บทนำ
โรคคาวาซากิ (Kawasaki disease) พบได้บ่อยในเด็ก เคยมีชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงอาการแสดงที่มีการโตของต่อมน้ำเหลืองและมีผื่นตามตัว คือ Mucocutaneous lymph node syn drome และมีการอักเสบของหลอดเลือด คือ Infantile polyarteritis nodosa เป็นโรคที่พบในเด็กทั่วโลก แต่พบมากในเด็กเอเชีย และที่ควรทราบ คือ 20-25% ของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา จะมีความผิดปกติของหลอดเลือดแดงหัวใจ (Coronary arteries) คือมีการโป่งพองของหลอดเลือด (Aneurysm) ทั้งนี้โรคคาวาซากิทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจในเด็กของประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นอันดับต้นๆ
ข้อมูลใน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) พบว่าผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีที่นอนโรงพยาบาลด้วยโรคคาวาซากิมีจำนวน 17 คน ต่อเด็กปกติแสนคน พบในเด็กที่นอนโรงพยาบาลชาวเอเชียหรือมีภูมิลำเนาที่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก 39 คนต่อเด็กปกติแสนคน แต่พบในเด็กชนชาติอื่น เช่น ฮิสแพนิก (Hispanic) ชนผิวดำ ชนผิวขาวน้อยกว่า
นับจาก พ.ศ. 2544-2549 (ค.ศ. 2001-2006) พบเด็กเป็นโรคคาวาซากินอนโรงพยา บาลในระบบสุขภาพมากขึ้นกว่า 30% ที่ประเทศญี่ปุ่นนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมาพบโรคคาวาซากิมากกว่า 200,000 คน (แต่เดิมคิดว่าโรคนี้เกิดจากไรฝุ่นจากเสื่อตาตามิที่ใช้กันในบ้านคนญี่ป่น แต่ในปัจจุบันสรุปว่า ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของโรค)
โรคคาวาซากิพบในเด็กเล็ก อายุเฉลี่ยประมาณ 2-3 ปี และประมาณ 80% พบในเด็กอา ยุน้อยกว่า 5 ปี แต่ก็พบในวัยรุ่นได้
อะไรเป็นสาเหตุของโรคคาวาซากิ?
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุของโรคคาวาซากิ แต่จากการศึกษาทางระบาดวิทยาและลักษณะของโรคสนับสนุนว่าโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อ เนื่องจากมีการแพร่ระบาดไปตามภูมิภาคและมีอาการไข้ มีผื่นออก ตาแดง ต่อมน้ำเหลืองโตคล้ายกับการติดเชื้อ แต่อาการก็หายได้เองในที่สุด อีกทั้งยังไม่ค่อยพบในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน ซึ่งอาจเป็นเพราะแม่มีภูมิคุ้มกันผ่านมาให้ลูกคล้ายกับการติดเชื้ออื่นๆ ที่แม่สร้างภูมิคุ้มกันแล้วภูมิคุ้มกันส่งผ่านมายังลูก และโรคนี้ไม่เป็นในผู้ใหญ่ เนื่องจากเมื่อเป็นเด็กมีการติดเชื้อแล้วมีภูมิคุ้มกัน จึงป้องกันไม่ ให้เป็นโรคนี้เมื่อโตขึ้น
ใครมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคคาวาซากิ?
ปัจจัยที่พบโรคคาวาซากิบ่อยได้แก่
- เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
- เด็กผู้ชายพบบ่อยกว่าเด็กผู้หญิง
- เด็กชาวเอเชีย เช่น ชาวญี่ป่น เกาหลี พบบ่อยกว่าเด็กชาติอื่น
- ในเด็กที่มีพ่อแม่เคยเป็นโรคนี้ พบโรคนี้เป็นสองเท่าของเด็กปกติ
พยาธิสภาพของโรคคาวาซากิเป็นอย่างไร?
พยาธิสภาพของโรคคาวาซากิ จะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดแดงขนาดกลาง โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงหัวใจ ซึ่งจะมีผลต่อเนื้อเยื่อในชั้นต่างๆ ของผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดการสูญเสียโครงสร้างที่แข็งแรงของหลอดเลือดแดง ทำให้ผนังของหลอดเลือดแดงโป่งพอง ขณะเดียวกันทำให้เกิดการอุดกั้นของหลอดเลือดจากก้อนลิ่มเลือดที่แข็งตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ เมื่อเวลาผ่านไป จะทำให้หลอดเลือดแดงนั้นอุดตันในที่สุด
ใครมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของหลอดเลือดแดงหัวใจ?
