นักวิชาการเตือนกินค้างคาว ผิดกฎหมาย เสี่ยงติดเชื้อไวรัสก่อโรคเพียบ


1,367 ผู้ชม


หน้าที่ 1 - นักวิชาการเตือนกินค้างคาว ผิดกฎหมาย เสี่ยติดเชื้อไวรัสก่อโรคเพียบ

  นักวิชาการเตือนกินค้างคาว ผิดกฎหมาย เสี่ยติดเชื้อไวรัสก่อโรคเพียบ

                                                      

          จากกรณีข่าวชาวบ้านจังหวัดกาฬสินธุ์นิยมนำค้างคาวมาใช้ประกอบอาหาร   โดยเชื่อว่าเลือดของค้างคามมีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ   ขณะที่ไขมันที่สะสมอยู่ในตัวค้างคาวจะช่วยให้ร่ายกายอบอุ่นต้านทานความหนาวเย็นได้นั้น  ( วันที่ 5 มกราคม 2552 )   ดร.สุภาภรณ์   วัชรพฤษาดี   หัวหน้าห้องปฏิบัติการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านวิจัยและฝึกอบรมโรคติดเชื้อไวรัสจากสัตว์สู่คน  (WHO Collaborating Center for Research and Training on Viral Zoonoses ) คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณีมหาวิทยาลัย   กล่าวว่า   การดื่มเลือดค้างคาวสด ๆ หรือบริโภคเนื้อหรือเครื่องในค้างคาว แบบสุก ๆ ดิบๆ มีโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อจากเชื้อไวรัสสู่คนมาก   ทั้งนี้มีรายการพบไวรัสมากกว่า 60 ชนิด จากค้างคาวหลายชนิดทั่วโลก   ซึ่งหลายชนิดก่อให้เกิดโรคในคนเช่น ไวรัสตระกูลโรคพิษสุนัขบ้า , ไวรัสอีโบล่า (Ebola) , ไวรัสซาร์ (SARA) , ไวรัสนิปาห์  (Nipah) และผลการวิจัยในประเทศไทยที่ได้รับการสนับสันุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้มีการตรวจพบไวรัสนิปาห์ที่ก่อให้เกิดโรคสมองอักเสบและมีอัตราการเสียชีวิต 40-80%   จากการตรวจเลือด น้ำลายเยี่ยว ของค้างคาวแม่ไก่   โดยเชื่อว่าค้างคาวชนิดอื่น ๆ ก็มีเชื้อไวรัสนี้เช่นกัน   ส่วนกรณีที่มีคนเชื่อว่าค้างคาวที่จับมาดูสุขภาพดีไม่น่าจะมีการติดเชื้อใด ๆ นั้น   ถือเป็นสิ่งที่เข้าใจผิดและต้องระวังมาก   เพราะเมื่อค้างคาวมีการติดเชื้อไวรัสอาจไม่แสดงอาการความผิดปกติใดๆ หรือถ้ามีอาการก็เล็กน้อยมาก   และแม้ว่าจะมีไวรัสบางชนิดทำให้ค้างคาวป่วยหนักจนตาย   แต่ก็จะมีจำนวนไม่น้อยที่หายเอง   และยังคงแพร่เชื้อต่อไปได้
          อย่างไรก็ดีแม้ขณะนี้หลายคนจะเชื่อว่าการปรุงค้างคาวให้สุกจะสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย   แต่ก่อนการปรุงก็มีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้ในหลายขั้นตอน   โดย ศ.นพ.ธีรวัฒน์   เหมะจุฑา  ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านวิจัยและฝึกอบรมโรคติดเชื้อไวรัสจากสัตว์สู่คน (WHO Collaborting Center for Research and Training on Viral Zoonoses ) กล่าวว่า การปรุงสุกอาจจะช่วยทำลายเชื้อไวรัสได้   แต่ประชาชนมีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่การจับและการชำแหละ   เพราะเชื้อไวรัสจะมีการสะสมอยู่ทั้งในเลือด   น้ำลาย และเครื่องใน โดยเฉพาะที่ตับ ม้าม และเยื่อช่องท้องของค้างคาว   ดังนั้นหากถูกกัดหรือบริเวณที่มีบาดแผลไปสัมผัสถูกบริเวณดังกล่าวเชื้อไวรัสจะเข้าสู้ร่ายกายได้ทันที   อีกทั้งเมื่อรับประทานค้างคาวแล้วไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยร้อย 100%    เนื่องจากเชื้อโรคบางชนิดใช้ระยะเวลาฝักตัวนาน เช่น เชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้ามีระยะเวลาฝักตัวเป็นเดือน   หรือไวรัสนิปาห์ ที่นอกจากจะแสดงอาการของโรคหลังจากรับเชื้อไวรัสไม่กี่สัปดาห์แล้ว   เชื้อไวรัสบางตัวยังสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายและในระยะเวลาฝักตัวนานถึง 2ปี จึงจะแสดงอาการออกมา   ดังนั้นผู้ที่เคยบริโภคค้างคาว   หากมีอาการผิดปกติต่อร่ายกาย เป็นไข้ ควรแจ้งแทพย์ด้วยว่ามีการบริโภคค้างคาวมาก่อน   เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยโรค
          ทั้งนี้แม้จะพบว่ามีเชื้อไวรัสในค้างคาวหลายชนิด   แต่ค้างคาวก็ไม่ได้แพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้โดยง่าย   การแยกพื้นที่ที่ชัดเจนจะช่วยให้ไม่ให้มีการปะปนของค้างคาวติดเชื้อมายังคนและสัตว์   การไม่รุกล้ำเข้าไปในถิ่นธรรมชาติของค้างคาวเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการครอบครองพื้นที่   รวมทั้งการไม่นำค้างคาวมาบริโภค   จะเป็นเครื่องมือป้องกันให้ค้างคาวไทยยังเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่มีคุณค่าโดยที่ไม่มีผลกระทบนำโรคลายใด ๆ มาสู่คน 
          ด้าน ดร. สาระ   บำรุงศรี   นักวิจัยความหลากหลายของค้างคาวในประเทศไทย   จากภาควิชาวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   วิทยาเขตหาดใหญ่ กล่าว    การจับค้างคาวมาบริโภคไม่เพียงเสี่ยต่อเชื้อไวรัส   แต่อาจจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วย   เพราะปัจจุบันค้างคาวกินแมลงทุกชนิด   และค้างคาวกินผลไม้เกือบทั้งหมด (มีค้างคาวกินผลไม้เพียง 7 ชนิด ไม่จำกัดเป็นสัตว์ป่าคุมครอง )   ล้วนเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โดยถือเป็นสัตว์ป่าที่ห้ามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก   เว้นแต่จะได้รับอนุญาต   ซึ่งค้างคาวที่ชาวอีสานนำมาบริโภคคณะนี้ คือ ค้างคาวปีกถุง   เป็นค้างคาวกินแมลง และนับว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ป่าคุ้มครองด้วยเช่นกัน
                                                      
