหวานชนิดที่ 1 พบประมาณ 5% มักพบในเด็ก เกิดจากการที่ตับอ่อนถูกทำลายอย่างมาก (90% เกิดจากภาวะภูมิต้านตนเองของตับอ่อน) จนสร้างอินซู ลินไม่เพียงพอที่จะนำน้ำ ตาลเข้าเซลล์ ทำให้เซลล์ขาดน้ำตาล ทั้งๆที่มีน้ำตาลคั่งในกระแสเลือด ต้องมีการสลายไขมัน และกล้ามเนื้อให้เป็นน้ำตาล ขณะเดียวกัน ก็เกิดสารคีโตน (Ketone) ซึ่งเป็นเหมือนสารพิษออกมาด้วย ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการหอบเหนื่อย ต้องรักษาโดยการฉีดอินซูลิน ใช้ยากินรักษาไม่ได้
เบาหวานชนิดที่ 2 พบประมาณ 95% มักพบในผู้ใหญ่อายุ 35 ปีขึ้นไป แต่ไนปัจจุบัน พบได้ในเด็กที่อ้วนมากๆ จากการศึกษาในคนไทยที่อายุ 35 ปีขึ้นไป เมื่อปี 2543 พบความชุกของเบาหวานชนิดที่ 2 9.6 % แต่ที่น่าตกใจ คือ มีผู้รู้ตัวก่อนว่าเป็นเบาหวานเพียง 4.8% คือ ประ มาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานมาก่อน และเกินครึ่ง เป็นเบาหวานแฝง หรือที่ปัจจุบันเรียกกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน คือฮอร์โมนอินซูลินไม่ขาด แต่ประสิทธิภาพไม่ดี ทำให้ต้องใช้อินซูลินปริมาณมากในการพาน้ำตาลเข้าเซลล์ ดังนั้นตับอ่อนจึงต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลินให้เพียงพอที่จะทำให้น้ำตาลในเลือดปกติ ภาวะนี้อาจเกิดก่อนที่จะตรวจพบเบาหวาน 10-20 ปี และในปัจจุบันก็พบว่า ภาวะดื้ออินซูลิน เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดแดง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ และ โรคหลอดเลือดสมอง ทั้งๆที่ยังไม่พบเบาหวาน
ต่อมาเมื่อตับอ่อนล้า สร้างอินซูลินได้น้อยลง ถ้าตรวจน้ำตาลในเลือดหลังกินอาหารจะพบว่าสูงกว่าปกติ ขณะที่น้ำตาลเมื่องดอาหารยังปกติ ทำให้ในการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปตรวจไม่พบเบาหวาน จนกระทั่งตับอ่อนเสื่อมไปประมาณครึ่งหนึ่ง จึงจะสามารถตรวจพบน้ำตาลสูงเมื่ออดอาหาร ดังนั้นการวินิจฉัยเบา หวานอาจช้าไป 5-10ปี ส่งผลให้พบว่าเมื่อวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน ผู้ป่วยประมาณ 50% มีโรคแทรกซ้อนของเบาหวานแล้ว เช่น เบาหวานขึ้นตา ลงไต หรือชาปลายเท้า
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวาน?
แพทย์วินิจฉัยเบาหวาน ได้จาก
- มีอาการของเบาหวาน ถ้าน้ำตาลสูงมากจนเกินกว่า 180 มก./ดล. ซึ่งเกินความสามารถของไตที่จะดูดซึมน้ำตาลกลับหมด น้ำตาลจะถูกขับมาทางปัสสาวะโดยจะดึงน้ำตามมาด้วย ผลคือ ผู้ป่วยจะมีอาการของเบาหวาน คือปัสสาวะบ่อย หิวน้ำ หิวของหวาน กินจุแต่ผอมลง อ่อน เพลีย
- ถ้าน้ำตาลสูงไม่มาก ซึ่งพบประมาณ 50% ของผู้ป่วยจะไม่มีอาการ ดังนั้น ต้องรู้จากการตรวจเลือด ผู้ป่วยกลุ่มนี้ บางครั้งกว่าจะตรวจพบเบาหวานอาจมีโรคแทรกซ้อนดังกล่าวแล้ว
มีวิธีใดที่ช่วยวินิจฉัยเบาหวานได้รวดเร็ว?