พบว่า
- เด็กที่อายุน้อย
- เพศชาย
- ตรวจเลือดซีบีซี (CBC) พบเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิลสูง
- เกล็ดเลือดต่ำ
- เอนไซม์ตับสูง
- เกลือแร่โซเดียมในเลือดต่ำ
- สารอัลบูมินในเลือดต่ำ
- สารซี-รีแอคทีฟโปรตีน (C-reactive protein, โปรตีนชนิดเกี่ยวข้องกับการอักเสบ) สูง
- เด็กที่มีเชื้อชาติเอเชีย หรือผู้ที่อยู่แถวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก หรือเด็กกลุ่มฮิสแพนิก (His panic, เชื้อสายสเปน โปรตุเกต) มีความเสี่ยงสูงต่อการผิดปกติที่หลอดเลือดแดงเลี้ยงหัวใจสูง และการมีไข้อยู่นานก็มักพบร่วมกับความผิดปกติของหลอดเลือดแดงหัวใจด้วยเช่นกัน
โรคคาวาซากิมีธรรมชาติของโรคเป็นอย่างไร?
หากไม่มีการรักษา โรคคาวาซากิจะมีธรรมชาติ/การดำเนินของโรคเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะไข้เฉียบพลัน (Acute febrile phase) ซึ่งจะมีไข้สูงและมีอาการอื่นๆดังจะกล่าวในหัวข้อ อาการ ร่วมด้วย ระยะนี้กินเวลา 1-2 สัปดาห์
- ระยะกึ่งเฉียบพลัน (Subacute phase) ในระยะนี้จะมีการลอกของผื่น มีเกล็ดเลือดสูง (Thrombocytosis) และในระยะนี้อาจมีการโป่งพองของหลอดเลือดแดงหัวใจ (Coronary aneurysms) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตในช่วงนี้จากภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจโป่งพอง ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
- ระยะพักฟื้น (Convalescent phase) ระยะนี้อาการต่างๆ รวมทั้งความผิดปกติของเลือด/ซีบีซี กลับคืนสู่ปกติ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์หลังจากเริ่มอาการของความเจ็บ ป่วยจากโรคนี้
โรคคาวาซากิมีอาการอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคคาวาซากิจากอาการเป็นหลักสำคัญ คือ
- ไข้สูง ไข้ในโรคคาวาซากิจะสูงมากกว่า 101 องศาฟาเรนไฮต์ (Fahrenheit) หรือ 38.3 องศาเซลเซียส (Celsius) และไข้สูงไม่ลดลงแม้จะให้ยาปฏิชีวนะ หากไม่ได้รักษา ไข้จะสูง 1-2 สัปดาห์และอาจมีไข้สูงนานถึง 3-4 สัปดาห์
- นอกจากอาการไข้ จะมีอาการสำคัญหลักๆอีก 5 อาการ ได้แก่
- ตาแดงโดยไม่มีขี้ตาทั้งสองข้าง (Non exudative bulbar conjunctival injec tion)
- ริมฝีปาก คอและเยื่อบุปาก แดง ลิ้นเป็นตุ่มแดงนูนดูคล้ายผิวสตรอเบอร์รี (Strawberry tongue) และริมฝีปากแตก
- มือเท้าบวมแดงในเวลาต่อมา (ในประมาณสัปดาห์ที่ 2 และ 3) ปลายมือเท้าอาจลอก
- มีผื่นลักษณะต่างๆกันขึ้นตามตัวและอาจขึ้นมากบริเวรขาหนีบ
- ต่อมน้ำเหลืองลำคอโต คลำได้ ขนาดต่อมน้ำเหลืองมักโตมากกว่า 1.5 ซม. ไม่เจ็บ หรือเจ็บแต่น้อย
นอกจากนั้น อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ในโรคคาวาซากิ เช่น
- อาการทางหัวใจและหลอดเลือด
- มีภาวะหัวใจล้มเหลว มีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ และลิ้นหัวใจผิดปกติ
- มีความผิดปกติที่หลอดเลือดแดงหัวใจ
- มีการโป่งพองของหลอดเลือดแดงขนาดกลางที่ไปเลี้ยงส่วนอื่นๆของร่างกาย
- มีการอุดตันของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (แขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้า) ทำให้ปลายนิ้วขาดเลือดไปเลี้ยง
- อาการทางระบบทางเดินหายใจ
- อาการทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
- อาการทางระบบทางเดินอาหาร
- อาการทางระบบประสาท
- มีอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย อย่างมาก
- มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แบบไม่ติดเชื้อ (Aseptic meningitis)
- สูญเสียการได้ยิน
- อาการทางระบบทางเดินปัสสาวะ
- อาการอื่นๆ
มีโรคอะไรบ้างที่มีอาการคล้ายโรคคาวาซากิซึ่งต้องแยกจากกัน?
