ทั่วไป
ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด และเด็กเล็ก (Neonatal hyperbilirubinemia/ Neonatal jaundice) พบบ่อย และเป็นปัญหาสำคัญ ต้องให้การวินิจฉัย และรักษาในเวลาที่เหมาะสม หากวินิจฉัยไม่ได้หรือมาพบแพทย์เมื่อพ้นระยะเวลาที่จะรักษาได้ผลดี ย่อมทำให้ผู้ป่วยมีอาการมาก หรือสูญเสียหน้าที่ของอวัยวะบางอวัยวะ จนไม่สามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้
ในเด็กคลอดครบกำหนดพบภาวะตัวเหลืองได้ประมาณ 25-50% และพบมากขึ้นในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด แต่ส่วนใหญ่เป็นภาวะตัวเหลืองที่เกิดตามปกติ
อาการตัวเหลืองเกิดได้อย่างไร?
อาการตัวเหลืองเกิดจากการมีสารสีเหลืองที่เรียกว่า บิลิรูบิน (Bilirubin) จำนวนมากกว่าปกติคั่งอยู่ในอวัยวะต่างๆ ทำให้เห็นว่ามีผิวหนังทั่วตัว และตาขาว เป็นสีเหลือง
มีกลไกการเกิดและการกำจัดสารสีเหลืองบิลิรูบินอย่างไร?
สารสีเหลือง/บิลิรูบินนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเม็ดเลือดแดงแตกได้สารที่เรียกว่า บิลิเวอร์ดิน (Biliverdin) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นสารชื่อบิลิรูบินอยู่ในกระแสเลือด โดยปกติสารนี้จะถูกนำเข้าไปสู่ตับ มีการเปลี่ยนแปลงที่เซลล์ของตับ เปลี่ยนจากสารที่ละลายน้ำไม่ได้ (แต่ละลายได้ในไขมัน) เป็นสารที่ละลายน้ำได้ แล้วขับออกจากร่างกายผ่านไปในทางเดินน้ำดี เข้าสู่ลำไส้ และขับออกทางอุจจาระ ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อย ถูกดูดซึมจากลำไส้กลับเข้าสู่กระแสเลือด และขับออกทางปัสสาวะ
สารสีเหลืองบิลิรูบินเป็นสารที่เกิดตามปกติหรือไม่?
สารสีเหลือง/บิลิรูบินนี้โดยภาวะปกติก็เกิดอยู่แล้ว เพราะเม็ดเลือดแดงมีการแตกตัวตามอายุขัยของมัน คนปกติเม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วัน แต่ในเด็กแรกเกิดเม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าผู้ใหญ่ คืออายุประมาณ 80-90 วัน และเด็กแรกเกิดมีปริมาณเม็ดเลือดแดงมากกว่าผู้ใหญ่
เด็กแรกเกิดปกติจะมีการสร้างบิลิรูบินวันละประมาณ 6-10 มิลลิกรัม (มก.)/น้ำหนักตัว1กิโลกรัม (กก.) แต่ผู้ใหญ่จะมีการสร้างบิลิรูบินวันละ 3-4 มก./ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. อีกทั้งตับของเด็กแรกเกิดยังทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้พบภาวะตัวเหลืองได้บ่อยในเด็กแรกเกิด (ขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์ สารสีเหลืองจะผ่านรก เข้าสู่กระแสเลือดของแม่และขับออกทางตับของแม่)
เด็กตัวเหลืองมีสาเหตุจากอะไร?
