5 กิจวัตร สร้างสรรค์พัฒนาการลูก


760 ผู้ชม


"5 กิจวัตร สร้างสรรค์พัฒนาการลูก"

    แน่นอนว่าประสบการณ์ชีวิตของเจ้าหนูแบเบาะ ไม่ใช่การเดินป่าหรือท่องต่างแดน แต่เป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวที่ลูกทำซ้ำ ๆ อยู่ทุกวัน ซึ่งจะทำให้เขาได้จดจำ เรียนรู้และมีพัฒนาการที่ดีได้ ลองมาดูกันค่ะ ....

อย่า..อย่าเพิ่งทำหน้าไม่เชื่ออย่างนั้น มาลองดูกันค่ะ....
            แม้พัฒนาการของวัยแบเบาะแต่ละคนจะคลาดเคลื่อน ช้า เร็วไปบ้างไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาก็จริง แต่เรื่องอะไรเราจะปล่อยโอกาสทองของช่วงวัยนี้ให้หลุดลอยไป เพราะวัยขวบแรกการพัฒนาและการเรียนรู้ของเจ้าหนู เปรียบได้กับฟองน้ำ ที่สามารถซึมซับน้ำเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว และหากเปรียบน้ำเป็นดั่งประสบการณ์ชีวิตแล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพกพาประสบการณ์เหล่านั้น มาให้เจ้าหนูซึมซับด้วยค่ะ