โรคที่มีอาการคล้ายกันและต้องแยกจากโรคคาวาซากิ ได้แก่
- การติดเชื้อไวรัส เช่น อดีโนไวรัส (Adenovirus), เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus), โรคหัด (Measles), เอบสไตน์-บาร์ไวรัส (Epstein-Barr virus) ซึ่งโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสมักจะมีอาการไข้ ออกผื่น และต่อมน้ำเหลืองโตได้ แต่ในแต่ละโรคก็อาจมีรายละเอียดที่แตก ต่างกันไป เช่น โรคหัดจะมีไข้สูงมาก ไอมาก ตาแดงแบบตาแฉะ มีน้ำมูก ประมาณ 3 วันจะมีผื่นขึ้น โดยผื่นจะขึ้นบริเวณไรผม หน้า ด้านข้างคอ แล้วค่อยๆไล่ลงมาที่ลำตัวแล้วลงไปที่ขาจนถึงตาตุ่ม ใช้เวลา 2-3 วัน ไข้จะลง ยกเว้นมีอาการแทรกซ้อนไข้จะไม่ลง เมื่อผื่นจะหายไป (ประ มาณหนึ่งสัปดาห์หลังผื่นขึ้น) ผิวหนังจะเป็นขุยแล้วหลุดลอกออก แพทย์รุ่นก่อนๆคุ้นเคยกับโรคหัดเพราะพบบ่อย หากได้ยินเสียงผู้ป่วยไอและมีไข้สูง ตาแดง แพทย์จะขอให้เด็กอ้าปากดูข้างกระพุ้งแก้มหากเห็นจุดขาวบนพื้นกระพุ้งแก้มที่แดง (ภาษาในหนังสือจะอธิบายว่าเหมือนไข่มุกบนพื้นกำมะหยี่สีแดง) แพทย์จะวินิจฉัยได้ตั้งแต่ผื่นยังไม่ออกและจะขอให้แยกผู้ป่วยไปไกลจากคนอื่นก่อน เนื่องจากอยู่ในระยะติดต่อ ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันจึงพบผู้ป่วยน้อยลงมากและวัคซีนทำให้มีภูมิคุ้มกันบางส่วน โรคก็จะมีอาการน้อยลง วินิจฉัยยากขึ้น
- การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ไข้อีดำอีแดง (Scarlet fever), โรคฉี่หนู (เลปโตสไปโรซีส /Leptospirosis), การติดเชื้อแบคทีเรียที่ต่อมน้ำเหลือง
ไข้อีดำอีแดงเกิดจากพิษ (Erythrogenic toxin) ของเชื้อแบคทีเรีย ชื่อสเตร็ปโตคอคคัส (Streptococcus) ผู้ป่วยมีอาการไข้สูงหรือต่ำก็ได้ มีเจ็บคอ ลิ้นแดง บริเวณใกล้ปลายลิ้นมักเห็นตุ่มนูนแดงทำให้เห็นเป็นลักษณะคล้ายผิวสตรอเบอร์รี ผิวหนังจะขึ้นผื่นแดง เมื่อลูบจะรู้สึกว่าสากซึ่งมีการอธิบายว่าเหมือนลูบหนังห่าน (Goose skin) ผื่นจะหายประมาณวันที่ 6-7 มีขุยสีน้ำตาล เวลาลอก มีปลายมือ ปลายเท้าลอก
โรคฉี่หนูเกิดจากเชื้อแบคทีเรียรูปเกลียวชนิดเลปโตสไปรา (Spiral-shaped bacteria of the genus Leptospira) ซึ่งพบได้ทั่วโลก แต่พบบ่อยในแถบร้อนชื้น (Tropical area) เชื้อกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในตัวของสัตว์กัดแทะ เช่นหนู และยังพบในวัว ควาย หมู เชื้อจะขับออกมากับปัสสาวะของสัตว์ดังกล่าว คนจะสัมผัสกับเชื้อนี้โดยการไปย่ำน้ำหรือไปทำนาทำไร่ เมื่อได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ได้ อาจมีอาการเพียงเล็กน้อยคล้ายไข้หวัด หรือมีอาการมากโดยมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อปวดขา ดาแดง และอาจมีผิวหนังขึ้นผื่นได้
- โรคระบบรูมาโตโลยี (Rheumatologic disease) ได้แก่ Systemic-onset juvenile idiopathic arthritis ซึ่งจะมีอาการปวดข้อร่วมกับอาการอักเสบไม่ติดเชื้อในอวัยวะระบบต่างๆของร่างกายด้วย
- โรคอื่นๆ เช่น