เมื่อทราบกระบวนการที่ทำให้เกิด สารสีเหลือง/บิลิรูบิน และระบบการขับถ่ายสารนี้ออกจากร่างกายแล้ว จึงไม่ยากที่จะนึกถึงสาเหตุของภาวะตัวเหลือง ซึ่งได้แก่
- มีสารบิลิรูบินสร้างมากขึ้นกว่าปกติ โดยมีสาเหตุได้หลายอย่าง ทั้งสาเหตุจากมารดา และตัวเด็กเอง เช่น มีการแตกของเม็ดเลือดแดงของลูกเนื่องจากหมู่เลือดของแม่และของลูกไม่ตรงกัน จึงมีสารที่เป็นภูมิต้านทาน (แอนติบอดี/ Antibody) จากแม่มาสู่ลูกโดยผ่านทางรก สารดังกล่าวจะไปจับที่ผนังของเม็ดเลือดแดงของลูก ซึ่งร่างกายลูกมีกระบวนการกำจัดเม็ดเลือดแดงเหล่านี้ จึงทำให้เม็ดเลือดแดงของลูกแตก
นอกจากนี้การมีเลือดออกในเด็กแรกเกิด และคั่งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งจำนวนมาก เมื่อเม็ดเลือดแดงแตกก็จะได้สารบิลิรูบินมาก
การติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย ตั้งแต่ในครรภ์ เช่น ติดเชื้อ หัดเยอรมัน ซิฟิลิส หรือเชื้อซีเอ็มวี (CMV, Cytomegalovirus) เป็นต้น
การติดเชื้อในกระแสเลือดหลังคลอด เช่น เชื้อแบคทีเรีย และเชื้ออื่นๆ ก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้
เม็ดเลือดแดงผิดปกติแต่กำเนิด ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย ไม่ว่าจะเกิดจากรูปร่างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ การมีส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ทั้งความผิดปกติของการสร้างสารสีแดงที่เรียกว่าฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ในโรคธาลัสซีเมีย (มักเกิดจากกลุ่มที่เป็น ธาลัสซีเมีย ชนิด อัลฟา) หรือจากการที่มีเอนไซม์ (Enzyme) ที่จำเป็นสำหรับความแข็งแรงของเม็ดเลือดแดงผิดปกติ เช่น ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD) ล้วนทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย
เด็กที่มีภาวะขาดออกซิเจน เด็กที่มีแม่เป็นโรคเบาหวาน เด็กที่เกิดก่อนกำหนด และเด็กที่มีภาวะหายใจลำบาก ทำให้สร้างบิลิรูบินมากกว่าปกติ
- ความผิดปกติในกระบวนการนำสารบิลิรูบินในเลือดไปสู่เซลล์ตับ สารบิลิรูบิน จะไปที่เซลล์ตับ โดยมีโปรตีน (อัลบูมิน/Albumin หรือไข่ขาว) ในเลือดเป็นตัวนำไป หากโปรตีนต่ำมากๆ จะขาดตัวนำสารนี้ไปที่ตับ
เมื่อไปที่ตับจะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงสารบิลิรูบินจากที่ไม่ละลายน้ำไปเป็นสารที่ละลายน้ำและขับออกจากร่างกายได้ หากเอนไซม์นี้ผิดปกติ หรือหากมียา หรือสารชนิดอื่นมาแย่งจับ หรือขัดขวางการทำงานเอนไซม์นี้จะทำให้สารบิลิรูบินไม่ถูกเปลี่ยนไปเป็นสารที่จะขับออกได้ จึงมีสารบิลิรูบินคั่งอยู่ในเลือด/ในร่างกายมาก
- กระบวนการขับถ่ายออก คือเมื่อสารบิลิรูบินถูกเปลี่ยนแปลงที่เซลล์ของตับแล้ว จะถูกนำออกจากตับโดยผ่านทางท่อน้ำดี แล้วไปออกสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น จากนั้นขับออกทางอุจจาระ ท่อน้ำดีในตับเปรียบเหมือนคลองเล็กคลองน้อยที่จะนำน้ำดีออกสู่แม่น้ำใหญ่คือลำไส้
ดังนั้นหากมีการอุดตันของท่อน้ำดี โดยสาเหตุที่เกิดจากกายวิภาค คือท่อน้ำดีตีบตัน (Biliary atresia) หรือเกิดจากเซลล์ตับอักเสบ และบวมมาก จนท่อน้ำดีถูกเบียด หรือมีสารบิลิรูบินเข้มข้นอยู่จำนวนมากเหมือนโคลนไปทับถม ทำให้สารบิลิรูบินที่สร้างมาใหม่ๆ ไหลออกมาไม่ได้ ล้วนมีผลทำให้เกิดอาการตัวเหลืองได้ และแม้แต่การมีลำไส้อุดตัน หรือภาวะที่ลำไส้ขยับตัวเคลื่อนไหวน้อยในเด็กแรกเกิดที่ยังรับนมแม่ได้น้อย เนื่องจากแม่มีน้ำนมไม่เพียงพอในช่วงแรกๆ (Breastfeeding jaundice) จึงส่งผลทำให้มีการคั่งของน้ำดี ทำให้น้ำดีถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดมากขึ้น จึงเกิดตัวเหลืองได้
ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของบิลิรูบินจากที่ไม่ละลายน้ำ มาเป็นสารที่ละลายน้ำได้น้อยกว่าปกติจึงขับถ่ายบิลิรูบินได้น้อยกว่าปกติ
แพทย์รู้ได้อย่างไรว่าเด็กตัวเหลือง?
