Photonic 500 คือ อะไร ?
ทางเลือกเพื่อคนเป็น สิว
ข่าวดี ! สำหรับคนที่เป็น สิวเรื้อรัง ทั้งกินยา ทายาแล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้น ลองมารู้จักกับ Photonic 500กันค่ะ ว่า ใช้ รักษาสิว รวมทั้ง แผลเป็น และ ยกกระชับใบหน้า ได้อย่างไร และ เห็นผลได้ดีเพียงใด
Photonic 500 คือ เลเซอร์ แบบหนึ่งจากเยอรมัน ซึ่งเราเรียกว่า low level laser therapy ซึ่งภาษาไทยเราเรียกว่า เลเซอร์ความเข้มต่ำ ถ้าเรารู้จัก เลเซอร์ ก็จะมีด้วยกันสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นเลเซอร์ความเข้มสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนรู้จักกันดี กลุ่มที่สองคือ เลเซอร์ความเข้มต่ำ
พวก เลเซอร์ความเข้มสูง เวลาปล่อยลำแสงออกไปมันจะทำให้เกิดความร้อนที่ผิว เลเซอร์ กลุ่มแรกจะเป็น เลเซอร์ ทำลาย ยกตัวอย่างเช่น มีขนต้องการทำลายขน มีไฝต้องการทำลายไฝ พวกนี้จะเป็นเลเซอร์ กลุ่มแรก เพราะฉะนั้นเวลายิง เลเซอร์ บนผิวจะรู้สึกร้อน
แต่ถ้าเป็น photonic 500 จะอยู่ในกลุ่มที่สองเป็น เลเซอร์ความเข้มต่ำ คือ เวลาทำแล้วจะไม่เกิดความร้อน จะเหมือนแสงวิ่งผ่านบนผิว และจะไปเปลี่ยนเคมีในเซลล์ อะไรก็ตามที่มีลักษณะเซลล์มีปัญหา อาจจะมีเคมีมากหรือน้อยเกินไป ตัว เลเซอร์ นี้จะไปปรับสมดุลของเคมีทำให้เข้าสู่ภาวะปกติ จริงๆแล้ว เลเซอร์ความเข้มต่ำ นี่สามารถใช้รักษาโรคได้หลายโรค
เลเซอร์ความเข้มต่ำ หรือเจ้า photonic 500 นี้ตัวเครื่องจะมี เลเซอร์ อยู่สองชนิด ชนิดแรกเลยก็เป็น infrared ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ที่ 810 นาโนเมตร อีกตัวหนึ่งจะเป็น แสงสีแดง ซึ่งจะอยู่ที่ 655 นาโนเมตร ออกฤทธิ์ที่เซลล์ต่างกัน ถ้าเป็น infrared จะออกฤทธิ์ที่ตัวเยื่อบุเซลล์หรือ cell membrane แต่ถ้าเป็น visible red light (แสงสีแดง) จะออกฤทธิ์ในเมโตรคอนเดรียล คือทำให้เซลล์เกิดพลังงาน เกิดการซ่อมแซมตัวเอง
เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เป็นเซลล์ปวดเกิดจากสมดุลเคมีเปลี่ยน ยกตัวอย่างเช่น เราเกิดอาการปวด สาเหตุเกิดจากการที่เซลล์หลั่งเคมีบางตัวทำให้เกิดอาการปวด หรืออย่างสิวอักเสบ เคมีกำลังเยอะเลย กำลังบวม เป็นหนอง ก็สามารถทำให้สงบได้
ที่เข้าใจก็คือสามารถรักษาได้ทั้งสิวอักเสบ เซบเดิร์ม แผลเป็น หลุมสิว เหตุผลคืออะไร
อย่างที่เราบอกว่า photonic 500 เป็น เลเซอร์ความเข้มต่ำ ออกฤทธิ์บำบัดเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์ที่ปวด ไม่ว่าจะทำงานมากไปหรือน้อยไป ทีนี้ถ้าเรามาโฟกัสในเรื่องของสิว หรือโรคผิวหนังที่จะเจอบ่อยคือ เซบเดิร์ม