- ภาวะช็อกจากพิษ (Toxic shock syndrome) ซึ่งมักเกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ สแตฟฟิโลคอคคัส (Staphylococcus) แล้วมีอาการที่ผิวหนังเหมือนถูกน้ำร้อนลวก (Staphylo coccal scalded skin syndrome-4S)
- ปฏิกิริยาจากการแพ้ยา (Drug hypersensitivity reactions)
- กลุ่มอาการสตีเวน จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome)
ควรพบแพทย์เมื่อไร?
เมื่อเด็กมีไข้สูงร่วมกับอาการอื่นๆดังกล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ เช่น ตาแดง มีผื่น ริมฝี ปากแดง มือ เท้า บวม ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่ในระยะแรกๆของอาการ อย่านิ่งนอนใจให้แต่ยาลดไข้และอยู่บ้าน เนื่องจากไข้สูงในเด็กเป็นอาการของโรคหลายโรคที่ต้องหาสาเหตุ เพื่อการรักษาสาเหตุอย่างถูกต้องทันการ
สำหรับโรคคาวาซากิ จะมีปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนเรื่องหลอดเลือดแดงหัวใจโป่งพองได้บ่อย การรักษาที่ถูกต้องทันเวลา จะช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนนี้ตามมาในภายหลังได้เป็นอย่างมาก
แพทย์วินิจฉัยโรคคาวาซากิอย่างไร?
ในโรคคาวาซากิชนิดที่ธรรมชาติของโรคตรงไปตรงมา (Classic Kawasaki disease) แพทย์จะวินิจฉัยโรคได้จากอาการ คือ มีไข้สูงอย่างน้อย 4 วัน ร่วมกับมีอาการอื่นๆอีก 4 ใน 5 อาการที่สำคัญดังได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อ อาการ
ในผู้ป่วยบางคนโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ถ้ามีไข้ในระยะสั้นกว่า 4 วัน แต่อาการอื่นๆเข้าได้กับโรคนี้ชัดเจน แพทย์จะรีบให้การวินิจฉัยและรีบรักษาทันทีเพื่อป้องกันการเกิดความผิดปกติที่หลอดเลือดแดงหัวใจ ซึ่งจะมีโอกาสเกิดสูงในเด็กเหล่านั้น
อาการต่างๆนอกเหนือจากข้อบ่งชี้ในการวินิจฉัยโรคคาวาซากิ มักเกิดภายใน 10 วันหลังการเริ่มมีอาการผิดปกติ โดยอาการทางระบบทางเดินอาหารพบได้ประมาณ 65% ขณะที่อาการทางระบบทางเดินหายใจพบได้ประมาณ 30% ของผู้ป่วย อาการข้ออักเสบมักจะเกิดในสัปดาห์ที่ 2 หรือ 3 เกิดได้กับทั้งกับข้อเล็กๆ และข้อใหญ่ๆ ส่วนการปวดข้อที่ไม่มีอาการบวมแดง ร้อน (Arthralgias) อาจเกิดอยู่นานหลายสัปดาห์
อาการทางหัวใจพบมากที่สุดในโรคคาวาซากิ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเกิดมากกับผู้ป่วยในระยะที่มีไข้เฉียบพลัน โดยผู้ป่วยจะมีหัวใจเต้นเร็วโดยไม่ได้สัดส่วนกับไข้ (โดยปกติไข้สูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น 10-20 ครั้ง) ในโรคนี้พบว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าอัตราส่วนนั้น ร่วมกับมีการทำงานของหัวใจห้องล่างข้างซ้ายผิดปกติ ทำให้การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายลดลง จึงทำให้ผู้ป่วยบางคนมีอาการช็อก และในระยะไข้เฉียบพลันอาจมีเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และ/หรือมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจได้
