หน้าที่ 1 - เปิดใจรับเทคโนโลยีสเต็มเซลล์
ช่วงนี้กระแส สเต็มเซลล์ ที่ค่อนข้างรุนแรงทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ประชาชนทั่วไปอาจเริ่มสับสนและสงสัย ดังนั้นผมในฐานะที่ทำงานด้านนี้และมีโอกาสได้ผ่านการประชุมสัมนาทั้งในและต่างประเทศมาพอสมควรจึงอยากแสดงความคิดเห็นดังนี้ครับ ก่อนอื่นลำดับแรกเราต้องเปิดใจกันก่อนว่าปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก เรียกได้ว่าทุกๆ 5 ปี ความรู้ที่เรามีอยู่จะได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น บางครั้งความรู้ที่เราเรียนมาอาจถึงขั้นเปลี่ยนทฤษฏีไปเลยก็มี สเต็มเซลล์ก็เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่มีบทบาทสูงในการรักษาโรค แต่ก็มีบุคคลบางกลุ่มที่อาศัยคำว่าสเต็มเซลล์นี้ในการหากิน โดยมิได้มีความรู้และไม่ได้คิดถึงเงินทองที่ผู้ป่วยอาจต้องเสียไปซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงมาก ดังนั้นขอแบ่งกลุ่มคนที่ใช้สเต็มเซลล์ออกเป็นกลุ่มๆดังนี้ 1.บุคคลที่นำไปใช้โดยไม่รู้จริง ไม่มีความรู้ หรือกลุ่มที่หลอกลวง ว่านี่คือสเต็มเซลล์ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มบุคคลที่น่ากลัวที่สุด เพราะคนไข้ที่หลงไปรักษาไม่ว่าจะทั้งในและต่างประเทศ แต่ผลที่ได้รับกลับมาคือ ไม่เกิดผลในเชิงบวกเลย มีแต่เสียเงินเท่านั้น และอาจเกิดปัญหาจากการรักษาตามมาได้ และกลุ่มบุคคลนี้เองที่จะทำให้เทคโนโลยีด้านสเต็มเซลล์ได้รับความเสียหายจากการเข้าใจผิดของผู้ที่ทำการรักษาแล้วไม่ได้ผล 2. บุคคลที่เน้นการทำทัวร์คนไข้ส่งไปรักษายังต่างประเทศ คนกลุ่มนี้มีทั้งที่มีความรู้ด้านสเต็มเซลล์และบางคนก็ไม่ได้มีความรู้จริง ในต่างประเทศที่มีการใช้เซลล์จากสัตว์ไปรักษาคน (Xenograft) บางที่ก็อาจเป็นการใช้สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนของคนก็มี ข้อนี้ต้องเปิดใจยอมรับก่อนว่าหลายๆประเทศในยุโรปรวมถึงจีน รัสเซีย และยูเครน ประเทศเหล่านี้มีการใช้เซลล์มารักษาผู้ป่วยมานานแล้ว ผลการรักษาก็อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลประเทศนั้นๆ หมอในไทยหลายคนก็เห็นโอกาสในการส่งคนไข้จากไทยไปรักษายังประเทศนั้นๆ ซึ่งบางรายก็ได้ผลดี บางรายก็ไม่ได้ผล ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันนั้นๆว่าได้รับการรับรองหรือไม่ เพราะมีทั้งของจริงและของปลอมเช่นกัน บางบริษัทก็ถูกหน่วยงานสืบสวนสอบสวนของประเทศตามจับอยู่ข้อหาหลอกลวงก็มี 3. บุคคลที่มีความรู้ด้านเซลล์บำบัด และ/หรือ สเต็มเซลล์บำบัดในประเทศไทย มีบุคลากรทางการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ในไทยหลายท่านที่ได้ศึกษาเรื่องนี้จากทั้งในและต่างประเทศ บุคคลเหล่านี้มีความรู้จริง แต่ในเชิงธุรกิจการแพทย์นั้นก็คงแล้วแต่ว่าใครจะใช้โอกาสและความรู้นี้ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมและส่วนตัวมากน้อยเพียงไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือ เครื่องมือที่ใช้ในการทำสเต็มเซลล์นั้นมีราคาที่แพงมหาศาลจริงๆ 4. บุคคลที่ทำการทดลองด้านสเต็มเซลล์ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักวิจัย แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ที่มาทำการทดลองวิจัยด้านนี้ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยก็มีหลายกลุ่มหลายสถาบัน มีทั้งภาครัฐและเอกชนที่ให้ผลการทดลองในเชิงบวก และคาดว่าจะสามารถนำมาใช้รักษาได้จริงในอนาคตอันใกล้ แต่ทั้งนี้ก็คงต้องเก็บตัวเลขข้อมูลให้ได้มากเพียงพอเพื่อนำไปใช้จริง จากกลุ่มต่างๆที่ผมได้สรุปกว้างๆออกมานี้ปัญหาหลักใหญ่จริงๆน่าจะอยู่ในกลุ่มที่ 1 มากที่สุดเพราะนอกจากจะไม่ช่วยก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆแล้วยังส่งผลเสียต่อการพัฒนาสเต็มเซลล์อีกด้วย รองลงมาคือปัญหาของกลุ่มที่ 2 อันนี้เป็นปัญหาที่พูดยาก เพราะยังมีบุคลลในประเทศไทยหลายกลุ่มที่ส่งคนไข้ไปรักษายังต่างประเทศ โดยบางครั้งอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทต่างประเทศเหล่านี้มีความรู้ในการใช้สเต็มเซลล์จริงหรือไม่ อันนี้ก็คงต้องให้ผู้ป่วยใช้วิจารณญาณให้รอบคอบก่อนไปรักษา สำหรับปัญหาของกลุ่ม 3 ก็คงเป็นพวกที่เน้นแต่ธุรกิจ รู้ทั้งรู้ว่าโรคบางโรคไม่สามารถรักษาได้ด้วยสเต็มเซลล์แต่ก็ยังอ้างทำนองว่ารักษาได้ทุกโรค ส่วนกลุ่มที่ 4 นั้น ผมเชื่อว่าเป็นบุคคลที่ต้องการเห็นการพัฒนาด้านสเต็มเซลล์เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นในแง่ของวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงไม่น่ามีปัญหาใดๆ
หน้าที่ 2 - จ่ายสูงและผลที่ได้สูงด้วยไหม....?