ทีนี้ในช่วงของ สิวอักเสบ ถ้าเราใช้ เลเซอร์ photonic 500 ไปบำบัดมันจะมีโปรแกรมบำบัดโดยเฉพาะสามารถตั้งได้ในตัวเครื่อง หลักการของสิวที่อักเสบเกิดขึ้นเพราะมีการหลั่งสารบางตัวชื่อว่าพรอสตาแกลนดินส์เยอะ ทำให้เกิดการบวมฉ่ำและปวด ฉะนั้นเมื่อเราใช้ เลเซอร์ ตัวนี้เข้าไปบำบัด เรารู้แล้วว่ามันช่วยยับยั้งเคมีพวกนี้ได้ ทำให้สารพรอสตาแกลนดินส์หยุดหลั่ง การอักเสบก็จะแห้งลง ซึ่งถามว่าเห็นผลเมื่อไหร่ โดยปกติพวกนี้ เลเซอร์ความเข้มต่ำ ก็จะแตกต่างจาก เลเซอร์ความเข้มสูง พวกนี้จะต้องทำถี่นิดหนึ่ง สัปดาห์แรกๆนี่ควรจะทำ 2-3 ครั้ง แต่ห้ามเกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้าหากคนนั้นเป็นไม่มาก ประมาณ 6 ครั้งก็จบแล้ว แต่ถ้าคนนั้นเป็นเรื้อรังมานาน อาจจะต้อง 12 ครั้ง ซึ่งเราเรียกว่า session
อีกอันก็คือในบางกรณีจะไม่ใช่อักเสบอย่างเดียว มีเรื่อง หลุม กับ เรื่อง รอยนูนแผลเป็น ถ้าเกิดว่ามี รอยนูนแผลเป็นร่วมด้วย และเซลล์เริ่มโอเวอร์ คือสร้างพังผืดมาเยอะ เราก็จะมีโปรแกรมที่สามารถตั้งได้ในเครื่องเรียกว่าโปรแกรมสกา (Scar) เข้าไปกดรอยนูนให้ราบลงโดยไม่ต้องฉีดยา หรือถ้าเกิดเป็นหลุม ก็เป็นลักษณะ inert คือทำงานน้อย ก็จะไปปลุกเซลล์ที่มีการทำงานน้อยให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาทดแทน เลเซอร์ ตัวนี้สามารถกระตุ้นและยับยั้งได้ในเวลาเดียวกัน แล้วแต่โปรแกรมที่เราเลือกใส่ ซึ่งตัวเครื่องนี้มีหลายร้อยโปรแกรม เหมือนกับเราส่งโค้ดของเซลล์เข้าไป
เครื่องนี้มีข้อจำกัดหรือไม่ว่าใครที่ไม่สามารถใช้ได้
เครื่องตัวนี้ข้อดีของเค้าก็คือจะไม่มี down time เช่นการเกิดผิวแดงไหม้ ร้อนผิว เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น มีอย่างเดียวก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใส่โปรแกรมของเซลล์ผิด ก็จะทำให้ไม่เกิดผลใด และสามารถทำได้ทุกวัยตั้งแต่เด็ก เพราะว่าเราไม่ต้องสัมผัสตัวเด็กเลย คือแค่แสงวิ่งอย่างเดียว แต่ข้อจำกัดอยู่ตรงที่ว่า
1. ห้ามทำในตำแหน่งที่มีเนื้องอก หรือที่เป็นเซลล์มะเร็ง ตำแหน่งเหล่านี้เราจะใช้เครื่องนี้ไปสแกนไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นเซลล์บำบัด ดังนั้นอาจทำให้เกิดอาการเซลล์แปรปรวนได้
2. ตำแหน่งที่ใกล้หัวใจ หัวใจนั้นมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีแผลที่ใกล้หัวใจ หรือโรคที่ใกล้หัวใจ เมื่อสแกนไปมันจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปอีกแบบหนึ่ง อาจจะรบกวนการทำงานของคลื่นหัวใจได้
ดังนั้นจึงมีสองเรื่องที่ต้องระวังคือ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องนี้ในตำแหน่งที่มีก้อนเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็ง และตำแหน่งใกล้หัวใจ
การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถใช้ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีอื่น หรือเลเซอร์ตัวอื่นๆ ได้หรือไม่
เลเซอร์ ตัวนี้นิยมใช้กันมากในต่างประเทศ โดยแพทย์เฉพาะทางในหลายๆ ด้าน เช่นตั้งแต่หมอกระดูกก็ใช้ เรื่องของกระดูกติด กล้ามเนื้อปวดเรื้อรัง ซึ่งพวกนี้เรารู้ว่าเป็นผลพวงจากเซลล์ปวด ต่างประเทศใช้ก่อนการจัดกระดูกเพื่อให้กล้ามเนื้อนั้นนิ่มและจัดได้ง่าย หรือแพทย์บางท่านใช้ร่วมกับการรักษาด้วยยา หมอศัลยกรรมตกแต่งก็ใช้ ใช้หลังการผ่าตัด เพราะหลังจากการผ่าตัดจะมีการบวมช้ำ ห้อเลือด หลังทำตาสองชั้น หลังการเสริมจมูก พอสแกนไปแล้วซัก 4-5 วันก็หายเป็นปกติ แพทย์ผิวหนังก็ใช้ คือใช้เรื่องของสิว ของแผลเป็น ใช้เรื่องของยกกระชับใบหน้า แพทย์ฝังเข็มก็ใช้ร่วมกับการฝังเข็มได้ด้วย ในต่างประเทศจะเรียกว่า combination เราสามารถใช้รักษาร่วมกับวิธีอื่น ๆ คือยานั้นเป็นเรื่องปกติ การทายาหรือรับประทานยาก็ยังคงใช้เหมือนเดิม
สามารถใช้กับเครื่องมือได้สองแบบ แบบแรกคือการใช้ร่วมกับ เลเซอร์ความเข้มสูง ยกตัวอย่างเช่นการใช้ เลเซอร์ความเข้มสูง ทำลายขน หรือ หูด กรณีแบบนี้จะใช้การรักษาด้วย เลเซอร์ความเข้มสูง ก่อน แล้วจึงค่อยใช้ เลเซอร์ความเข้มต่ำ ไปตบทับทีหลัง เพื่อลบทำให้แผลหายเร็ว ลดอาการปวด ลดอาการแดง ถ้ารักษาด้วย เลเซอร์ความเข้มสูง ต้องใช้ เลเซอร์ความเข้มสูง ก่อน
ต้องใช้วิธีนี้นานแค่ไหนจึงจะเห็นผลในเรื่องของการรักษาสิว หรือเซบเดิร์ม
จริง ๆ แล้วผลพวกนี้ถือว่าเร็ว ถ้าในคนที่มีสิวอักเสบ เมื่อทำครั้งแรกก็จะเห็นแล้วว่าแห้งลงตั้งแต่วันแรกที่ทำ ถามว่าทำไมเร็วขึ้นกว่าตอนที่ไม่ได้ทำ เพราะว่าเซลล์มันถูกยับยั้งจากอาการปวดให้ดีขึ้น แต่ถ้าถามว่าทำครั้งเดียวแล้วหายเป็นปกติเลยมั้ย ก็ต้องตอบว่ายัง เนื่องจากการหลั่งของเคมีเรามันก็เหมือนกับการเปิด-ปิดสวิตซ์ของเซลล์
สมมุติว่าวันแรกเรามีเคมีที่เปิดสวิตซ์เยอะแยะเลย เคมีหลั่งเต็มที่ พอเราไปใช้เครื่องสแกนครั้งเดียวเพื่อให้มันปิดทันทีเลยก็ไม่ใช่ แต่มันจะเริ่มหยุด ฉะนั้นการหยุดมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ทำ เพราะฉะนั้นแล้วโดยทั่วไปขั้นต่ำก็จะทำ 6 ครั้ง ถ้าสวิตซ์ของเคมีไม่ถูกเปิดและเคมีไม่ออกมาเยอะ 6 ครั้งคือจบเลย แต่ถ้าเป็นเรื้อรังนานๆนั้นขั้นต่ำอยู่ที่ 12 ครั้ง แต่การเห็นผลก็คือเห็นว่าดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก แต่ยังไม่สู่ภาวะปกติ ส่วนใหญ่ก็จะทำกัน 6-12 ครั้งแล้วแต่ปัญหา โดยทำสัปดาห์ละประมาณ 2-3 ครั้ง ฉะนั้นใน 1-2 สัปดาห์จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้เลย
