รู้ทันโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)


2,147 ผู้ชม


ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :

ตับอ่อน  ระบบศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ  ระบบต่อมไร้ท่อ 

อาการที่เกี่ยวข้อง :

ปัสสาวะบ่อย  อ่อนเพลีย 

เบาหวานคืออะไร?

เบาหวาน (Diabetes mellitus) คือ ภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย จนทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เบา หวานขึ้นตา เบาหวานลงไต หรือเบาหวานลงปลายประสาท หรือในบางครั้งผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก จนเกินความสามารถของไตในการดูดกลับ น้ำตาลส่วนที่สูงเกิน180 มก./ดล. (มิลลิกรัม/เดซิลิตร) นั้นจะล้นออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีรสหวาน จึงเรียกว่า “เบาหวาน” โรคนี้เป็นที่รู้จักกันมานานกว่า 3,000 ปี โดยมีการสังเกตเห็นว่า ปัสสาวะของผู้ป่วยโรคนี้ จะมีมดขึ้น เนื่องจากมีรสหวานนั่นเอง

น้ำตาลในร่างกายมาจากไหน?

คนทั่วไปมักเข้าใจว่าน้ำตาลในร่างกายมาจากอาหารอย่างเดียว แต่ที่จริงมาจาก 2 แหล่ง ดังนี้

  1. จากอาหารคาร์โบไฮเดรต (แป้ง และน้ำตาล) ที่เรารับประทานเข้าไป
  2. จากการสร้างของตับภายในร่างกายเราเอง ในช่วงที่เราไม่ได้รับประทานอาหาร เช่น ตอนกลางคืนที่เราหลับอยู่

ระดับน้ำตาลในเลือดคนปกติเป็นเท่าไร?

ถ้าอดอาหาร 8-12 ชั่วโมง จะอยู่ระหว่าง 60 แต่น้อยกว่า 100 มก./ดล. แต่ถ้าตรวจหลังอาหาร 2 ชั่วโมง จะน้อยกว่า 140 มก./ดล. (ตารางที่1)

ตารางที่ 1 ค่าน้ำตาลในเลือด(มก./ดล.)

น้ำตาลในเลือดเมื่องดอาหาร น้ำตาลในเลือดหลังอาหาร
คนปกติ 60 - น้อยกว่า 100 น้อยกว่า 140
ภาวะเสี่ยงต่อการ เป็นเบาหวาน 100 - น้อยกว่า 126 140 - น้อยกว่า 200
เบาหวาน 126 ขึ้นไป 200 ขึ้นไป
 

เบาหวานเกิดได้อย่างไร?

ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องใช้น้ำตาลกลูโคส (Glucose) ในการทำให้เกิดพลังงาน ถ้าขาดน้ำตาลเราจะอยู่ไม่ได้ จะหมดสติและตาย แต่น้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไม่สามารถซึมเข้าไปในเซลล์ได้โดยตรง จำเป็นต้องมีตัวพาน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจ ซึ่งตัวที่พาน้ำตาลเข้าเซลล์นี้ เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนชื่อ “ อินซูลิน (Insulin)”

ในคนปกติ เมื่อเรารับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรต จะมีการกระตุ้น ลำไส้เล็กให้สร้างฮอร์โมนอินครีติน (Incretin) ออกมาฮอร์โมนอินครีตินจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้สร้างฮอร์โมนอินซูลินให้ออกมาพากลูโคสเข้าเซลล์ ขณะเดียวกัน จะกดการสร้างฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) จากตับอ่อน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการสร้างน้ำตาลจากตับให้ทำงานน้อยลง

เมื่อไม่ได้รับประทานอาหาร เช่น ขณะนอนหลับ ตับจะสร้างน้ำตาลปริมาณเล็กน้อยออกมา ส่วนตับอ่อนก็จะสร้างฮอร์โมนอินซูลินปริมาณที่เหมาะสมมาพาน้ำตาลเข้าเซลล์ ทำให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติตลอดเวลา

แต่ในคนที่เป็นเบาหวาน แม้น้ำตาลในเลือดจะสูง แต่เซลล์ก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ เนื่องจาก

  1. จำนวนฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ
  2. เกิดความผิดปกติในการทำงานของตับ ตับไม่ยอมหยุดสร้างน้ำตาล แม้น้ำตาลในเลือดจะสูงอยู่แล้ว เป็นการซ้ำเติมน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นไปอีก

เบาหวานมีกี่ชนิด?

เบาหวานมีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยมี 2 ชนิดซึ่งจะกล่าวถึงในที่นี้ คือ

เบาหวานชนิดที่ 1 พบประมาณ 5% มักพบในเด็ก เกิดจากการที่ตับอ่อนถูกทำลายอย่างมาก (90% เกิดจากภาวะภูมิต้านตนเองของตับอ่อน) จนสร้างอินซู ลินไม่เพียงพอที่จะนำน้ำ ตาลเข้าเซลล์ ทำให้เซลล์ขาดน้ำตาล ทั้งๆที่มีน้ำตาลคั่งในกระแสเลือด ต้องมีการสลายไขมัน และกล้ามเนื้อให้เป็นน้ำตาล ขณะเดียวกัน ก็เกิดสารคีโตน (Ketone) ซึ่งเป็นเหมือนสารพิษออกมาด้วย ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการหอบเหนื่อย ต้องรักษาโดยการฉีดอินซูลิน ใช้ยากินรักษาไม่ได้

เบาหวานชนิดที่ 2 พบประมาณ 95% มักพบในผู้ใหญ่อายุ 35 ปีขึ้นไป แต่ไนปัจจุบัน พบได้ในเด็กที่อ้วนมากๆ จากการศึกษาในคนไทยที่อายุ 35 ปีขึ้นไป เมื่อปี 2543 พบความชุกของเบาหวานชนิดที่ 2 9.6 % แต่ที่น่าตกใจ คือ มีผู้รู้ตัวก่อนว่าเป็นเบาหวานเพียง 4.8% คือ ประ มาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานมาก่อน และเกินครึ่ง เป็นเบาหวานแฝง หรือที่ปัจจุบันเรียกกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน คือฮอร์โมนอินซูลินไม่ขาด แต่ประสิทธิภาพไม่ดี ทำให้ต้องใช้อินซูลินปริมาณมากในการพาน้ำตาลเข้าเซลล์ ดังนั้นตับอ่อนจึงต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลินให้เพียงพอที่จะทำให้น้ำตาลในเลือดปกติ ภาวะนี้อาจเกิดก่อนที่จะตรวจพบเบาหวาน 10-20 ปี และในปัจจุบันก็พบว่า ภาวะดื้ออินซูลิน เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดแดง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ และ โรคหลอดเลือดสมอง ทั้งๆที่ยังไม่พบเบาหวาน

ต่อมาเมื่อตับอ่อนล้า สร้างอินซูลินได้น้อยลง ถ้าตรวจน้ำตาลในเลือดหลังกินอาหารจะพบว่าสูงกว่าปกติ ขณะที่น้ำตาลเมื่องดอาหารยังปกติ ทำให้ในการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปตรวจไม่พบเบาหวาน จนกระทั่งตับอ่อนเสื่อมไปประมาณครึ่งหนึ่ง จึงจะสามารถตรวจพบน้ำตาลสูงเมื่ออดอาหาร ดังนั้นการวินิจฉัยเบา หวานอาจช้าไป 5-10ปี ส่งผลให้พบว่าเมื่อวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน ผู้ป่วยประมาณ 50% มีโรคแทรกซ้อนของเบาหวานแล้ว เช่น เบาหวานขึ้นตา ลงไต หรือชาปลายเท้า

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวาน?

แพทย์วินิจฉัยเบาหวาน ได้จาก

  1. มีอาการของเบาหวาน ถ้าน้ำตาลสูงมากจนเกินกว่า 180 มก./ดล. ซึ่งเกินความสามารถของไตที่จะดูดซึมน้ำตาลกลับหมด น้ำตาลจะถูกขับมาทางปัสสาวะโดยจะดึงน้ำตามมาด้วย ผลคือ ผู้ป่วยจะมีอาการของเบาหวาน คือปัสสาวะบ่อย หิวน้ำ หิวของหวาน กินจุแต่ผอมลง อ่อน เพลีย
  2. ถ้าน้ำตาลสูงไม่มาก ซึ่งพบประมาณ 50% ของผู้ป่วยจะไม่มีอาการ ดังนั้น ต้องรู้จากการตรวจเลือด ผู้ป่วยกลุ่มนี้ บางครั้งกว่าจะตรวจพบเบาหวานอาจมีโรคแทรกซ้อนดังกล่าวแล้ว
 

มีวิธีใดที่ช่วยวินิจฉัยเบาหวานได้รวดเร็ว?