ในเด็กแรกเกิด แพทย์ต้องให้อยู่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการตัวเหลืองสัก 2-3 วัน ส่วนใหญ่แพทย์จะมองเห็นว่าเด็กตัวเหลือง อาการตัวเหลืองจะเริ่มเห็นจากใบหน้าเด็กก่อน แล้วไปที่ตัว ขา และเท้า แต่จะบอกละเอียดไม่ได้ว่าเหลืองเท่าใด แพทย์จึงต้องเจาะเลือดไปตรวจดูระดับความเหลืองและหากเด็กตัวเหลืองถึงระดับหนึ่ง แพทย์อาจต้องเจาะเลือดติดตามระดับสารสีเหลือง/บิลิรูบินอยู่บ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สารบิลิรูบินนี้มีมากเกินไปจนเกิดอันตราย
ดังนั้นพ่อแม่จึงควรเข้าใจว่าการเจาะเลือดตรวจเป็นสิ่งจำเป็น เพราะพ่อแม่ส่วนมากจะไม่อยากให้ลูกถูกเจาะเลือด สงสารกลัวลูกเจ็บ
สารสีเหลืองบิลิรูบินมีมากเกินไป เกิดผลเสียอย่างไร?
สารสีเหลือง/บิลิรูบิน ถ้ามากเกินไปโดยเฉพาะในส่วนที่ไม่ละลายน้ำ แต่ละลายในไขมัน (Unconjugated bilirubin) หากมากเกินกว่าที่อัลบูมินในเลือดจะจับไว้ได้หมด ส่วนที่เหลือจะผ่านเข้าไปสู่สมอง ไปจับที่เนื้อสมองทำให้สมองผิดปกติ เรียกว่าเคอร์นิกเทอรัส (Kernicterus) ในระยะต้นเด็กจะมีอาการเกร็ง ซึม ดูดนมไม่ดี อาเจียน ร้องเสียงแหลม หลังจากนั้นมีการเกร็งมากขึ้นชักหลังแอ่น มีไข้ ตาเหลือกขึ้นข้างบน เด็กหลายรายจะเสียชีวิตในระยะนี้ หากเด็กรอดชีวิตผ่านระยะนี้ไป จะไปสู่ระยะท้าย คือหลังแอ่นชัดเจน ความตึง หรือเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง หยุดหายใจ หมดสติ หรือเสียชีวิต หากไม่เสียชีวิตจะเกิดความพิการถาวร เช่น ชัก เกร็ง การเคลื่อนไหวผิดปกติ หูหนวก ปัญญาอ่อน และมีพัฒนาการช้า
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุเด็กตัวเหลืองอย่างไร?
