เริมที่อวัยวะเพศ (Genital herpes)


1,237 ผู้ชม


ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :

อวัยวะเพศชาย  อวัยวะเพศหญิง  ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ชาย  ระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี 

อาการที่เกี่ยวข้อง :

ผื่น 

เริมที่อวัยวะเพศคืออะไร?

โรคเริมที่เกิดบริเวณอวัยวะเพศ (Genital herpes) ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยโรคนี้เกิดจากติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Herpes simplex viruses type 1 (HSV-1 หรือ เอชเอสวี-1) หรือ Herpes simplex viruses type 2 (HSV-2 หรือ เอชเอสวี-2) แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เริมที่อวัยวะเพศจะเกิดจาก HSV-2 มากกว่า ส่วนการติดเชื้อ HSV-1 มักจะทำให้เกิดตุ่มน้ำใส หรือแผลที่บริเวณปาก หรือริมฝีปากมากกว่า หรือเริมที่ปากนั่นเอง

ในผู้ที่ติดเชื้อเริมส่วนใหญ่ อาจไม่มีอาการผิดปกติ หรือมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ในกรณีที่มีอาการ สิ่งที่จะสังเกตได้ คือ การมีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ หรือบริเวณทวารหนัก โดยอาจเกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งตุ่ม หรือมากกว่า และเมื่อตุ่มน้ำแตกก็จะเกิดเป็นแผลขึ้น อาการดังกล่าวมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดแสบปวดร้อน ในกรณีที่เป็นโรคนี้ครั้งแรกอาการดังกล่าวอาจคงอยู่ได้นานถึง 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจมีอาการปรากฏขึ้นอีกครั้งในระยะเวลาหลายสัปดาห์ หรือในหลายเดือนต่อมา แต่อาการที่ปรากฏในระยะหลังๆนี้จะมีความรุนแรงน้อยกว่า และหายเร็วกว่าที่เคยแสดงอาการในครั้งแรก

เชื้อไวรัสที่ก่อเริมนี้ จะคงอยู่ในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อไปตลอด ถึงแม้จะไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้นเลยก็ตาม อย่างไรก็ดี ความถี่ของการแสดงอาการของโรคจะน้อยลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี

เริมที่อวัยวะเพศพบได้บ่อยหรือไม่?

เริมที่อวัยวะเพศ พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในสหรัฐอเมริกา มีผู้คาดการณ์ว่า ในผู้หญิงอายุ 14-49 ปี จำนวน 5 คนจะมีผู้ที่เป็นเริม 1 คน ส่วนผู้ชายอายุ 14-49 ปี จำนวน 9 คนจะมีผู้ที่เป็นเริม 1 คน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้หญิงติดโรคเริมจากผู้ชายที่เป็นเริมอยู่แล้วได้ง่ายกว่า ส่วนผู้ชายนั้นติดโรคเริมจากผู้หญิงที่เป็นเริมได้เช่นกัน แต่จะติดยากกว่าในกรณีแรก

เราติดโรคเริมที่อวัยวะเพศได้อย่างไร?

ที่ตุ่มน้ำและแผลของโรคเริม จะมีเชื้อไวรัส HSV-1 และ HSV-2 อยู่ และในบางครั้ง อาจตรวจพบเชื้อในบริเวณผิวหนังที่ไม่มีแผลอีกด้วย การติดเชื้อเริม HSV-2 โดยทั่วไปเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นเริมบริเวณอวัยวะเพศ การติดต่อนี้เกิดขึ้นได้ทั้งขณะที่ผู้เป็นเริมมีตุ่มน้ำ หรือมีแผลปรากฏให้เห็นที่อวัยวะเพศหรือไม่มีก็ได้

การติดเชื้อ HSV-1 ส่วนใหญ่มักจะทำให้เกิดแผล หรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณปาก หรือริมฝีปากมากกว่าที่บริเวณอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อเริมชนิด HSV-1 สามารถเกิดที่อวัยวะเพศได้ โดยติดต่อขณะที่มีเพศสัมพันธ์ตามปกติหรือการใช้ปากที่เป็นโรคสัมผัสกับอวัยวะเพศ

อาการของเริมที่อวัยวะเพศเป็นอย่างไร?

ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัส HSV-2 ไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าตนเองติดโรคเริม จนกว่าจะมีอาการของโรคแสดงให้เห็น โดยทั่วไปอาการมักปรากฏภายหลังได้รับ เชื้อประมาณสองสัปดาห์ (ระยะฟักตัวของโรค) ในผู้ที่ติดโรคเริมที่อวัยวะเพศและเกิดอาการครั้งแรก อาการที่ปรากฏมักเกิดขึ้นอย่างชัดเจนและรุนแรง และรอยโรคที่พบ จะปรากฏอยู่นาน 2-4 สัปดาห์ โดยจะพบตุ่มน้ำใส และแผลเจ็บ ที่บริเวณอวัยวะเพศ นอกจากนี้ ผู้ติดโรคบางรายอาจมีไข้ และมีต่อมน้ำเหลืองโตได้ โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อไวรัส HSV-2 ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยจนกระทั่งในบางครั้งอาจไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรค และในบางครั้งอาจเข้าใจผิดว่ารอยโรคที่เกิดขึ้น เกิดจากถูกแมลงกัดต่อย หรือเป็นโรคผิวหนังอื่นๆ

ในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเริมครั้งแรก จะมีการกลับเป็นซ้ำของโรคอีกหลายๆครั้ง โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 ครั้งต่อปี และความถี่ของการเกิดเป็นซ้ำจะลดลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเริมที่อวัยวะเพศมีอะไรบ้าง?