หลังจากทำการรักษาด้วยวิธีนี้ จะทำให้ความถี่ในการเกิดสิวห่างออกไปหรือไม่
เรื่องของสิว จากที่เคยมีประสบการณ์ แน่นอนเลยเรื่องของสิวที่บวมแดงช้ำ เป็นหลุมแผลเป็น หรือรอยนูน อันนี้ช่วยได้อยู่แล้ว อันที่สองคือกลุ่มที่เป็นเรื้อรังแล้วต้องพึ่งแต่ยา ต้องกินยาพวกกรดวิตามินเอทำให้หน้าแห้ง ตาแดงตลอดเวลา เครื่องนี้ก็สามารถออกฤทธิ์ไปที่ต่อมไขมัน เพราะคนที่เป็นสิวนั้นต่อมไขมันจะทำงานมากเกินไป เราจะมีโปรแกรมสิว ซึ่งจะยิงโค้ดไปที่ต่อมไขมันโดยตรง ทำให้ต่อมไขมันนั้นทำงานน้อยลง ฉะนั้นหน้าก็จะมันน้อยลงโดยไม่ต้องกินยา บางคนหน้ามันแต่ไม่มีสิวแต่รำคาญกับหน้ามัน พอมาสแกนแล้วหน้าก็จะหายมัน แต่ถามว่าถาวรมั้ย คำตอบก็คือไม่ ตราบใดที่ เลเซอร์ ยังเข้าไปช่วยก็จะทำให้เกิดความสมดุลอยู่ หากว่าไม่ได้ทำซัก 2-3 เดือน และเป็นคนที่ปกติก็หน้ามัน พอระยะหนึ่งก็จะถูกปลุกใหม่ ฉะนั้นในคนที่หน้ามัน ก็จะทำ 2-3 อาทิตย์ครั้ง เพื่อทำให้ไม่มีสิวและหน้าก็ดูไม่มัน และเป็นการป้องกันสิวโดยไม่ต้องพึ่งยากินและยาทา
คนไข้ที่เข้ามารับการรักษาสามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามปกติหรือไม่
ได้ตามปกติ การใช้ เลเซอร์ ตัวนี้ไม่มีข้อห้ามในเรื่องของการใช้ครีมทาผิว ยากิน ยาทา การรักษาอื่น ๆ ทุกอย่างสามารถทำได้ตามปกติเหมือนเดิม แต่อาจจะกล่าวได้ว่าตัวนี้เป็นเหมือนทางลัดของเซลล์ที่ปวด เหมือนภาษาชาวบ้านก็จะเรียกว่าน้ำเหลืองไม่ดี สมัยก่อนเด็ก ๆ เป็นแล้วทุกอย่างหายเร็ว เพราะเซลล์มันยังขยัน แดงก็ไม่นานแป๊บเดียวก็หาย แต่พออายุมากขึ้นก็จะช้าลงอันนี้เป็นทุกคน เราเรียกว่า inert คือพลังงานมันน้อย เพราะฉะนั้นตัวนี้จะช่วยให้เซลล์กลับมาอยู่ในภาวะเหมือนตอนเราเด็กๆ ก็มีการซ่อมได้เร็ว ก็เป็นทางลัดทางหนึ่ง
ค่าใช้จ่ายในการรักษา
การรักษาแต่ละครั้งนั้นจะถูกกว่าการรักษาด้วย เลเซอร์ความเข้มสูง แต่จำนวนครั้งจะบ่อยกว่า ปกติค่าใช้จ่ายก็จะคิดเป็น session ว่าจะทำ 6 หรือ 12 ครั้ง เฉลี่ยต่อครั้งอยู่ที่ประมาณพันกว่าบาท ต่อหนึ่ง area บางคนก็มีหลายปัญหาแต่ถ้าเราทำทั่วหน้าเลยก็จะคิดเป็น 1 area แต่ละครั้งก็จะมี 3 โปรแกรมที่ใส่เข้าไปได้ สมมุติว่าใบหน้าคนนั้นอาจจะมีเรื่องสิวเราก็จะใส่เป็นโปรแกรมสิว ถ้าคนนั้นมีแผลเป็นเราก็จะใส่โปรแกรมรอยแผลเป็น ถ้ามีหลุมก็จะใส่โปรแกรมหลุม แต่ใส่มากกว่า 3 โปรแกรมในหนึ่งครั้งไม่ได้ เพราะเครื่องจะเริ่มงง ใส่เยอะไปไม่ได้ ครั้งหนึ่งจะได้เพียง 2-3 โปรแกรม เหมือนใส่โค้ดของเซลล์แล้วคราวหน้าค่อยมาทำอย่างอื่นต่อ นี่คือรวมเป็นหนึ่งครั้ง ครั้งละประมาณพันกว่าบาท
ที่มา https://www.doctorcosmetics.com/read_content.php?id=1906&pagetype=articles