เนื่องจากประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเบาหวานไม่มีอาการ ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค เบาหวานจึงควรตรวจคัดกรองเบาหวานทุกปี การคัดกรองเพื่อวินิจฉัยเบาหวานมี 4 วิธี โดยให้ตรวจซ้ำถ้าผลผิดปกติ ดังนี้

  1. งดอาหาร 8-12 ชั่วโมง แล้วตรวจน้ำตาลในเลือด ถ้าสูง 126 มก./ดล.ขึ้นไป ถือว่าเป็นเบาหวาน วิธีนี้ถือเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน แต่น่าจะเป็นวิธีที่วินิจฉัยเบาหวานได้ช้าที่สุด ดังได้กล่าวมาแล้ว
  2. ตรวจเลือดโดยไม่ได้งดอาหารแล้วพบน้ำตาลสูง 200 มก./ดล.ขึ้นไป ถ้ามีอาการเบา หวานอยู่แล้วไม่ต้องตรวจซ้ำ ถ้าตรวจพบโดยไม่มีอาการ น่าจะเป็นการวินิจฉัยได้เร็วขึ้น แต่ไม่ถือเป็นมาตรฐาน เนื่องจากขึ้นกับชนิด และปริมาณอาหารที่รับประทานก่อนตรวจ
  3. งดอาหาร 8-12 ชั่วโมง แล้วให้ดื่มกลูโคส 75 กรัม ตรวจน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลู โคส 2 ชั่วโมง พบน้ำตาล 200 มก./ดล.ขึ้นไป ส่วนมากใช้ในงานวิจัยเนื่องจากมีหลายขั้นตอน แต่น่าจะเป็นการวินิจฉัยที่เร็วที่สุด และได้มาตรฐานที่สุด
  4. ตรวจค่าเบาหวานสะสม (ฮีโมโกลบินเอวันซี/Hemoglobin A1C) ได้ 6.5% ขึ้นไป วิธีนี้น่าจะวินิจฉัยเบาหวานได้เร็วเช่นกัน สะดวกไม่ต้องอดอาหาร แต่ค่าใช้จ่ายสูง
 

ภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานคืออะไร?

ภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน หมายถึง ผู้ที่มีระดับน้ำตาลผิดปกติแต่ไม่ถึงระดับที่เรียก ว่าเป็นเบาหวาน เช่น เมื่องดอาหาร 8-12 ชั่วโมง ตรวจพบน้ำตาลในเลือด 100-125 มก./ดล. หรือตรวจน้ำตาลขณะที่ไม่ได้งดอาหารได้ 140-199 มก./ดล. ผู้มีระดับน้ำตาลเช่นนี้ แม้ยังไม่เป็นเบาหวาน แต่มีโอกาสเป็นเบาหวานสูงกว่าคนทั่วไป ถ้าไม่ควบคุมเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก นอกจาก นี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดแดงไปบ้างแล้ว ดังนั้นผู้ ป่วยกลุ่มนี้อาจมาด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดสมอง ก่อนเป็นเบาหวานเสียอีก

ผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน ควรได้รับการคัดกรองโดยวิธีพิเศษ เช่น ตรวจค่าเบาหวานสะสม หรือตรวจน้ำตาลหลังอาหาร ซึ่งจะทำให้สามารถวินิจฉัยได้แต่เนิ่นๆ

ใครที่มีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน ?

ความชุกของโรคเบาหวานทั่วโลกพบมากขึ้นเรื่อยๆจนเปรียบเหมือนโรคระบาด ในปีพ.ศ 2553 พบผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก ประมาณ 284.6 ล้านคน และคาดว่า ในปีพ.ศ 2573 จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มเป็น 438.4 ล้านคน สาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานยังไม่แน่นอน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเบาหวาน ได้แก่

  1. กรรมพันธุ์ ผู้มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้ สูงกว่าคนทั่วไป
  2. โรคอ้วน คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนผอม โดยเฉพาะอ้วนลงพุง เนื่องจากโรคอ้วนทำให้อินซูลินมีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลง ประมาณ 60-80% ของโรคเบาหวานในผู้ใหญ่เกิดในคนอ้วน ผู้ชายไทยที่เส้นรอบพุง 90 ซม.ขึ้นไป หรือผู้หญิงไทยที่เส้นรอบพุง 80 ซม. ขึ้นไป ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดโรคของหลอดเลือดรวมทั้งเบาหวานด้วย
  3. เชื้อชาติ เชื้อชาติที่เสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวาน เช่น ชาวอาเซีย และชนพื้นเมืองในอเมริกา
  4. มีโรคความดันโลหิตสูง
  5. ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (โรคไขมันในเลือดสูง) ผู้ป่วยเบาหวานมักมีไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) สูง และไขมันเอช-ดี-แอล (HDL) ต่ำนำมาก่อน
  6. ภาวะตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์หลายครั้ง รวมทั้งผู้ป่วยที่เคยมีน้ำตาลสูงขณะตั้งครรภ์ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน
  7. ความเครียด ทางร่างกายและจิตใจ ร่วมกับการขาดการออกกำลังกาย
  8. อายุ พบว่ายิ่งอายุมากขึ้น จะมีโอกาสพบโรคเบาหวานมากขึ้น ความชุกของเบาหวานในคนไทยอายุ 35 ปีขึ้นไป ประมาณ 9.6% แต่ถ้าคิดเฉพาะอายุ 65 ปีขึ้นไป พบเกือบ 20%
  9. ยาบางชนิด เช่น ยาจำพวกสเตอรอยด์ ถ้าใช้ไปนานๆ มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้
 