เมื่อพบว่าเด็กแรกเกิดตัวเหลือง แพทย์จะแยกจากภาวะตัวเหลืองที่เกิดจากภาวะปกติของเด็กเสียก่อน (Physiologic jaundice) ซึ่งภาวะนี้เกิดจาก มีการแตกของเม็ดเลือดแดงในเด็กเร็วกว่าในผู้ใหญ่ และตับของเด็กแรกเกิดยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาการตัวเหลืองดังกล่าว จะมีระดับสารสีเหลือง/บิลิรูบินไม่สูงมาก มักเกิดหลังวันแรกของชีวิต ส่วนใหญ่เกิดวันที่ 2-3 และสารบิลิรูบินในเลือดจะไม่สูงขึ้นเร็ว กล่าวคือ อาการเหลืองจะไม่มาก เด็กจะไม่ซึม และไม่มีอาการอื่นๆ เช่น ภาวะติดเชื้อ โดยทั่วไปภาวะเหลืองปกติจะหายไปภายใน 7 วัน หรืออย่างมากไม่เกิน 10 วันในเด็กคลอดครบกำหนด แต่เด็กคลอดก่อนกำหนด อาการตัวเหลืองจะหายไปภายใน 2สัปดาห์
อาการตัวเหลืองที่ไม่ปกติ คือ เหลืองภายในวันแรกของชีวิต และเหลืองขึ้นรวดเร็ว เด็กมีอาการซึม หรือปริมาณสารสีเหลือง/บิลิรูบินในเลือดสูงเกินจากระดับปกติ ซึ่งแพทย์จะต้องหาสาเหตุ แพทย์มักจะมีแนวทางการค้นหาสาเหตุตามระยะ เวลาที่เกิดอาการเหลือง ซึ่งแพทย์จะแบ่งว่า ตัวเหลืองเร็ว คือภายใน 7 วัน กับตัวเหลืองหลัง 7 วัน
ตัวเหลืองภายใน 7 วัน ยังแบ่งเป็นเกิดอาการเหลืองในวันแรก กับเกิดอาการเหลืองวันที่ 2 ถึงวันที่ 7
โดยแพทย์มีแนวทางในการหาสาเหตุต่างๆ ดังได้กล่าวไว้ตอนต้น เช่น แพทย์จะตรวจหมู่เลือดของแม่และลูก ตรวจการทำงานของตับเพื่อเป็นแนวทางว่ามีการอุดตันของท่อทางเดินน้ำดีหรือไม่ ตรวจหาว่ามีภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี หรือมีการติดเชื้อไวรัสหลายชนิดตั้งแต่ก่อนคลอด หรือหลังคลอด หรือหลักฐานการติดเชื้ออื่นๆหลังคลอด หรืออาการตัวเหลืองเกี่ยวข้องกับนมแม่ คือ ช่วงเด็กแรกเกิด เกิดจากนมแม่ไม่พอ (Breast feeding jaundice) หรือ ช่วงหลังซึ่งหลังเด็กอายุตั้งแต่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป จะเกิดจากตัวนมแม่เอง (Breast milk jaundice, อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อของเรื่องนี้)
หากเหลืองหลังอายุ 7 วันไปแล้ว แพทย์จะดูว่ามีตับอักเสบจากเชื้อไวรัส หรือมีท่อน้ำดีตีบตัน หรือจากมีถุงน้ำในท่อน้ำดี(Choledochal cyst) ไปทำให้มีการอุดตันของทางเดินน้ำดีหรือไม่ ซึ่งอาจต้องเอกซเรย์ตามข้อบ่งชี้ หรือบางภาวะที่แพทย์ดูจากการวินิจฉัยอย่างอื่นแล้วแยกไม่ได้ว่ามีสาเหตุจากอะไร จำเป็นที่แพทย์ต้องผ่าตัดเข้าไปเพื่อฉีดสี และเอกซเรย์ว่าท่อน้ำดีตีบตันหรือไม่ ถ้ามีการตีบตันของท่อน้ำดี ต้องผ่าตัด ทำทางระบายให้น้ำดีขับออกไปทางลำไส้ได้ จะได้ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อตับ
แพทย์รักษาเด็กตัวเหลืองอย่างไร?
แนวทางการรักษาเด็กตัวเหลือง คือ
- แพทย์จะระวังไม่ให้ระดับของสารสีเหลือง/บิลิรูบินสูงมากเกินขนาดซึ่งจะไปทำอันตรายต่อเนื้อสมอง โดยแพทย์อาจจะส่องไฟรักษาเพื่อลดระดับสารสีเหลือง แต่หากไม่ได้ผล จะต้องเปลี่ยนถ่ายเลือดเพื่อกำจัดสารสีเหลืองออกไปให้มากที่สุดในเวลารวดเร็ว
- แพทย์จะรักษาตามสาเหตุ ซึ่งบางสาเหตุรักษาไม่ได้ ได้แต่ป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการมากขึ้น เช่นภาวะเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากยา หรือจากสารเคมี ก็ควรหลีกเลี่ยง หากเกิดจากการตีบตันของท่อทางเดินน้ำดีต้องรีบแก้ไขโดยการผ่าตัดในเวลาที่เหมาะสม
การส่องไฟรักษาทำอย่างไร? และช่วยรักษาได้อย่างไร?
