"ภาษาหนูเจ๋งได้เริ่มจากพ่อแม่"
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเด็กระบุว่า การฝึกภาษาที่สองหรือที่สามให้ลูกนั้น สามารถเริ่มฝึกได้ตั้งแต่แรกเกิดเลยค่ะ
แรกเกิด-7 ปี
อ่านแล้วอยากหัวเราะเป็นภาษาเติร์ก อิ อิ เด็กแรกเกิดนี่นะ ยังพูดอ้อแอ้ไม่ได้เลย แต่มีผลการศึกษายืนยันจาก นักวิจัยมหาวิทยาลัยวอชิงตันว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาต่างประเทศก็คือ แรกเกิด-7 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่สมองของเด็ก มีความสามารถพิเศษบางประการ ที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วกว่าเรียนเมื่อโตแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้สมองของเด็กซึมซับภาษาใหม่ลงไป วิธีง่าย ๆ ที่จะใช้สอนลูกก็คือการพูดคุยบ่อย ๆ ทั้งภาษาแม่ ภาษาที่สอง รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมแบบสองภาษา ก็จะช่วยให้สมองของเด็กมีความยืดหยุ่นได้มากกว่า
เคล็ด (ไม่) ลับ
โดยเฉลี่ยแล้ว เด็ก ๆ ที่เติบโตมากับสภาพแวดล้อมแบบสองภาษา หรือจะแต่ภาษาแม่ภาษาเดียวก็ตาม จะเริ่มหัดพูดได้ในช่วงอายุประมาณ 1 ขวบ เป็นต้นไป และอาจสามารถพูดได้ 50 คำเมื่ออายุ 18 เดือน
ฝึกให้ลูกรู้จักสังเกตคำที่ปรากฏทั่ว ๆ ไป เช่น ชี้ให้ดูพยัญชนะ คำภาษาอังกฤษจากโทรทัศน์ สิ่งของเครื่องใช้ คำ โฆษณา หนังสือพิมพ์ และศัพท์ที่ปรากฏทั่วไป แล้วอ่านออกเสียงให้เขาฟังพร้อมคำแปล จากนั้นก็ให้ลูกลองออกเสียงบ้างค่ะ หรืออาจร้องเป็นทำนองเป็นเพลง ลูกก็จะสนุกสนานและเกิดการเรียนรู้โดยอัตโนมัติ
ขณะนั่งรถไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็อาจใช้โอกาสว่าง ๆ สอนภาษาอังกฤษกับลูกทุก ๆ ครั้ง ถือเป็นช่วงที่เด็กเดการเรียนรู้ได้ดี เพราะเขากำลังตื่นตัวกับประสบการณ์ข้างทางที่แปลกใหม่อยู่นั่นเอง
เรามักเห็นฉากแบบนี้บ่อย ๆ ในหนังฝรั่งที่พ่อแม่มักอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนเสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องก่อนนอนหรอกค่ะ เวลาไหนก็ได้ที่ลูกอยากให้เราอ่านให้ฟัง สิ่งสำคัญ ควรเล่านิทานเป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นไทยให้เขาฟัง การฟังเป็นประจำทุก ๆ วัน ก็จะทำให้เด็กจำได้ เรียกได้ว่า ได้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปด้วย แม้จะเป็นนิทานเรื่องซ้ำ ๆ เด็กก็ไม่เบื่อที่จะฟังค่ะ โดยเฉพาะนิทานเล่มโปรดด้วยแล้ว ก็จะทำให้จำได้ทั้งเนื้อเรื่อง คำศัพท์ รูปแบบประโยค และสำนวนภาษาต่าง ๆ เขาก็จะเก็บไว้ในใจลึก ๆ ได้เลยค่ะ
การ์ตูนเวอล์ทดิสนีย์ หรืออะไรก็ได้ แต่ควรเป็นซาวด์แทร็ค ก็ให้คุณแม่เลือกเรื่องที่มีภาษาง่าย ๆ ไปหายากค่ะ ตามความเหมาะสมของวัย เพราะการ์ตูนกับเด็กย่อมเป็นสิ่งที่คู่กันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเด็ก ๆ ดูแล้วไม่เบื่อ และควรคำนึงเรื่องของภาษาจะต้องไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป แต่สำเนียงต้องชัด และเป็นภาษาที่เหมาะสมค่ะ ที่สำคัญควรดูพร้อมกับลูก ๆ พร้อมสอนแบบสนุกสนานให้ซึมซับจนสามารถนำไปใช้โดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ
อย่าหวังพึ่งครูมากเกินไป
พอโตขึ้นมาจนลูกเข้าโรงเรียน พ่อแม่หลาย ๆ คนก็คงหวังให้ลูกเก่งภาษา แต่สิ่งที่อาจเป็นอุปสรรคก็คือ บางครั้งเราหวังพึ่งครูมากจนเกินไป ดังนั้น การเปลี่ยนครูภาษาที่เก่งให้ลูกบ่อย ๆ ท่าจะยาก สู้เราเปลี่ยนตัวเองเพื่อเป็นครูภาษาง่ายกว่า เพราะคงไม่มีใครรู้จักตัวของลูกดีเท่าตัวพ่อแม่อย่างเราแล้วค่ะ
ที่มา https://www.widemagazine.com/content_detail.php?cont_id=556