บทนำ
ปัสสาวะรดที่นอน (Bedwetting หรือ Enuresis หรือ Nocturnal enuresis) เป็นภาวะ หรือ อาการ ผิดปกติที่เกิดจากการควบคุมการปัสสาวะไม่ได้ ส่งผลให้เกิดการปัสสาวะรดที่นอนในช่วงนอนหลับตอนกลางคืน (Nocturnal enuresis) หรืออาจปัสสาวะรดเสื้อผ้าในช่วงกลางวัน (Diurnal enuresis) หรือเกิดขึ้นทั้งช่วงกลางวันและช่วงกลางคืน (Mixed enure sis) ทั้งนี้ปัสสาวะรดที่นอนจะถือเป็นภาวะปกติ เมื่อเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 4 ปี เพราะเป็นช่วงอวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมทั้งระบบสมองและระบบประสาทซึ่งควบคุมการปัสสาวะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เด็กวัยก่อน 5 ปีจึงไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้
นิยาม: นิยามของปัสสาวะรดที่นอน คือ เด็กตั้งแต่อายุ 5 ปีขึ้นไปและยังคงปัสสาวะรดที่นอนอยู่ โดยถ้าอายุช่วง 5-6 ปี การปัสสาวะรดที่นอนหมายถึงปัสสาวะรดที่นอนตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปต่อเดือน และเมื่ออายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป การปัสสาวะรดที่นอนหมายถึงการปัสสาวะรดที่นอนตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไปต่อเดือน ส่วนคำจำกัดความของปัสสาวะรดเสื้อผ้า ยังไม่มีการกำหนดจำนวนครั้ง เพราะพบได้น้อยกว่าการปัสสาวะรดที่นอนมาก จึงหมายความกว้างๆว่า เด็กปัสสาวะรดเสื้อผ้าบ่อยจนผู้ปกครอง หรือคุณครูคิดว่าเป็นปัญหา
ทั้งนี้ เมื่อเด็กปัสสาวะรดที่นอนตั้งแต่เกิด และยังคงปัสสาวะรดที่นอนต่อเนื่องจนถึงอายุ 5 ปีขึ้นไป ไม่เคยมีช่วงที่ปัสสาวะปกติเลย เรียกว่า ปัสสาวะรดที่นอนปฐมภูมิ (Primary enuresis) ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยประมาณ 75-85% ของภาวะนี้ทั้งหมด แต่ถ้าเมื่อช่วงเด็กเล็กปัสสาวะรดที่นอน แต่อาการหายไปจนสามารถควบคุมการปัสสาวะได้เป็นปกติติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนแล้วกลับมามี อาการซ้ำใหม่อีก เรียกว่า ปัสสาวะรดที่นอนทุติยภูมิ (Secondary enuresis) ซึ่งพบได้ประมาณ 15-25%
ปัสสาวะรดที่นอนเป็นภาวะพบได้บ่อย การศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าภาวะนี้พบในเด็กชายบ่อยกว่าในเด็กหญิงประมาณ 2 เท่า และพบภาวะนี้ได้ถึงประมาณ 15-25%ในเด็กอายุ 5-6 ปี แต่ทุกๆ 1 ปีที่เด็กโตขึ้นอัตราการเกิดภาวะนี้จะลดลงประมาณ 15% เมื่อเด็กอายุได้ 7 ปี พบภาวะนี้ในเด็กชายประมาณ 9% ในเด็กหญิงประมาณ 6% เมื่ออายุได้ 10-12 ปี พบภาวะนี้ได้ 7-8%ในเด็กชาย และ 3-4%ในเด็กหญิง และเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่นยังคงพบภาวะนี้ได้ ประมาณ 1-3%ทั้งในเด็กชายและในเด็กหญิง
ปัสสาวะรดที่นอนมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
ปัสสาวะรดที่นอนปฐมภูมิ สาเหตุที่แน่นอนของปัสสาวะรดที่นอนปฐมภูมิ ยังไม่ทราบ แต่จากการศึกษาเชื่อว่าน่าเกิดจากหลายสาเหตุ หรือหลายปัจจัยร่วมกัน ซึ่งสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
- พันธุกรรม เพราะ พบภาวะนี้ได้สูงถึงประมาณ 77%ในเด็กที่ทั้งพ่อและแม่มีประวัติปัสสาวะรดที่นอนช่วงเป็นเด็ก พบได้ประมาณ 43% ถ้ามีพ่อ หรือแม่คนใดคนหนึ่งมีประวัติปัสสาวะรดที่นอน และพบได้ ประมาณ 15% ที่ทั้งพ่อและแม่ไม่มีประวัติปัสสาวะรดที่นอน นอกจากนี้ ในคู่แฝด เมื่อมีคนหนึ่งปัสสาวะรดที่นอน อีกคนจะมีอาการด้วยเช่นกัน และยังพบว่าเด็กที่ปัสสาวะรดที่นอนมักมีความผิดปกติในโครโมโซม (Chromo some) คู่ที่ 5, 8, 12, 13, หรือ 22