หนึ่งในสี่ของผู้ป่วย จะมีลิ้นหัวใจไมทรัล (Mitral valve,ลิ้นกั้นระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและห้องล่างซ้าย) ปิดไม่สนิท (Mitral regurgitation) เล็กน้อย แต่จะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ยก เว้นในรายที่มีการโป่งพองของหลอดเลือดแดงหัวใจหรือกรณีที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอาการ มักจะไม่ดีขึ้น
ประมาณ 25% ของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับรักษา จะเกิดภาวะโป่งพองของหลอดเลือดแดงหัวใจ ซึ่งมักเกิดในประมาณสัปดาห์ที่ 2 หรือสัปดาห์ที่ 3 ของการเจ็บป่วย แพทย์จะทราบได้จากการตรวจเอคโคหัวใจ (Echocardiogram หรือ อัลตราซาวด์หัวใจ/Ultrasound) ในผู้ป่วยที่มีการโป่งพองของหลอดเลือดแดงหัวใจขนาดใหญ่มากกว่า 8 มิลลิเมตร (ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางด้านในของหลอดเลือด) จะมีความเสี่ยงสูงต่อการแตก หรือต่อการมีลิ่มเลือดอุดกั้น หรือต่อการตีบของหลอดเลือดแดงนั้นๆ และต่อการมีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
หลอดเลือดแดงที่รักแร้ ข้อพับเข่า หรือหลอดเลือดที่เลี้ยงช่วงล่างของลำตัว อาจมีการโป่งพองด้วย โดยแสดงให้เห็นเป็นก้อนเฉพาะที่ และมองเห็นการเต้นของก้อนไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
นอกจากนี้ คือ การตรวจวินิจฉัยจากการตรวจอื่นๆ และเนื่องจากไม่มีการตรวจทางห้อง ปฏิบัติการที่จำเพาะสำหรับโรคนี้ แต่จะมีผลตรวจบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงทำให้แพทย์นึกถึงโรคนี้ แพทย์จึงตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมได้แก่
- ตรวจเลือดดูลักษณะของการอักเสบ ได้แก่ ตรวจซีบีซีดูจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น และดูภาวะโลหิตจาง ตรวจเลือดดูสารซี-รีแอคทีฟโปรตีนสูงขึ้น มีไข่ขาว (Albumia) ในเลือดต่ำหรือไม่ และมีเกลือแร่/อิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) ผิดปกติหรือไม่
- ตรวจเลือดซีบีซีดูจำนวนเกล็ดเลือด พบว่าจะมีเกล็ดเลือดสูงขึ้น บางคนสูงมากเป็นล้านต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (ค่าปกติไม่เกิน 400,000 ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร) ซึ่งการมีเกล็ดเลือดสูงมากจะเกี่ยวข้องกับการเกิดความผิดปกติของหลอดเลือดแดงหัวใจ เกล็ดเลือดสูงมักพบหลังมีอาการประมาณหนึ่งสัปดาห์ไปแล้ว แต่ผู้ป่วยเด็กเล็กบางรายมีเกล็ดเลือดต่ำ และมีภา วะลิ่มเลือดกระจายไปทั่วในหลอดเลือด (DIC-Disseminated intravascular coagulation)
- ตรวจการทำงานของตับ จะมีการเพิ่มขึ้นของเอนไซม์ตับ
- ตรวจหาความผิดปกติในระบบอื่นๆที่แพทย์สงสัยมีความผิดปกติ เช่น อาจเจาะไขสันหลังตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อพิสูจน์ว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง หรือ ตรวจปัสสาวะเพื่อดูว่ามีความผิดปกติในทางเดินปัสสาวะหรือไม่
- ตรวจหัวใจโดยทำเอคโคหัวใจ เพื่อดูการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและดูหลอดเลือดหัวใจดังได้กล่าวแล้ว
การตรวจเอคโคหัวใจจะทำเมื่อใด?
