ทั้งนี้ถ้ามีระดับน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท ดังนั้นการดูแลและรักษาตั้งแต่เริ่มแรกจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล หรือการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดเช่น อบเชย กรดอัลฟา-ไลโปอิก

อบเชย จัดเป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหารมาเป็นระยะเวลายาวนาน รวมถึงมีคุณสมบัติในการเป็นยามาตั้งแต่โบราณเช่น บรรเทาอาการจุก เสียด แน่นท้อง วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น รวมถึงมีการนำมาใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยเพื่อผ่อนคลายอาการตึงเครียดต่าง ๆ แต่ปัจจุบัน “อบเชย” คือ เครื่องเทศสำหรับเบาหวาน 

ปัจจุบันมีงานวิจัยที่สนับสนุนคุณสมบัติของอบเชยกับโรคเบาหวานหลายฉบับแต่ผลงานวิจัยที่สำคัญถูกค้นพบโดย Dr. Richard Anderson และคณะ ที่วิจัยเรื่องผลของอาหารที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งสามารถสรุปผลการวิจัยที่สำคัญได้คือ อบเชยมีสารประกอบที่สำคัญคือ MHCP (MethylHydroxychalcone Polymer) MHCP มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนอินซูลิน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกับอินซูลินในเซลล์มากขึ้นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)ประสิทธิภาพสูง

กรดอัลฟา-ไลโปอิก จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ออกฤทธิ์ได้ทั้งในสภาวะที่เป็นน้ำมันและของเหลว ช่วยในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ รวมถึงบรรเทาอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากนี้ด้วยคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยปกป้องตับอ่อนเพื่อการผลิตอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

เนื่องจากอวัยวะที่สำคัญที่สุดของบุคคลที่เป็นเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดคือ ตับอ่อน เพราะตับอ่อนจัดเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการผลิตอินซูลิน ดังนั้นเพื่อป้องกันภาวะที่ตับอ่อนจะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ การรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นซึ่งมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงจึงเป็นอีกทางเลือกที่จะดูแลตับอ่อนให้สามารถผลิตอินซูลินได้ตามปกติ 
ที่มา    https://www.widemagazine.com/content_detail.php?cont_id=1946