- สมอง และ/หรือระบบประสาทที่ควบคุมการปัสสาวะเจริญเติบโตช้ากว่าเด็กทั่วไป ซึ่งอาจพบร่วมกับเด็กพูดช้า หรือทำอะไรได้ช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน
- อาจมีการสร้างฮอร์โมนควบคุมปริมาณน้ำปัสสาวะในช่วงกลางคืนลดลงกว่าปกติ จึงส่งผลให้ปริมาณน้ำปัสสาวะสูงกว่าคนทั่วไปในช่วงนอนหลับกลางคืน
- อาจมีกระเพาะปัสสาวะเล็กกว่าคนทั่วไป
- กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะอาจทำงานลดลงในช่วงนอนหลับ
- อาจมีโรคที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ทำให้นอนหลับลึก เมื่อปวดปัสสาวะจึงไม่รู้สึกตัว
- อาจมีปัญหาทางด้านอารมณ์ จิตใจ เช่น พ่อแม่หย่าร้าง หรือปัญหาจากโรงเรียน แต่สาเหตุนี้ เป็นสาเหตุพบได้น้อยมากๆในปัสสาวะปฐมภูมิ
ปัสสาวะรดที่นอนทุติยภูมิ สาเหตุของปัสสาวะรดที่นอนทุติยภูมิ ได้แก่
- ท้องผูกเรื้อรัง เพราะก้อนอุจจาระจะส่งผลถึงการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะด้วย
- โรคของกระเพาะปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือการทำงานของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ หรือการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติจากโรคทางประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
- โรคของต่อมไร้ท่อ ที่ส่งผลให้ลดการสร้างฮอร์โมนควบคุมปริมาณปัสสาวะ ปริมาณปัสสาวะจึงสูงขึ้น
- โรคเบาหวาน (โรคเบาหวานในเด็กและในวัยรุ่น) เพราะส่งผลให้เกิดกระเพาะปัสสาวะ หรือประสาทควบคุมกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่าย
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน จากต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
- มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น หลับลึกจนไม่รู้ตัวว่าปวดปัสสาวะ หรือโรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea)
- โรคชัก
- มีพยาธิเข็มหมุด ซึ่งกระตุ้นการบีบตัวของทวารหนัก ส่งผลกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะให้บีบตัวผิดปกติด้วย
- มีปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจ เช่น ปัญหาจากโรงเรียน หรือ ปัญหาครอบครัว
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุปัสสาวะรดที่นอนได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุปัสสาวะรดที่นอนได้ด้วยการสอบถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆ ทั้งจากเด็ก และจากผู้ปกครอง ประวัติภาวะนี้ในครอบครัว โรคประจำตัวของเด็ก ยาที่ใช้อยู่ ประวัติการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ปัญหาจากเพื่อน โรงเรียน และจากครอบครัว การตรวจร่างกาย การตรวจปัสสาวะ อาจตรวจอุจจาระถ้าสงสัยสาเหตุจากพยาธิและอาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม เช่น ตรวจการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ทั้งนี้ขึ้นกับความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ นอกจากนั้นแพทย์อาจ แนะนำให้ทำบันทึกการปัสสาวะประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อค้นหาสาเหตุ และความสัมพันธ์ของอาการกับปัจจัยต่างๆที่กระตุ้นให้เกิดอาการนี้
รักษาปัสสาวะรดที่นอนอย่างไร?