          “ส่วนความเชื่อที่ว่าเมื่อกินค้างคาวแล้วไขมันที่สะสมอยู่ในตัวค้างคาวจะช่วยให้ร่ายกายอบอุ่นนั้น   ไม่เป็นความจริงเพราะค้างคาวเป็นสัตว์ที่มีไขมันน้อยมาก   เนื่องจากค้างคาวต้องบินหาอาหาร   ฉะนั้นตัวต้องเบา   ร่างกายส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อและหนังเป็นหลักเท่านั้น ”   ดร.สาระ   กล่าวและว่า   ความเชื่อเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้   แต่ความเชื้อที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลอาจนำมาซึ่งความเสียหายทั้งต่อชีวิตและระบบนิเวศได้ในระยะยาว   เพราะค้างคาวมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมนุษย์   มีส่วนสำคัญในการช่วยผสมเกสร   กระจายพันธุ์พืชและช่วยรักษาสภาพพื้นป่าให้คงความสมบรูณ์   ที่สำคัญค้างคาวยังเป็นสัตว์ที่ออกลูกเพียงปีละ 1 ตัว เท่านั้น   ดังนั้นหากมีการล่าเพื่อนำมาบริโภคเป็นจำนวนมากแล้ว    นับเป็นเรื่อยากที่ประชากรค้างคาวจะฟื้นตัวได้ทัน   และอาจจะมีผลให้ค้างคาวต้องสูญพันธุ์ได้ในที่สุด

ที่มา   https://vcharkarn.com/varticle/38346

อัพเดทล่าสุด