เมื่อเด็กตัวเหลืองถึงเกณฑ์ที่ต้องส่องไฟรักษา แพทย์จะใช้แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent lamp) ชนิดพิเศษ (Special blue light) ส่องไปที่ตัวเด็ก ซึ่งจะใช้จำนวนหลอดไฟ และระยะห่างจากตัวเด็กตามมาตรฐาน โดยถอดเสื้อผ้าเด็ก และปิดตาเด็กไว้เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ตา แสงสีฟ้าที่ใช้มีความยาวคลื่นประมาณ 425-475 นาโนเมตร จะถูกดูดซึมโดยบิลิรูบิน และจะช่วยเปลี่ยนบิลิรูบินให้เป็นชนิดที่ละลายน้ำ และถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางน้ำดี ออกทางอุจจาระ และผ่านไตออกทางปัสสาวะ
การส่องไฟรักษาเด็กตัวเหลืองมีอันตรายหรือไม่?
การส่องไฟรักษาเด็กตัวเหลืองเป็นวิธีการทำกันมานานแล้วและปลอดภัย ช่วยลดการที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายเลือดได้มากอาการข้างเคียงจากการส่องไฟมีดังนี้
- เด็กอาจมีอุณหภูมิกายสูงขึ้น ดังนั้นต้องให้นมหรือให้น้ำเด็กให้เพียงพอ
- อาจมีผื่นขึ้นตามตัวได้บ้าง
- อาจมีอุจจาระเหลว
- ในเด็กที่มีสารไดเร็คบิลิรูบิน (Direct bilirubin, บิลิรูบินชนิดละลายน้ำได้) สูงอาจทำให้ผิวของเด็กดูเขียวๆ เหลืองๆ เป็นมัน เรียกว่า บรอนซ์เบบี้ (Bronze baby) แต่ไม่อันตราย
การเปลี่ยนถ่ายเลือดทำอย่างไร? มีอันตรายหรือไม่?
การเปลี่ยนถ่ายเลือดเป็นวิธีการรักษาที่จะช่วยนำสารที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ที่อยู่ในกระแสเลือดออกไปได้เร็ว หลักการ คือ เอาเลือดของคนปกติที่ผ่านการตรวจ สอบหมู่เลือด และการติดเชื้อในเลือด ตามวิธีมาตรฐานสากล แล้วนำเลือดในจำนวนมากกว่าเลือดเด็กอีกหนึ่งเท่าตัว (คำนวณว่าเด็กมีปริมาณเลือดเท่าใดแล้วคูณด้วยสอง) แล้วจึงค่อยๆดูดเลือดเด็กออก ใส่เลือดใหม่เข้าไปสลับกัน โดยการเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องทำในห้องที่ปลอดเชื้อ มีการตรวจสอบสัญญาณชีพของเด็กโดยตลอด มีการทดแทนสารน้ำและเกลือแร่ในเลือด เช่น แคลเซียมที่อาจต่ำลงจากการเปลี่ยนถ่ายเลือด ดังนั้นโอกาสติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนจากกระบวนการทำจะมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับผลดีจากการรักษา
นมแม่ทำให้เด็กตัวเหลือง ต้องหยุดให้นมแม่หรือไม่?
เด็กบางคนอาจเกิดอาการตัวเหลืองจากนมแม่ (Breast milk jaundice) กล ไกยังไม่แน่ชัดทั้งหมด แต่เมื่อลองหยุดนมแม่สัก 2-3 วัน สารบิลิรูบินจะลดลงมาก เป็นการพิสูจน์ว่าภาวะเหลืองเกิดจากนมแม่ หลังจากนั้นให้นมแม่ต่อได้ เพราะเด็กจะไม่เหลืองมากไปกว่าเดิม และไม่เกิดภาวะสารบิลิรูบินไปจับที่สมอง อาการของเด็กในภาวะนี้จะปกติ ไม่ซึม
อาการเหลืองจากนมแม่ เกิดเมื่อเด็กอายุหลังสัปดาห์ที่ 1 จนถึงสัปดาห์ที่ 2-3 หรืออาจนานกว่านั้นก็ได้ ซึ่งต้องแยกจากตัวภาวะเหลืองเนื่องจากนมแม่มีน้อย (Breast feeding jaundice) ซึ่งเกิดในช่วงอายุสอง-สามวันแรก ปัญหาหลังนี้เกิดจากลำไส้ของเด็กยังเคลื่อนตัวไม่ดี แต่จะดีขึ้นเมื่อให้ดูดนมแม่บ่อยๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนภาวะเหลืองจากนมแม่ (Breast milk jaundice) หากเหลืองมากจะดีขึ้นได้จากการรักษาด้วยการส่องไฟ
เมื่อไรควรพาเด็กไปพบแพทย์?
