วัณโรคคืออะไร?
วัณโรค (Tuberculosis) หรือ ทั่วไปมักเรียกย่อว่า โรคทีบี (TB) เป็นโรค ติดเชื้อเรื้อรัง ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Mycobacterium Tuberculosis บางครั้ง เรียกว่า เอเอฟบี (AFB, acid fast bacilli) ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ การ อักเสบจากเชื้อวัณโรคจะเกิดในปอด ที่เรียกว่า วัณโรคปอด แต่ก็สามารถเกิด โรคที่อวัยวะอื่นได้เกือบทุกอวัยวะในร่างกาย เช่น ต่อมน้ำเหลือง สมอง และลำไส้ ในสมัยก่อน ผู้ป่วยวัณโรคส่วนใหญ่จะเสียชีวิต แต่ในปัจจุบัน วัณโรค สามารถรักษาด้วยยาจนหายขาดได้ การติดเชื้อวัณโรคแตกต่างจากการติด เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ เพราะเชื้อวัณโรคสามารถอยู่ในตัวผู้ป่วยโดยไม่มีอาการได้ นานๆ เรียกว่า วัณโรคระยะแฝง ซึ่งทั่วโลก มีผู้ป่วยวัณโรคระยะแฝงประมาณ 2,000 ล้านคน โดย 10% ของวัณโรคระยะแฝงจะเกิดเป็นโรควัณโรคปอดภาย ใน 10 ปี
วัณโรคติดต่อได้อย่างไร?
วัณโรคเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คนทางการหายใจ โดยเชื้อวัณโรคจะแพร่ จากผู้ป่วยวัณโรคปอดไปสู่ผู้อื่นทางละอองเสมหะขนาดเล็กๆ ซึ่งออกมาจาก การไอ จาม หรือ พูด ละอองเสมหะเหล่านี้จะสามารถลอยอยู่ในอากาศได้ หลายชั่วโมง และเมื่อสูดเข้าไป จะเข้าไปจนถึงถุงลมปอด แล้วเกิดการ อักเสบ ได้ ในการไอ 1 ครั้ง อาจพบมีละอองเสมหะออกมาถึง 3,000 ละอองเสมหะ
โอกาสของการแพร่เชื้อวัณโรค ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย คือ
- ลักษณะของวัณโรคปอด คือ ถ้าเป็นวัณโรคปอดชนิดที่มีโพรง (เนื้อปอดเกิดเป็นโพรงซึ่งติดต่อกับหลอดลมได้ดี จึงทำให้ตรวจพบเชื้อในเสมหะได้สูง) ซึ่งมักจะตรวจพบเชื้อในเสมหะ จะมีการแพร่เชื้อวัณโรคออกทางเสมหะ มาก แต่ในผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคปอดชนิดไม่มีโพร (โอกาสตรวจพบเชื้อในเสมหะลดลง) หรือผู้ป่วยที่ย้อมเสมหะไม่พบเชื้อ จะมีการแพร่เชื้อน้อยกว่า และในผู้ป่วยวัณโรคนอกปอด เช่น วัณโรคในต่อมน้ำเหลือง และวัณโรคในเยื่อ หุ้มปอด จะไม่มีการแพร่เชื้อ
- การอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคปอดในสภาพแวดล้อมที่ปิดทึบ การระบาย อากาศไม่ดี ไม่โดนแสงแดด โอกาสจะติดเชื้อวัณโรคจะสูงขึ้น เพราะเชื้อ วัณโรคที่อยู่ในละอองเสมหะจะถูกทำลายได้เมื่อโดนแสงแดดและความร้อน
- วัณโรค จะไม่ติดต่อทางการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือสัมผัส และ ในผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ได้รับยาวัณโรค ส่วนใหญ่จะไม่แพร่เชื้อเมื่อทานยาเกิน 2 อาทิตย์ไปแล้ว
หลังจากเชื้อวัณโรคเข้าสู่ถุงลมปอดแล้ว จะเกิดโรคเมื่อใด?
