ลบหน้าเหลี่ยม ด้วย โบท็อกซ์ (Botox)
ปรับรูปหน้าเรียวสวย โดยไม่ต้องผ่าตัด
- ขนาดและความกว้างของกระดูกขากรรไกร (Mandibular bone)
- ความหนาของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยว (Masseter muscle)
- เนื้อเยื่อไขมันโดยรอบกล้ามเนื้อ
ดังนั้นถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งมีมากกว่าปกติก็จะทำให้รูปหน้าดูเป็น เหลี่ยม ได้ซึ่งโดยมากแล้วมักมีสาเหตุจากกระดูกและกล้ามเนื้อมากกว่าเนื้อเยื่อไขมัน เราสามารถแยกภาวะทั้งสองออกจากกันได้คร่าวๆ โดยการกัดฟันถ้าโตจากกล้ามเนื้อ ใบหน้าก็จะดูเหลี่ยมมากขึ้นและคลำกล้ามเนื้อได้ชัดเจน
แต่ถ้าเป็นจากการโตของ กราม หรือ กระดูกขากรรไกร แล้ว เราสามารถคลำมุมกรามทั้งสองได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะถ้าดูจากด้านข้างของใบหน้าจะเห็นมุมกรามเป็นรูปเหลี่ยมชัดเจนอย่างไรก็ตามบางคนจะมีสาเหตุจากทั้งสองส่วนอยู่ด้วยกัน
ในการแก้ไขปัญหา หน้าเหลี่ยม นั้นจำเป็นต้องพิจารณาจากสาเหตุเป็นหลัก ในกรณีที่เกิดจาก กระดูกกราม ที่ใหญ่และกาง การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของ มุมกราม ลงบ้าง ยังถือเป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้กัน การผ่าตัดชนิดนี้จัดเป็นการผ่าตัดใหญ่ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการดมยาสลบ และมักกระทำในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่สามารถให้การดมยาสลบได้
สำหรับวิธีการผ่าตัดนั้น สามารถผ่าตัดผ่านผิวหนังบริเวณลำคอได้ต่อมุมกราม หรือในกรณีที่ไม่ต้องการให้เห็นเป็นรอยแผลภายนอกก็สามารถที่จะผ่าตัดผ่านเหงือกภายในช่องปากได้ ซึ่งวิธีหลังนี้มักเป็นที่นิยมมากกว่า เนื่องจากไม่มีแผลเป็นให้เห็น แต่มีข้อเสียก็คือการดูแลรักษาหลังผ่าตัดจะนานกว่าและรับประทานอาหารได้ลำบากในช่วงแรกหลังผ่าตัดปัญหาแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดชนิดนี้ ได้แก่ ใบหน้าดูไม่เท่ากันถ้ากระดูกที่ตัดออกมามีขนาดต่างกันมากหรือมุมปากตกเนื่องจากการบาดเจ็บของเส้นประสาทใบหน้า เป็นต้น
สำหรับการแก้ไขปัญหา ของ กล้ามเนื้อ ที่โตกว่าปกตินั้น ในอดีตเรามักนิยมใช้วิธีการผ่าตัดเอา กล้ามเนื้อ ออกบางส่วนเพื่อให้มันบางลง ส่วนวิธีการผ่าตัดก็คล้ายกับการผ่าตัดกระดูกกรามดังกล่าวข้างต้น ซึ่งวิธีการเช่นนี้มักก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมาค่อนข้างมาก เช่น มีก้อนเลือดคั่งหลังผ่าตัด การบาดเจ็บของเส้นประสาทใบหน้า และการหดรัดของกล้ามเนื้อส่วนที่เหลือไม่เท่ากัน เป็นต้น
ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถใช้นวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาทดแทนการผ่าตัดชนิดนี้ได้ เป็นการใช้สารเคมีเข้าไปยับยั้งการหดตัวของ กล้ามเนื้อ ซึ่งจะยังผลให้ กล้ามเนื้อ มีขนาดบางลงในที่สุด สารเคมีที่ใช้มีชื่อว่า โบทูลินัมท๊อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่เรานำมาใช้ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ในปัจจุบันสารเคมีชนิดนี้ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศไทยในขณะมีสองบริษัทด้วยกัน ได้แก่ Botox และ Dysport ซึ่งจากการศึกษาและนำมาใช้ โดยเฉพาะประเทศเกาหลีและฮ่องกง พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง ผู้ป่วยไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากการผ่าตัดไม่ต้องหยุดงาน เพราะสามารถฉีดแล้วกลับไปทำงานต่อได้เลยหลังรักษาผู้ป่วยจะรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน
ที่มา https://www.doctorcosmetics.com/read_content.php?id=1734&pagetype=articles