การทดลองด้านสเต็มเซลล์สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เครื่องมืออุปกรณ์รวมทั้งสารเคมีที่ใช้มีราคาที่สูงมาก ดังนั้นผมเองไม่แปลกใจที่การรักษาด้วยวิธีการนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ปัญหามันอยู่ที่ว่า จ่ายสูงและผลที่ได้สูงด้วยไหม....? อันนี้เองเป็นสิ่งที่แพทย์จะต้องให้ข้อมูลกับผู้ป่วยถึงปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการรักษา เปอร์เซนต์ของการหายจากโรค หรือโอกาสที่ดีขึ้นมีมากหรือน้อยเพียงไร ข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบที่อาจตามมา อื่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยเป็นผู้ที่ตัดสินใจเองว่าเขาเองเป็นผู้ที่อยากร่วมในการรักษาหรือทดลอง และแพทย์เองก็ไม่ควรชักจูงคนไข้เพื่อให้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ตัวผู้ป่วยเองก็ควรซักถามข้อสงสัยจากแพทย์เพื่อให้เข้าใจทุกอย่างหรือมากที่สุดก่อนเริ่มทำการรักษาหรือทดลอง สิ่งหนึ่งที่ผมพบเห็นคือเมื่อทำการรักษาไปถึงจุดหนึ่ง นักวิจัยเองก็คงภูมิใจกับผลงานที่ได้ถึงแม้ว่าจำนวน n ทางสถิติที่ได้ยังมีน้อยแต่ก็อยากที่จะเปิดเผยผลวิจัยให้สังคมรับรู้ ซึ่งสิ่งนี้ผมถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นก้าวแรกของการเริ่มต้นดังนั้นเมื่อนักวิจัยเสนอผลงานเหล่านี้ เราก็ควรเป็นผู้ฟังที่ดี หากสงสัยก็ถาม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่อยากเห็นก็คือการแย้งตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำไมจำนวน n ของผู้ป่วย หรือสัตว์ทดลองมีน้อย ทำไมต้องกำหนดรูปแบบการทดลองแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือ ค่าใช้จ่ายในการทดลองที่สูงมาก ทุนที่ได้มามีไม่เพียงพอที่จะทำมากไปกว่านี้ ดังนั้นการถามจึงควรเป็นคำถามที่สร้างสรรค์มากกว่า เรื่องสเต็มเซลล์เป็นเรื่องใหม่ที่แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์เองก็ยังมีความรู้ ความเข้าใจในศาสตร์นี้น้อยมาก หากเราย้อนไปอ่านหนังสือตำราเรื่องสเต็มเซลล์เมื่อปี ค.ศ.2004 หรือก่อนหน้านั้น หลายทฤษฏีหรือหลายหัวข้อก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้เรามีความเข้าใจมากขึ้นกว่าก่อนปี ค.ศ.2004 มากมายนัก
หน้าที่ 3 - การพัฒนาสเต็มเซลล์ที่บริสุทธิ์
วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สูงขึ้นทำให้เราเชื่อว่าหากเราสามารถทำให้สเต็มเซลล์นั้นบริสุทธิ์ได้ ก็จะไม่มีส่วนที่เรียกว่า HLA* (Human Leukocyte Antigen) ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีเครื่องมือที่สามารถทำได้แล้ว ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสเต็มเซลล์ที่บริสุทธิ์ต่อไป ซึ่งการทำให้บริสุทธิ์นี้แนวโน้มที่จะใช้สเต็มเซลล์จากคนอื่นมารักษาผู้ป่วย (Allogeneic) ก็จะมีโอกาสมากขึ้น แต่ทั้งนี้นักวิจัยเองก็จำเป็นต้องศึกษามากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าหากเราทำให้บริสุทธิ์แล้วนั้น มีความบริสุทธิ์มากเพียงใด แน่ใจว่าจะไม่ส่งผลให้เกิด Graft VS Host Disease (GVHD) ตามมาโดยเฉพาะแบบที่เกิดหลังจากการปลูกถ่ายไปนานมากแล้ว เพราะว่าที่ผ่านมาก็มีรายงานว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากผู้อื่น (Allogeneic) เมื่อตอนปลูกถ่ายใหม่ไม่พบความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น แต่เมื่อผ่านไปปีกว่าจึงพบว่าเกิดมี Antibody ต่อต้าน HLA ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะมาจากการที่มี HLA คงเหลืออยู่ถึงแม้ว่ามีเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเซลล์มีการแบ่งตัวที่มากขึ้น HLA จากคนอื่นก็จะเพิ่มมากขึ้นจนเพียงพอที่จะเกิดการไม่ยอมรับเนื้อเยื่อที่ปลูกถ่ายได้เช่นกัน
ที่มา https://vcharkarn.com/varticle/32173