เมื่อสังเกตว่าเด็กตัวเหลือง ควรพาเด็กพบแพทย์เมื่อ
- เมื่อเด็กตัวเหลืองได้รักษาจนอาการเหลืองลดลงและออกจากโรงพยาบาลแล้ว กลับบ้านมีอาการเหลืองขึ้นอีกอย่ามัวเอาลูกตากแดด ควรพาไปพบแพทย์เพราะอาการเหลืองอาจเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน เพราะหลายครั้งที่พบว่าเด็กเหลืองมาก และเหลืองมานานกว่าจะมาโรงพยาบาล เนื่องจากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายบางครอบครัวยังเชื่อว่า ถ้าเหลืองให้เอาลูกตากแดดจะหายเหลือง ทำให้เสียโอกาสในการรีบรักษาให้ได้ผลดี
- ในเด็กที่อุจจาระสีซีดมากภาวะนี้ถือเป็นภาวะเร่งด่วนเพราะเป็นอาการของทางเดินท่อน้ำดีตีบตัน (Biliary atresia) เป็นภาวะที่ต้องรีบวินิจฉัย และผ่าตัดเปิดทางระบายน้ำดี
เวลาที่ดีที่สุดในการรักษาเด็กตัวเหลืองไม่ควรเกิน 2 เดือน (8 สัปดาห์)ควรระลึกเสมอว่า เมื่อตับวายเด็กไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เพราะหากเด็กอายุมากแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ตับ การทำงานของตับเสียมากขึ้นจนในที่สุดเกิดภาวะตับวาย เมื่อมีภาวะตับวายแล้วจะไม่มีทางรักษาเลย นอกจากโชคดีจะได้เปลี่ยนตับซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ และผลการทำการเปลี่ยนตับไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
สิ่งที่พบเสมอ คือ พ่อแม่ มักพาลูกที่มีอาการท่อน้ำดีตีบตัน ไปโรง พยาบาลล่าช้า เนื่องจากเด็กดูสบายดี ไม่เจ็บไข้ มีแต่เหลืองอย่างเดียว พ่อแม่จึงนิ่งนอนใจ ผัดวันประกันพรุ่ง จนสายเกินไปที่จะช่วยเหลือได้ทันท่วงที
เรื่องนี้สำคัญมากโดยปกติอุจจาระเด็กจะมีสีเหลือง หรือสีเขียว หรือสีน้ำตาล แต่เด็กที่มีอุจจาระซีดบางคนซีดจนเหมือนกระดาษหรือแป้ง ภาษาแพทย์เรียกว่า Acholic stool และมีตัวเหลือง ปัสสาวะเข้ม แต่บางคนอาจมองเห็นตัวเหลืองไม่ชัดเจน
ป้องกันภาวะตัวเหลืองในเด็กได้อย่างไร?
