ทำงัยดีเมื่อแม่ท้องเป็นถูมิแพ้


1,569 ผู้ชม


"ทำงัยดีเมื่อแม่ท้องเป็นถูมิแพ้"

    โรถภูมิแพ้ เกิดขึ้นได้และอาการจะแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าเกิดกับคนท้องละ จะแก้ไขและป้องกันอย่างไรบ้าง เรามาดูกันค่ะ

จะทำอย่างไรหากคุณแม่เป็นภูมิแพ้ในระหว่างที่ตั้งครรภ์
         ภูมิแพ้ในคุณแม่ท้องสามารถป้องกันได้ค่ะ เพียงแต่ต้องทำตั้งแต่เนิ่น ๆ และสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นอันตรายทั้งกับตัวคุณแม่และลูกน้อยในท้องค่ะ
         ภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่เกิดปฏิกิริยาไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติค่ะ เช่น มีอาการจาม น้ำมูกไหล คันตา คันจมูก คันหู หูอื้อ น้ำตาไหล มีเสมหะในคอ ไอ จาม มีผื่นคัน หรืออาจรุนแรงจนหอบเหนื่อย เป็นต้น
         ส่วนสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการก็แตกต่างกันไปค่ะ ซึ่งคุณแม่ท้องมักพบปัญหาแพ้อากาศได้บ่อย เกิดจากการหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไป หรือสัมผัสอากาศในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน คุณแม่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอากาศชื้น อาจแพ้อากาศหรือเป็นหวัดได้ง่ายค่ะ


"rhinitis of pregnancy" อาการแพ้...ในแม่ตั้งครรภ์
         อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล น้ำตาไหล หรือมีเสมหะในคอ ในขณะตั้งครรภ์ อาจเกิดจากการติดเชื้อ (เป็นหวัด หรือไซนัสอักเสบ) ได้ค่ะ ซึ่งฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในขณะตั้งครรภ์ ทำให้มีอาการคล้ายภูมิแพ้ เราเรียกการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า "rhinitis of pregnancy" และจะพบได้ร้อยละ 20-30 ของคุณแม่ตั้งครรภ์
         ซึ่งสามารถวินิจฉัยแยกจากภูมิแพ้ได้เมื่อพบว่าอาการไม่ดีขึ้นหลังให้ยาแก้แพ้ (anti-histamine) โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้มีการคั่งของเลือดบริเวณเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูก ทำให้แน่นจมูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่ม ซึ่งอาการจะมากขึ้นตามอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้นค่ะ เพราะเมื่อมดลูกขนาดใหญ่ขึ้น จะเกิดการดันกระบังลม ทำให้เสมือนมีปริมาตรของปอดลดลง ทำให้หายใจไม่อิ่ม และเหนื่อยง่ายนั่นเอง
ลูกเสี่ยงเป็นภูมิแพ้หรือไม่
         หากมีการกำเริบของโรคบ่อย ๆ หรือควบคุมโรคได้ไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ากำเริบจนส่งผลให้ออกซิเจนในเลือดของแม่ต่ำลง ทำให้ทารกในครรภ์ซึ่งต้องการออกซิเจนจากแม่ผ่านทางสายสะดือ ได้รับออกซิเจนต่ำไปด้วย ก็อาจมีผลให้เกิดปัญหาทารกน้ำหนักตัวน้อย เจริญเติบโตช้าในครรภ์ คลอดก่อนกำหนด หรือเสียชีวิตได้ถ้าขาดออกซิเจนรุนแรง
         ในขณะตั้งครรภ์คุณแม่จึงควรหมั่นตรวจสุขภาพกับแพทย์เฉพาะทางด้านภูมิแพ้ และอัลตราซาวนด์ติดตามการเจริญเติบโตของทารกว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ และในไตรมาสที่ 3 ควรตรวจการเต้นของหัวใจทารกด้วยเครื่องตรวจพิเศษ ( Non-stress test ) เป็นระยะ ๆ ค่ะ
         ภูมิแพ้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือสภาวะแวดล้อม และการเลี้ยงดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลีกเลี่ยงสารที่อาจก่อภูมิแพ้ เมื่อคุณแม่เป็นภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็น ร้อยละ 30-50 ถ้าพ่อเป็น ลูกมีโอกาสเป็นร้อยละ 30 ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็น ลูกมีโอกาสเป็นร้อยละ 50-70 แต่อย่างไรก็ตามแม้ทั้งพ่อและแม่ไม่เป็นภูมิแพ้ ลูกก็มีโอกาสเป็นได้ ร้อยละ 14 ค่ะ
ยารักษาภูมิแพ้
 ปัจจุบันสามารถแบ่งการใช้ยารักษาภูมิแพ้ได้ดังนี้ค่ะ  
         1. ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี rhinitis of pregnancy ซึ่งไม่ตอบสนองต่อยารักษาภูมิแพ้อยู่แล้ว และเนื่องจากเป็นเพียงน้ำเกลือ จึงไม่อันตราย ไม่แพง และใช้บ่อยได้เท่าที่ต้องการ โดยพ่น 3-6 ครั้งเข้าจมูก และปล่อยไว้ในจมูกประมาณ 30 วินาที และเป่าออก ก็จะทำให้โล่งขึ้น
         2. ยารักษาภูมิแพ้ กลุ่ม anti-histamine เป็นยาที่สามารถใช้ได้ในขณะตั้งครรภ์ที่ เช่น Chlorpheniramine, Claritine, Zyrtec
         3. ยาลดการบวมของจมูก เช่น Sudafed สามารถใช้ได้เมื่ออายุครรภ์ 14 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะถ้าใช้ช่วงตั้งครรภ์อ่อน ๆ อาจทำให้ลูกมีผนังหน้าท้องโหว่ได้
         4. ยาพ่นจมูก แนะนำให้ใช้ Budesonide ( Rhinocort Aqua ) เพราะเป็นยาพ่นจมูกตัวเดียวที่มีความปลอดภัยชัดเจนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
         5. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ ( Immunotherapy) ไม่แนะนำให้เริ่มทำเมื่อตั้งครรภ์แล้ว แต่ถ้าทำมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ และจำเป็นต้องทำต่อเนื่อง ควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง แต่โดยทั่วไปควรพยายามหลีกเลี่ยงที่จะทำขณะตั้งครรภ์ เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาการแพ้รุนแรง ซึ่งอาจอันตรายถึงลูกในครรภ์ได้

ก็อยากจะฝากถึงคุณแม่ทุกคนนะค่ะ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยา ปรึกษาคุณหมอที่เชียวชาญก่อนดีกว่า จะได้ไม่อันตรายต่อลูกในท้องด้วยค่ะ
ที่มา   https://www.widemagazine.com/content_detail.php?cont_id=1534

อัพเดทล่าสุด