ในระยะแรก หลังจากเชื้อวัณโรคเข้าในร่างกายแล้ว ผู้ป่วย จะไม่มีอาการ และไม่สามารถตรวจพบได้ว่าติดเชื้อหรือไม่ จนถึงประมาณหลังจาก 4 อาทิตย์ ร่างกายจะเริ่มมีปฏิกริยาต่อเชื้อวัณโรค โดยส่วนใหญ่ ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคในคนปกติ จะสามารถควบคุมเชื้อวัณโรคให้สงบนิ่งอยู่ เรียกว่า อยู่ในระยะ แฝง ซึ่งจะไม่มีอาการของโรค และไม่แพร่เชื้อ แต่ในผู้ป่วยเด็กเล็ก หรือผู้มีภูมิ คุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เช่น ผู้ป่วย โรคเอดส์ (AIDS) อาจไม่สามารถควบ คุมเชื้อวัณโรคให้สงบได้ จึงเกิดโรควัณโรคปฐมภูมิ (Primary tuberculosis คือ วัณโรคที่แสดงอาการตั้งแต่ครั้งแรกที่ติดเชื้อ โดยไม่มีการอยู่ในระยะแฝง) เช่น วัณโรคเยื่อหุ้มปอด หรือวัณโรคต่อมน้ำเหลืองได้ ทั้งนี้ เชื้อวัณโรคที่อยู่ในระยะ แฝง จะสงบอยู่จนมีปัจจัยที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ จึงเกิดโรควัณโรคปอดขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการปะทุของวัณโรคที่สงบนิ่ง ได้แก่ โรคเบาหวาน ภาวะขาดสารอาหาร การได้รับ ยาสเตียรอยด์ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เช่น ในโรคภูมิแพ้ และในผู้ป่วยติดเชื้อ เอชไอวี (HIV) หรือ โรคเอดส์ ทั้งนี้โดย ประมาณ 5% ของผู้ป่วยวัณโรคระยะแฝง จะมีโอกาสเกิดโรควัณโรคปอดใน สองปีแรก และอีก 5% จะเกิดโรคภายในสิบปี
วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เป็นปัญหาหรือไม่ ในประเทศไทย?
เมื่อกล่าวถึงวัณโรค หลายคนคิดว่า เป็นโรคซึ่งแทบจะหมดไปแล้วจาก ประเทศไทย แต่สถานการณ์ของวัณโรคในประเทศไทย ยังมีความน่าเป็นห่วง โดยที่องค์การอนามัยโลกได้จัดอันดับประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาด้านวัณโรค เป็นลำดับที่ 17 จากกลุ่ม 22 ประเทศที่ยังมีปัญหาอยู่ โดยมีผู้ป่วย วัณโรครายใหม่ 90,000 รายต่อปี และเสียชีวิตถึง 13,000 รายต่อปี
อาการของวัณโรคปอดเป็นอย่างไร?
อาการสำคัญของวัณโรคปอด คือ ไอเรื้อรังโดยเฉพาะอาการไอที่เกิด ขึ้นนานกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป โดยจะเริ่มจากไอแห้งๆ ต่อมา จะมีเสมหะ จนอาจ มีไอเป็นเลือดได้
อาการอื่นๆที่พบได้บ่อย คือ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และเหงื่อออกกลางคืน
การตรวจวินิจฉัยวัณโรคทำได้อย่างไร?
การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ช่วย วินิจฉัยวัณโรคได้แก่
- เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติ ที่เข้าได้กับวัณโรคปอด เช่น พบการอักเสบของปอดที่ปอดกลีบบน
- การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ควรทำในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยว่าเป็น วัณโรค เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย โดยจะเก็บเสมหะตอนเช้าหลังตื่นนอน 3 วัน ติดต่อกัน จะรู้ผลภายในประมาณ 30 นาที แต่มีข้อเสีย คือ วิธีนี้มีโอกาสตรวจ พบเชื้อวัณโรคได้เพียงประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเท่านั้น ดังนั้น ผู้ป่วยที่ตรวจ ไม่พบเชื้อวัณโรคในเสมหะ ก็ยังอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้
- การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ข้อดีคือ วิธีนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้สูงถึง 80-90% ของผู้ป่วย แต่ต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนจึงทราบผล
อนึ่ง เมื่อมีผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลด แพทย์จะส่งทำเอ็กซเรย์ปอด ซึ่งถ้าพบลักษณะผิด ปกติ ที่เข้าได้กับวัณโรคปอด แพทย์จะให้ผู้ป่วยเก็บเสมหะตรวจย้อมเชื้อ วัณโรคซึ่งถ้าพบเชื้อวัณโรค ก็จะวินิจฉัยได้แน่นอน แต่บางครั้ง ผู้ป่วยมีอาการ และเอ็กซเรย์ปอด เข้าได้กับวัณโรคแต่ย้อมไม่พบเชื้อ วัณโรคในเสมหะ แพทย์ อาจให้การวินิจฉัยและให้การรักษาแบบวัณโรคปอดได้ แต่ต้องติดตามอาการผู้ ป่วยอย่างใกล้ชิด
มีแนวทางรักษาวัณโรคอย่างไร?
วัณโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องรับประทานยาทุกวันอย่าง ต่อเนื่อง ปัจจุบันจะใช้สูตรยารักษา 6 เดือน ซึ่งได้ผลดีที่สุด โดยจะให้ยาได้แก่
- Isoniazid (ไอโซไนอะซิด)
- Rifampicin (ไรแฟมปิซิน)
- Ethambuthol (อีแธมบิวธอล)
- Pyrazinamide (ไพราซินามาย)
โดยจะให้รับประทานยาทั้ง 4 ตัว 2 เดือน ต่อด้วยยา Isoniazid + Rifampicin อีก 4 เดือน อาการ หรือ ผลข้างเคียงของยารักษาวัณโรค เช่น มีผื่น อาเจียน ปวดข้อ และตับอักเสบ ซึ่งพบผลข้างเคียงจากยาได้ประมาณ 5%
ผู้ป่วยวัณโรคควรปฏิบัติอย่างไร?
ผู้ป่วยวัณโรคควรดูแลตนเอง หรือ ควรปฏิบัติ ดังนี้
- รับประทานยาวัณโรคตามที่แพทย์แนะนำจนครบตามกำหนด เพื่อ ป้องกันการเกิดวัณโรคดื้อยา ถ้ามีอาการผิดปกติหลังเริ่มรับประทานยา วัณโรค เช่น มีผื่น อาเจียน ปวดข้อ ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อทำการปรับยา และพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ
- ในช่วงแรกของการรักษา โดยเฉพาะสองอาทิตย์แรกถือเป็นระยะแพร่ เชื้อ ผู้ป่วยควรอยู่แต่ในบ้าน โดยแยกห้องนอน นอนในห้องที่อากาศถ่าย เทสะดวก และแสงแดดส่องถึง ไม่ออกไปในที่ที่มีผู้คนแออัด และต้อง ใส่หน้ากากอนามัยเวลาอยู่ในที่ชุมชน
- ปิดปาก จมูก เวลาไอ หรือจามทุกครั้ง
- งดสิ่งเสพติด เช่น เหล้า บุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช ผัก และผลไม้
- ให้บุคคลใกล้ชิด เช่น คนในบ้าน พบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย และ เอ็กซเรย์ปอด ซึ่งในผู้ใหญ่ ถ้าผลเอ็กซเรย์ไม่พบความผิดปกติ จะถือ ว่าไม่เป็นวัณโรค ไม่จำเป็นต้องมีการรักษา แต่ในเด็กเล็ก ถึงแม้จะไม่มีอาการ และเอ็กซเรย์ปอดปกติ จะต้องตรวจทูเบอร์คูลิน (Tuberculin skin test หรือ TST) ซึ่งถ้าผลเป็นบวก แพทย์จึงจะให้การรักษาวัณโรค
ป้องกันวัณโรคได้อย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การป้องกันวัณโรคและการพบแพทย์ ได้แก่
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกายพักผ่อนให้พอเพียง กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ใช้ยาเสพติด หลีกเลี่ยงความเสี่ยงการติดโรคเอดส์ (รักษาสุขอนามมัยพื้นฐาน /สุขบัญญัติแห่งชาติ) และ ควรตรวจสุขภาพและ เอ็กซเรย์ปอดเป็นประจำทุกปี
- ถ้ามีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้าน ควรดูแลให้ทำตามข้อควรปฏิบัติของผู้ ป่วยวัณโรค ดังกล่าวในหัวข้อที่แล้วอย่างเคร่งครัด
- ฉีด วัคซีน บีซีจี (BCG) ให้ทารกแรกเกิดทุกราย วัคซีนชนิดนี้มีผลใน การป้องกันวัณโรคชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดใน ผู้ใหญ่ ผู้ที่เคยฉีดบีซีจี มาแล้ว ก็ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้
- ถ้ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าจะเป็นวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง มีไข้ เจ็บ หน้าอก เหงื่อออกกลางคืน เหนื่อยหอบเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบพบ แพทย์เสมอ
โรคไข้หวัดใหญ่ต่างจากโรคหวัดไหม?
โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคหวัด เป็นคนละโรค แต่มีวิธีติดต่อ อาการ วิธีวินิจฉัย และแนวทางการรักษาในระยะแรกเหมือนกัน ที่แตกต่าง คือ
- เกิดจากติดเชื้อไวรัสคนละชนิด
- อาการจากไข้หวัดใหญ่ รุนแรงกว่ามาก และมีอาการรุนแรงทันที แต่ อาการของไข้หวัดจะค่อยเป็นค่อยไป
- โรคไข้หวัดใหญ่ มักเกิดโรคข้างเคียงแทรกซ้อนได้โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
- ในไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่แรก
- โรคไข้หวัดใหญ่มีวัคซีนป้องกัน (ปรึกษาแพทย์เรื่องการได้รับวัคซีนเมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยง) แต่ไข้หวัดไม่มี
ที่มา https://haamor.com/th/วัณโรค/