เนื่องจากประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเบาหวานไม่มีอาการ ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค เบาหวานจึงควรตรวจคัดกรองเบาหวานทุกปี การคัดกรองเพื่อวินิจฉัยเบาหวานมี 4 วิธี โดยให้ตรวจซ้ำถ้าผลผิดปกติ ดังนี้
- งดอาหาร 8-12 ชั่วโมง แล้วตรวจน้ำตาลในเลือด ถ้าสูง 126 มก./ดล.ขึ้นไป ถือว่าเป็นเบาหวาน วิธีนี้ถือเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน แต่น่าจะเป็นวิธีที่วินิจฉัยเบาหวานได้ช้าที่สุด ดังได้กล่าวมาแล้ว
- ตรวจเลือดโดยไม่ได้งดอาหารแล้วพบน้ำตาลสูง 200 มก./ดล.ขึ้นไป ถ้ามีอาการเบา หวานอยู่แล้วไม่ต้องตรวจซ้ำ ถ้าตรวจพบโดยไม่มีอาการ น่าจะเป็นการวินิจฉัยได้เร็วขึ้น แต่ไม่ถือเป็นมาตรฐาน เนื่องจากขึ้นกับชนิด และปริมาณอาหารที่รับประทานก่อนตรวจ
- งดอาหาร 8-12 ชั่วโมง แล้วให้ดื่มกลูโคส 75 กรัม ตรวจน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลู โคส 2 ชั่วโมง พบน้ำตาล 200 มก./ดล.ขึ้นไป ส่วนมากใช้ในงานวิจัยเนื่องจากมีหลายขั้นตอน แต่น่าจะเป็นการวินิจฉัยที่เร็วที่สุด และได้มาตรฐานที่สุด
- ตรวจค่าเบาหวานสะสม (ฮีโมโกลบินเอวันซี/Hemoglobin A1C) ได้ 6.5% ขึ้นไป วิธีนี้น่าจะวินิจฉัยเบาหวานได้เร็วเช่นกัน สะดวกไม่ต้องอดอาหาร แต่ค่าใช้จ่ายสูง
ภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานคืออะไร?
ภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน หมายถึง ผู้ที่มีระดับน้ำตาลผิดปกติแต่ไม่ถึงระดับที่เรียก ว่าเป็นเบาหวาน เช่น เมื่องดอาหาร 8-12 ชั่วโมง ตรวจพบน้ำตาลในเลือด 100-125 มก./ดล. หรือตรวจน้ำตาลขณะที่ไม่ได้งดอาหารได้ 140-199 มก./ดล. ผู้มีระดับน้ำตาลเช่นนี้ แม้ยังไม่เป็นเบาหวาน แต่มีโอกาสเป็นเบาหวานสูงกว่าคนทั่วไป ถ้าไม่ควบคุมเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก นอกจาก นี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดแดงไปบ้างแล้ว ดังนั้นผู้ ป่วยกลุ่มนี้อาจมาด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดสมอง ก่อนเป็นเบาหวานเสียอีก
ผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน ควรได้รับการคัดกรองโดยวิธีพิเศษ เช่น ตรวจค่าเบาหวานสะสม หรือตรวจน้ำตาลหลังอาหาร ซึ่งจะทำให้สามารถวินิจฉัยได้แต่เนิ่นๆ
ใครที่มีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน ?
ความชุกของโรคเบาหวานทั่วโลกพบมากขึ้นเรื่อยๆจนเปรียบเหมือนโรคระบาด ในปีพ.ศ 2553 พบผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก ประมาณ 284.6 ล้านคน และคาดว่า ในปีพ.ศ 2573 จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มเป็น 438.4 ล้านคน สาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานยังไม่แน่นอน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเบาหวาน ได้แก่
- กรรมพันธุ์ ผู้มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้ สูงกว่าคนทั่วไป
- โรคอ้วน คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนผอม โดยเฉพาะอ้วนลงพุง เนื่องจากโรคอ้วนทำให้อินซูลินมีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลง ประมาณ 60-80% ของโรคเบาหวานในผู้ใหญ่เกิดในคนอ้วน ผู้ชายไทยที่เส้นรอบพุง 90 ซม.ขึ้นไป หรือผู้หญิงไทยที่เส้นรอบพุง 80 ซม. ขึ้นไป ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดโรคของหลอดเลือดรวมทั้งเบาหวานด้วย
- เชื้อชาติ เชื้อชาติที่เสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวาน เช่น ชาวอาเซีย และชนพื้นเมืองในอเมริกา
- มีโรคความดันโลหิตสูง
- ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (โรคไขมันในเลือดสูง) ผู้ป่วยเบาหวานมักมีไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) สูง และไขมันเอช-ดี-แอล (HDL) ต่ำนำมาก่อน
- ภาวะตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์หลายครั้ง รวมทั้งผู้ป่วยที่เคยมีน้ำตาลสูงขณะตั้งครรภ์ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน
- ความเครียด ทางร่างกายและจิตใจ ร่วมกับการขาดการออกกำลังกาย
- อายุ พบว่ายิ่งอายุมากขึ้น จะมีโอกาสพบโรคเบาหวานมากขึ้น ความชุกของเบาหวานในคนไทยอายุ 35 ปีขึ้นไป ประมาณ 9.6% แต่ถ้าคิดเฉพาะอายุ 65 ปีขึ้นไป พบเกือบ 20%
- ยาบางชนิด เช่น ยาจำพวกสเตอรอยด์ ถ้าใช้ไปนานๆ มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้
เบาหวานป้องกันได้หรือไม่?