ในมารดาที่ตั้งครรภ์ การติดเชื้อเริมครั้งแรก สามารถทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์หากมีรอยโรคของเริมที่อวัยวะเพศเกิดขึ้นขณะเจ็บครรภ์คลอด ควรคลอดบุตรโดยการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปสู่ทารก จากทารกสัมผัสเชื้อขณะคลอดผ่านอวัยวะเพศของมารดา อย่างไรก็ตาม ยังโชคดีที่ว่าการติดเชื้อไปสู่ทารกเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย

ในผู้ที่เป็นโรคเอดส์ การที่มีรอยโรคของเริม อันได้แก่ ตุ่ม หรือแผล จะส่งเสริมให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อเอดส์ได้ง่ายขึ้น ทำให้คู่นอนเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ได้ง่ายขึ้น และในผู้ที่เป็นโรคเอดส์ ก็จะติดเชื้อเริมได้ง่ายเนื่องจากมีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง และหากติดเชื้อเริมแล้ว ก็มักจะมีอาการของเริมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง

แพทย์วินิจฉัยเริมที่อวัยวะเพศอย่างไร?

อาการของการติดเชื้อ HSV-2 จะค่อนข้างแปรผันได้มากในแต่ละบุคคล ในบางครั้งแพทย์อาจวินิจฉัยโรคได้ง่ายจากการตรวจดูด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะในกรณีรอยโรคที่พบค่อนข้างชัดเจน แต่ในบางครั้ง แพทย์อาจต้องทำการตรวจเพิ่มเติมโดยการเก็บตัวอย่างจากรอยโรคที่พบ และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนการตรวจโรคโดยการตรวจเลือดของผู้ที่สงสัย เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อเริมมักไม่เป็นที่นิยมใช้ในการช่วยวินิจฉัยโรค ทั้งนี้เนื่องจากผลการตรวจอาจไม่ชัดเจน แต่ในบางครั้งก็สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคสำหรับผู้ป่วยบางรายได้

เริมที่อวัยวะเพศมีวิธีรักษาอย่างไร?

โรคเริมนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การใช้ยาต้านไวรัส สามารถช่วยลดระยะเวลาที่เป็นโรคให้สั้นเข้า และยังช่วยยืดระยะเวลาในการกลับเป็นซ้ำให้ห่างออกได้อีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังใช้ยา นอกจากนี้ การใช้ยาต้านไวรัสทุกวันขณะยังมีแผลเริม ยังช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อเริมไปสู่คู่นอนได้อีกด้วย

การดูแลตนเองเมื่อเป็นเริมที่อวัยวะเพศทำได้อย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

ในขณะที่มีตุ่มน้ำใส หรือแผลบริเวณอวัยวะเพศ และไม่แน่ใจว่าเป็นเริมที่อวัยวะเพศหรือไม่ หรือ เมื่อสงสัยเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม ควรรีบพบแพทย์เสมอ (เพราะโรคเหล่านี้ ไม่สามารถรักษาให้หายด้วยตนเองได้ ถึงแม้อาการจะดีขึ้นก็ตาม มักกลายเป็นโรคเรื้อรังโดยไม่รู้ตัวเสมอ) หลังจากนั้นควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

การดูแลตนเองขณะที่มีตุ่ม หรือมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ ทำได้ดังนี้

  • ควรทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง โดยใช้สบู่อ่อนๆและน้ำสะอาดล้างเบาๆโดยไม่ต้องขัด หรือฟอก หลังจากนั้นซับให้แห้ง อาจทายาขี้ผึ้งปฏิชีวนะ (ยาปฏิชีวนะ) เฉพาะที่ตรงบริเวณรอยโรค เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
  • ควรใส่ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย เพราะระบายอากาศได้ดีกว่า จึงช่วยลดการอับชื้น
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างมีตุ่ม หรือ แผลเริม และอย่างน้อยสองสัปดาห์หลังจากที่แผลเริมหายดีแล้ว
  • หากมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณรอยโรค อาจรับประทานยาแก้ปวด อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือที่เรารู้จักกันว่า ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการปวดที่เกิดขึ้น

เริมที่อวัยวะเพศมีวิธีป้องกันอย่างไร?

การมีเพศสัมพันธ์ เป็นช่องทางสำคัญในการติดโรคเริมที่อวัยวะเพศ ดังนั้นในผู้ที่ไม่มีเพศสัมพันธ์จึงไม่มีโอกาสติดโรคเริมที่อวัยวะเพศเลย

การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนเดียว ก็เป็นหนทางหนึ่งในการลดโอกาสในการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศ

การใช้ถุงยางอนามัย ก็สามารถช่วยลดโอกาสการติดเชื้อเริมได้ อย่างไรก็ตาม การสัมผัสบริเวณที่มีรอยโรค มีตุ่มน้ำหรือแผลที่เกิดจากเริม โดยเฉพาะตำแหน่งที่ถุงยางอนามัยไม่ได้ครอบคลุม ก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้

ในผู้ที่เป็นเริม ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่กำลังมีรอยโรคเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บางครั้งจะไม่มีรอยโรคเกิดขึ้นในผู้ที่ติดเชื้อเริม การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงดังกล่าว ก็อาจก่อการติดโรคไปยังคู่นอนได้ ดังนั้นคู่นอนของผู้ที่เป็นโรคเริม ควรป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้เพื่อช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อลงได้บ้าง ถึงแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตา
ที่มา   https://haamor.com/th/เริมที่อวัยวะเพศ/

อัพเดทล่าสุด