เบาหวานป้องกันได้หรือไม่?

มีงานวิจัยในหลายประเทศที่พบว่า เบาหวานป้องกันได้ แม้ว่าจะเป็นเบา หวานแฝง หรือกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน การป้องกันที่ดีที่สุด คือ

นอกจากนี้ที่ได้ผลรองลงไป คือ การใช้ยาบางชนิด ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เสมอ ไม่ควรซื้อยาใช้เอง เช่น ยาลดการดูดซึมอาหารคาร์โบไฮเดรต หรืออาหารไขมัน และยาที่ลดภาวะดื้ออินซูลิน

อย่างไรก็ตาม ถ้าปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลตนเองดังกล่าว โอกาสเป็นเบา หวานก็จะสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น และตามปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

น้ำตาลในเลือดสูงแล้วเกิดอะไรขึ้น?

น้ำตาลในเลือดที่สูงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเป็นพิษต่อหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดแดงอักเสบ เกิดการพอกตัวของไขมันชนิดเลว และเป็นเหตุให้หลอดเลือดแดงทั่วร่างกายตีบตันในที่สุด ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนทั้งหลอดเลือดแดงขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดโรค หรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ตาบอด ไตวาย ถูกตัดขา หลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบ (โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง)

จุดมุ่งหมายในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานเพื่ออะไร?

จุดมุ่งหมายในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อ

  1. มิให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เกินไปจนเกิดอัน ตรายถึงชีวิต
  2. ป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆดังกล่าวแล้วจากโรคเบาหวาน
  3. ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนกับผู้ที่มิได้เป็นเบาหวาน
  4. เพื่อให้มีอายุยืนยาวเท่าคนที่ไม่เป็นเบาหวาน

อนึ่ง การจะบรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว ผู้ป่วยต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด และ ความดันโลหิต ให้ได้ตามเป้าหมาย (ตารางที่ 2) และต้องตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี หรือตามแพทย์แนะนำ เพื่อค้นหาโรคแทรกซ้อนของหลอดเลือดที่เกิดจากเบาหวาน และรักษาก่อนที่จะเป็นมาก

ทำอย่างไรจึงจะป้องกันโรคแทรกซ้อนของเบาหวานได้?

การจะอยู่อย่างเป็นสุขกับโรคเบาหวาน ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเรารู้จักและรู้ทันโรคเบาหวาน การดำรงชิวิตเราจะเหมือนคนปกติ โดยเราจะต้องควบคุมปัจจัยต่างๆให้อยู่ในเกณฑ์ของสมาคมเบาหวานอเมริกา และยุโรป ดังนี้ (ตารางที่ 2)

ตารางที่ 2 เป้าหมายการควบคุมโรคเบาหวาน

การตรวจต่างๆ เป้าหมาย
1. การควบคุมน้ำตา
  • ระดับน้ำตาลเมื่ออดอาหาร 8-12ชั่วโมง
  • ระดับน้ำตาลที่สูงสุดหลังอาหาร
  • ฮีโมโกลบิน เอ-วัน-ซี (เบาหวานสะสม)
  • 70-130 มก./ดล.
  • น้อยกว่า 180 มก./ดล.
  • น้อยกว่า 7%
2. ความดันโลหิต
  • น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท
3. ระดับไขมันในเลือด(โรคไขมันในเลือด)
 

จะเห็นว่าระดับไขมันในเลือดและความดันโลหิตคุมได้ไม่ยากนักด้วยยา ระดับน้ำตาลก็เช่นกันคุมได้ไม่ยากเช่นกัน หากรู้จักและรู้ทันโรคเบาหวาน เราจะสามารถควบคุมมันได้ เราจะสามารถกินอะไร และทำอะไรได้เหมือนคนไม่เป็นเบาหวาน
ที่มา   https://haamor.com/th/รู้ทันโรคเบาหวาน/

อัพเดทล่าสุด