มีงานวิจัยในหลายประเทศที่พบว่า เบาหวานป้องกันได้ แม้ว่าจะเป็นเบา หวานแฝง หรือกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน การป้องกันที่ดีที่สุด คือ
- การควบคุมอาหาร
- ออกกำลังกาย
- ลดน้ำหนักในผู้ที่น้ำหนักตัวเกิน เพียงลดน้ำหนักลงประมาณ 7-10% ของน้ำหนักปัจจุบันก็เพียงพอ
นอกจากนี้ที่ได้ผลรองลงไป คือ การใช้ยาบางชนิด ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เสมอ ไม่ควรซื้อยาใช้เอง เช่น ยาลดการดูดซึมอาหารคาร์โบไฮเดรต หรืออาหารไขมัน และยาที่ลดภาวะดื้ออินซูลิน
อย่างไรก็ตาม ถ้าปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลตนเองดังกล่าว โอกาสเป็นเบา หวานก็จะสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น และตามปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
น้ำตาลในเลือดสูงแล้วเกิดอะไรขึ้น?
น้ำตาลในเลือดที่สูงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเป็นพิษต่อหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดแดงอักเสบ เกิดการพอกตัวของไขมันชนิดเลว และเป็นเหตุให้หลอดเลือดแดงทั่วร่างกายตีบตันในที่สุด ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนทั้งหลอดเลือดแดงขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดโรค หรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ตาบอด ไตวาย ถูกตัดขา หลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบ (โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง)
จุดมุ่งหมายในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานเพื่ออะไร?
จุดมุ่งหมายในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อ
- มิให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เกินไปจนเกิดอัน ตรายถึงชีวิต
- ป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆดังกล่าวแล้วจากโรคเบาหวาน
- ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนกับผู้ที่มิได้เป็นเบาหวาน
- เพื่อให้มีอายุยืนยาวเท่าคนที่ไม่เป็นเบาหวาน
อนึ่ง การจะบรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว ผู้ป่วยต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด และ ความดันโลหิต ให้ได้ตามเป้าหมาย (ตารางที่ 2) และต้องตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี หรือตามแพทย์แนะนำ เพื่อค้นหาโรคแทรกซ้อนของหลอดเลือดที่เกิดจากเบาหวาน และรักษาก่อนที่จะเป็นมาก
ทำอย่างไรจึงจะป้องกันโรคแทรกซ้อนของเบาหวานได้?
การจะอยู่อย่างเป็นสุขกับโรคเบาหวาน ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเรารู้จักและรู้ทันโรคเบาหวาน การดำรงชิวิตเราจะเหมือนคนปกติ โดยเราจะต้องควบคุมปัจจัยต่างๆให้อยู่ในเกณฑ์ของสมาคมเบาหวานอเมริกา และยุโรป ดังนี้ (ตารางที่ 2)
ตารางที่ 2 เป้าหมายการควบคุมโรคเบาหวาน
การตรวจต่างๆ | เป้าหมาย |
1. การควบคุมน้ำตาล |
|
2. ความดันโลหิต |
|
3. ระดับไขมันในเลือด(โรคไขมันในเลือด)
|
|
จะเห็นว่าระดับไขมันในเลือดและความดันโลหิตคุมได้ไม่ยากนักด้วยยา ระดับน้ำตาลก็เช่นกันคุมได้ไม่ยากเช่นกัน หากรู้จักและรู้ทันโรคเบาหวาน เราจะสามารถควบคุมมันได้ เราจะสามารถกินอะไร และทำอะไรได้เหมือนคนไม่เป็นเบาหวาน
ที่มา https://haamor.com/th/รู้ทันโรคเบาหวาน/