กิจวัตรที่ 1 : อาบน้ำป๋อม..แป๋ม
            นอกจากความสะอาดหอมสดชื่นที่เขาได้รับแล้ว ยังจะได้รับความรู้สึกผูกพันและสัมผัสรักอีกด้วย เมื่อคุณแม่เอามือถูลูบไล้ตัวเขา พูดจาหยอกล้อหยอกเอิน ร่วมกับอุณหภูมิของน้ำที่กำลังสบายไม่ร้อนไม่เย็นเกินไป ถือเป็นเวลาที่ผ่อนคลายและสบายที่สุดยามตื่นนอนเลยเชียว ส่วนวิธีเสริมพัฒนาการให้เขายามอาบน้ำก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เช่น
             ที่เป่าฟองสบู่เลยค่ะเด็ดดวงที่สุด พ่วงเดียวก็ทำให้การอาบน้ำของเขาเป็นเรื่องสนุกได้ เพราะเจ้าหนูจะได้ฝึกสายตาในการมองตามฟองสบู่จนเพลิน ทำให้คุณแม่อาบน้ำเขาได้ง่ายขึ้นแถมได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ด้วยการไขว่ขว้าและตีฟองสบู่ให้แตก ลองสังเกตตอนฟองสบู่ลอยล่องให้ดีๆ สิ เจ้าหนูตื่นเต้นใหญ่เชียว
             ของเล่นในน้ำก็สุดยอดเหมือนกัน เช่น ตุ๊กตาโฟมพลาสติกที่สามารถลอยน้ำได้ หรือแม้แต่ขันใบเล็กๆ ที่เขาได้ตักน้ำเทไปมา แค่นี้ลูกก็สนุกกับการเรียนรู้ได้มากมายและพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือก็แข็ง แรงขึ้นด้วย
กิจวัตรที่ 2 : ถึงเวลาหม่ำ หม่ำ....
            ไม่ว่านมหรืออาหารเสริมก็เสริมพัฒนาการให้ลูกได้เหมือนกัน เพราะวัยนี้ลูกจะสนุกกับการเอาของเข้าปากมากทีเดียว....
             เด็กวัย 0-6 เดือน : อาหารหลักของลูกวัยนี้คือน้ำนมแม่ ที่นอกจากจะช่วยให้ร่างกายหนูเจริญเติบโต สุขภาพแข็งแรงแล้ว การดูดนมแม่ยังช่วยเสริมพัฒนาการด้านการกลืน การใช้เหงือกคบกัดหัวนมคุณแม่ การใช้ลิ้นดุน ซึ่งแน่นอนว่าลูกจะรู้สึกดีกับหัวนมคุณแม่มากกว่าหัวนมยางแน่นอน เท่านี้เจ้าตัวจ้อยก็จะรู้จักความแตกต่างแล้ว....
            หากเจ้าหนูเขามีความพร้อมมากขึ้น ลองให้เปลี่ยนรสชาติจากน้ำนมเป็นน้ำส้ม หรือน้ำแอปเปิ้ล เมื่อล่วงเข้าวัย 4 เดือนแล้ว การรับรู้รสชาติที่มากขึ้นอาจจะทำให้เขาประหลาดใจในตอนแรกๆ แต่ก็จะเริ่มปรับสภาพพร้อมรับกับรสชาติใหม่ๆในชีวิต
             เด็กวัย 6-12 เดือน : วัยนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรให้เขากินแต่อาหารเหลวเพียงอย่างเดียว ควรเริ่มอาหารหยาบมากขึ้น เพราะเจ้าหนูจะได้มีพัฒนาด้านการการบดเคี้ยวที่ดี หรือลองทำฟิงเกอร์ฟู้ดด้วยผลไม้ให้ขบกัดเล่นสักนิด รับรองนอกจากจะได้คุณค่าแล้ว ยังแก้คันเหงือกจากฟันขึ้นอีกด้วย เด็กที่กินแต่อาหารเหลวเพียงอย่างเดียว จะเป็นคนกินยากในอนาคตเนื่องจากไม่ได้รับการฝึกการบดเคี้ยวมาตั้งแต่เด็ก นั่นเอง
กิจวัตรที่ 3 : เปลี่ยนผ้าอ้อม...เบาสบายตัว
            งานนี้เจ้าหนูส่วนใหญ่จะกระจองอแง ก่อนที่จะเปลี่ยนผ้าอ้อมกันอยู่แล้ว เพราะความเฉอะแฉะบวกกับความเหม็นเฉ่า ๆ อีกต่างหาก แต่เอ...เราจะแฝงการเสริมพัฒนาการแบบไหนให้เขาดีน่ะ
            ก็ด้วยปากและใบหน้าเราเนี่ยะแหละค่ะ พูดไปมองหน้าเขาไประหว่างแกะผ้าอ้อม "รอเดี๋ยวนะจ้ะตาหนู เดี๋ยวมามี้แกะเสร็จแล้วเดี๋ยวจะเช็ดก้นให้ ....." พูดคุยกับเขาไปเรื่อย ๆ ทีนี้พอตอนหลังเมื่อเขาร้องโยเยเพราะเปียกชื้นอีก เราก็เตรียมตัวพูดไปแกะผ้าอ้อมไปเลยค่ะ เสียงพูดคุยนี้จะทำให้ลูกคลายโยเยลง เพราะรู้ว่า อีกเดี๋ยวตัวของเขาก็จะแห้งสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
กิจวัตรที่ 4 เล่นกระหน่ำจนหนำใจ...
            ของเล่นของลูกต้องเลือกให้เหมาะสมตามวัย จึงจะสามารถเสริมพัฒนาการของลูกได้อย่างถูกต้อง หรือเรียกได้ว่าใช้ของเล่นเป็นสื่อ เพื่อให้ลูกฝึกความสามารถด้วยตัวเองค่ะ
            เมื่อเกิดมาหน้าคุณพ่อกับคุณแม่นี่แหละเป็นของเล่นชั้นดี ลูกจะชอบมองดวงตาที่กระพริบและปากขยับพูด การเล่นกับลูกบ่อย ๆ จะทำให้เขาจำหน้าเราได้ พร้อมกับสร้างความไว้ใจเชื่อใจในตัวพ่อแม่ให้เกิดขึ้น
            โตขึ้นมาอีกนิดเริ่มเป็นวัยคว้าจับ ของเล่นควรเป็นของเล่นพอจับถนัดมือไร้คม มีเสียงกรุ๊งกริ๊งด้วยก็ดี เพราะเมื่อเขาสะลัดสะบัดของเล่น ก็จะฝึกความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ด้วย ที่สำคัญควรเลือกของเล่นให้หลากหลายทั้งวัสดุ ขนาด และสี เพราะประสบการณ์ยิ่งมากก็ยิ่งพัฒนาดี
กิจวัตรที่ 5 เข้านอน...ครอกฟรี้ Z z z z z 
            คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักจัดสิ่งแวดล้อมให้ลูกค่ะ หากอยากให้ลูกแยกเวลากลางวันกลางคืนออกจากกันเป็น ตอนกลางคืนก็ควรจัดแสงไฟในห้องนอน ให้แสงไฟสลัว ๆ ไม่มีเสียงอึกทึก ให้เขารู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาสงบที่เขาควรนอน
            ที่สำคัญการนอนอย่างเต็มอิ่มจะทำให้ร่างกายหลั่ง Growth Hormone ออกมาด้วย ฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยให้การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจกังวลว่าลูกนอนพอหรือไม่ ให้สังเกตจากเวลาที่ลูกตื่น หากขึ้นมาร่าเริงแจ่มใสนั่นแสดงว่าเต็มอิ่มแล้ว แต่คนไหนโยเยก็แสดงว่ายังนอนไม่พอ อาจมีสิ่งเร้ากระตุ้นให้เขาตื่น ต้องช่วยจัดการเพื่อให้ลูกหลับสบาย
            สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลายคนมักนึกไม่ถึง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะได้ใช้โอกาสเหล่านี้พัฒนาลูกได้เต็มที่แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าให้เวลาดูแลและเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองมากน้อยแค่ไหน โอกาสทองของวัยขวบแรกผ่านไปเร็วนัก ถ้าปล่อยให้ผ่านเลยไปเสียแล้ว ก็ยากที่จะเรียกเวลาให้ย้อนคืนกลับมานะคะ...
ที่มา    https://www.widemagazine.com/content_detail.php?cont_id=658

อัพเดทล่าสุด