แนวทางการรักษาปัสสาวะรดที่นอน คือ การรักษาสาเหตุ และการป้องกันการเกิดปัสสาวะรดที่นอนในช่วงการรักษาสาเหตุ
การดูแลรักษาป้องกันการปัสสาวะรดที่นอน เช่น
- การอธิบายให้เด็ก/ผู้ป่วย และครอบครัวได้เข้าใจ ไม่ล้อเรียน ไม่เครียด ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอาย และไม่ลงโทษ แต่ช่วยกันแก้ไข ปรับปรุง
- ให้เด็กดื่มน้ำมากขึ้นในช่วงกลางวัน แต่ลดอาหารและการดื่มน้ำในช่วงเย็น และไม่ดื่มน้ำ หรือเครื่องดื่มต่างๆก่อนนอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงเพื่อลดปริมาณปัสสาวะช่วงกลางคืน
- งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เพราะจะเพิ่มปริมาณปัสสาวะ และกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยและมาก เช่น ชา กาแฟ โคล่า และเครื่องดื่มชูกำลัง
- การปลุกเด็กให้ลุกขึ้นปัสสาวะ ก่อนช่วงเวลาที่สังเกตได้ว่าเด็กมักปัสสาวะรดที่นอน
- การติดสัญญาณเตือนเมื่อเสื้อผ้าเริ่มเปียก จากการปัสสาวะ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้แนะนำ
- การสวมใส่เสื้อนอนที่ ถอดได้ง่าย และจัดเตียงนอนเพื่อป้องกันปัสสาวะเปียก รดที่นอน ผ้าห่ม หรือเครื่องนอนอื่นๆ เพื่อช่วยลดความเครียด ความกังวลของเด็ก
- การฝึกการขับถ่ายและปรับพฤติกรรมในการขับถ่าย หรือการใช้ชีวิต รวมทั้ง การกิน การดื่ม ซึ่งแพทย์ พยาบาล และ/หรือนักจิตวิทยาจะเป็นผู้แนะนำ
- การใช้ยาโดยคำแนะนำของแพทย์ เมื่อการดูแลดังได้กล่าวแล้วไม่ได้ผล ซึ่งอาจต้องใช้ทั้งยา และการปรับพฤติกรรมดังกล่าวร่วมกัน ซึ่งยาที่ใช้อาจเป็นยาในกลุ่มที่ใช้ทางด้านจิตเวช เพื่อช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาท แต่สามารถมีผลต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้ ไม่ได้หมายความว่า เด็กเป็นโรคทางจิตเวช และ/หรือยาฮอร์โมนที่ควบคุมปริมาณน้ำปัสสาวะ และ/หรือยาต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
ปัสสาวะรดที่นอนรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
ปัสสาวะรดที่นอนเป็นภาวะที่ดูแลรักษาให้หายได้เสมอ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ไม่แก้ไข อาจก่อผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ ปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจ ต่อเด็ก จนอาจส่งผลถึงการเรียน บุคลิกภาพ และความประพฤติของเด็กได้ ดังนั้นเมื่อพยายามดูแลเด็ก หรือดูแลตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้น จึงควรปรึกษาแพทย์เสมอ เพื่อหาสาเหตุ และเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรรอจนเด็ก หรือตนเองเกิดปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ เพราะการแก้ไข รักษาปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ เป็นเรื่องยากเมื่อเกิดการสะสมของปัญหายาวนาน
ควรดูแลอย่างไรเมื่อปัสสาวะรดที่นอน? และควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลเมื่อเด็กปัสสาวะรดที่นอน หรือตัวเองปัสสาวะรดที่นอน คือ การเข้าใจ อธิบายให้เด็กเข้าใจด้วย พยายามหาสาเหตุ ช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอาย และไม่มีการลงโทษ
เมื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาแล้ว อาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ โดยเฉพาะถ้ามีการปัสสาวะรดที่นอนชนิดทุติยภูมิ ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุเสมอ
ป้องกันปัสสาวะรดที่นอนอย่างไร?
การป้องกันปัสสาวะรดที่นอน ที่อาจช่วยได้ คือ
- สอน และฝึกการขับถ่ายที่ถูกวิธีตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก
- รู้จักเข้าห้องน้ำเมื่อปวดปัสสาวะ ไม่กลั้นไว้ ไม่นั่งแช่นานๆ
- ปัสสาวะก่อนเข้านอนเสมอ
- งดอาหาร น้ำดื่ม เครื่องดื่ม ก่อนนอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง
- งด/จำกัดเครื่องดื่มมีกาเฟอีนดังกล่าวแล้ว
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพกาย (ลดโอกาสติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ) และเพื่อสุขภาพจิตที่ดี
ที่มา https://haamor.com/th/ปัสสาวะรดที่นอน/