เนื่องจากการโป่งพองของหลอดเลือดแดงหัวใจพบได้บ่อย และเป็นพยาธิสภาพที่สำคัญ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างมากแก่ผู้ป่วย แพทย์จะทำการตรวจสอบด้วยเอคโคหัวใจเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่จะตรวจเมื่อเริ่มวินิจฉัย เพื่อตรวจดูขนาดของหลอดเลือดแดงหัวใจไว้เป็นพื้นฐานสำหรับการเปรียบเทียบขนาดของหลอดเลือดแดงหัวใจว่า จะมีการโป่งพองหรือไม่ ซึ่งอาจทำซ้ำเมื่อมีอาการได้ 2-3 สัปดาห์ และเมื่อ 6-8 สัปดาห์
แพทย์จะทำเอคโคหัวใจเพื่อติดตามอาการต่อไปนานเท่าใด ขึ้นกับผู้ป่วยเป็นรายๆไป แต่ปกติอาจทำหลังจากผู้ป่วยหายเป็นปกติแล้วอีก 1 ปี บางคนอาจต้องติดตามต่อไปทุก 5 ปี ทั้งนี้โดยแพทย์ระบบโรคหัวใจ
แพทย์ทำอย่างไรเมื่อพบผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคคาวาซากิ?
เนื่องจากโรคคาวาซากิ จะมีอาการคล้ายกับโรคอื่นๆได้หลายโรค แต่แพทย์ก็จะมีแนว ทางในการวินิจฉัยตั้งแต่การซักถามประวัติอาการ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีแนวทางการปฏิบัติเรียกว่า Algorithm หมายถึง แพทย์จะดำเนินตามแนว ทางซึ่งได้มีการศึกษาและชี้แนะว่า หากอาการเป็นอย่างไร ควรจะตรวจอะไรต่อ หากมีหรือไม่มีอาการอะไรจะตรวจขั้นตอนไหนต่อไป เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนดังกล่าว มีผู้ศึกษาจนเป็นที่ยอมรับว่า เป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคนี้ได้
แพทย์รักษาโรคคาวาซากิอย่างไร?
ปัจจุบัน มีความก้าวหน้าในการรักษาโรคคาวาซากิมาก ในผู้ที่ได้รับการรักษา ในเวลาที่เหมาะสม (ภายใน 10 วันหลังจากเริ่มอาการ) จะลดอาการที่เกี่ยวกับหลอดเลือดแดงหัวใจจากประมาณ 20-25 % ของผู้ป่วย ลงเหลือเพียงประมาณ 2-4%
ยาหลักที่ใช้และยอมรับโดยทั่วไปคือ อิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) โดยให้ยาทางหลอดเลือดดำ และยาแอสไพริน ส่วนยาอื่นๆ ก็จะดูตามความเหมาะสม คือตามอาการของผู้ป่วย
เมื่อแพทย์ให้เด็กกลับบ้านได้แล้ว และในระยะยาว ควรดูแลเด็กอย่างไร?
แพทย์จะนัดติดตามเพื่อตรวจดูว่าเด็กมีปัญหาหลอดเลือดแดงหัวใจผิดปกติหรือไม่ จึงควรนำเด็กพบแพทย์ตามนัดเสมอ
ส่วนการเลี้ยงดูเด็ก ให้เลี้ยงดูเหมือนเด็กปกติ เพื่อที่เด็กจะเติบโตเช่นเด็กปกติ มีความเป็นตัวของตัวเอง และช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนเด็กปกติ
ป้องกันโรคคาวาซากิได้ไหม?
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคคาวาซากิ จึงยังไม่สามารถป้องกันได้ แต่เป็นโรคที่รักษาได้ การรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว จะป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งที่สำคัญ คือ หลอดเลือดแดงหัวใจโป่งพองได้มาก ผู้ปกครองควรปรึกษาแพทย์ให้เข้าใจธรรมชาติของโรคเพื่อการร่วมมือกันในการรักษาผู้ป่วย
ที่มา https://haamor.com/th/โรคคาวาซากิ/