แม้สาเหตุของภาวะตัวเหลืองในเด็กหลายชนิดไม่สามารถป้องกันได้ แต่มีภาวะตัวเหลืองในเด็กบางภาวะสามารถป้องกันได้ เช่น
- ภาวะติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์ มารดาควรรีบฝากครรภ์ตั้งแต่ไตรมาสแรก (3เดือนแรกที่ตั้งครรภ์) ซึ่งจะได้รับประโยชน์ทั้งการเจาะเลือดตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง และตรวจหาภาวะติดเชื้อในแม่ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ โรคซิฟิลิส ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี/ โรคเอดส์ ทำให้สามารถทราบว่า อาจมีการติดเชื้อในเด็กตั้งแต่ในครรภ์ โรคบางอย่างสามารถรักษาได้
- เมื่อใกล้คลอด หรือในระหว่างให้ลูกกินนมแม่ แม่ต้องระวังการใช้ยาบาง อย่าง เช่น ยากลุ่มซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamide) ทำให้บิลิรูบินจับกับอัลบูมินได้ไม่ดี หรือทำให้มีเม็ดเลือดแดงแตกในเด็กที่มีภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficien cy) อาจทำให้เกิดตัวเหลืองในเด็กแรกคลอด
- ในเด็กแรกเกิด แม่ควรให้ลูกได้ดูดนมแม่เร็วที่สุด ให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ให้ได้ 10-12 ครั้งต่อวัน เพราะจะทำให้ลำไส้ของลูกเคลื่อนตัวทำงานได้ดี ช่วยขับสารสีเหลือง/บิลิรูบินออกไปได้ดี
- ไม่อบผ้าอ้อมด้วยลูกเหม็นซึ่งเป็นสารที่อาจทำให้เด็กที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดี เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกมากขึ้น ผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่ๆ ควรซักให้สะอาดก่อนใช้เพราะอาจถูกอบด้วยสารกันแมลง
ภายหลังการรักษาเมื่อเด็กกลับบ้านควรดูแลเด็กอย่างไร? ควรรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
ในเด็กที่มีอาการตัวเหลือง เมื่อรักษาสาเหตุและระดับของสารบิลิรูบินลดลงจนไม่อยู่ในระดับที่มีอันตราย ร่วมกับอาการทั่วไปของเด็กดี ไม่ซึม แพทย์จะอนุญาตให้พาเด็กกลับบ้านได้และแพทย์อาจนัดติดตามอาการอีกตามความจำเป็น และตามข้อบ่งชี้
การเลี้ยงดูเด็กเมื่อกลับบ้าน มารดา บิดาควรช่วยกันเลี้ยงลูก อาหารที่ดีที่สุดสำหรับเด็กในวัยนี้ คือ นมแม่อย่างเดียวจนถึงอย่างน้อยหกเดือน หลังจากนั้นให้อาหารเสริมตามวัย ร่วมกับนมแม่ต่อไป
ดังนั้นในช่วงที่ลูกตัวเหลือง ยกเว้นช่วง 2-3 วัน ที่แพทย์ต้องการพิสูจน์ว่าเหลืองจากนมแม่หรือไม่เท่านั้นที่แพทย์อาจให้ลองงดนมแม่ นอกเหนือจากนี้แม่ควรให้ลูกกินนมแม่ตลอด ในช่วงที่ลูกหยุดนมแม่ แม่ต้องปั๊มนมเก็บไว้ให้ลูกกิน (เก็บไว้ในตู้เย็น หรือแช่แข็งถ้าต้องการเก็บไว้นาน) การให้ลูกดูดนมอย่างถูกวิธีและดูดบ่อยๆ ทำให้นมแม่มีมากพอให้ลูกกิน เพราะนมแม่เป็นอาหารดีที่สุดของเด็กอ่อน
เด็กที่มีสุขภาพดีจะดูมีความสุข คือ ไม่ซึม กินได้ดี ดูดนมแรง กินนมอิ่มก็หลับได้ เล่นได้ ร้องเสียงดัง อุจจาระ ปัสสาวะปกติเด็กกินนมแม่อาจถ่ายอุจจาระวันละหลายครั้ง แต่น้ำหนักขึ้นดี
หากเด็กซึม ไม่ดูดนม ไม่ค่อยร้อง มีไข้ หรือตัวเย็นกว่าปกติ เหลืองมากขึ้น ท้องอืด อาเจียน ท้องเสียเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งใน 24 ชั่วโมง หรือถ่ายเป็นมูกหรือเลือดปนแม้แต่ครั้งเดียว ตาลอย กระตุก หรือชักเกร็ง หอบ เขียว อาการหนึ่งอาการใด หรือหลายอาการร่วมกัน ต้องรีบไปพบแพทย์ก่อนนัด หรือพบแพทย์ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ
มารดา บิดาควรศึกษารายละเอียดให้เข้าใจในสมุดพกประจำตัวเด็ก ในการเลี้ยงดู ติดตามดูแลเด็ก ทั้งเรื่องการให้วัคซีน การเจริญเติบโต พัฒนาการในด้านต่างๆ การให้อาหารเด็ก
ที่มา https://haamor.com/th/ภาวะตัวเหลืองในเด็ก/