หน้าที่ 1 - จอแก้วกับการเรียนรู้ของเด็ก
ความเป็นมาของ จอแก้ว
จอแก้ว หมายถึง ทีวี หรือ โทรทัศน์ เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ในประเทศไทยเริ่มก่อตั้งเมื่อ พศ. ๒๔๗๕ และประสบกับปัญหาด้านการลงทุนต่าง ๆ รวมทั้งอยู่ในช่วงภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒จึงไม่สามารถจัดตั้งอย่างเป็นทางการได้ จนกระทั่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้สนับสนุนให้จัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง ๔ ขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๙๘ และมีโครงการขยายผลไปยังภูมิภาคอื่น ๆ อีกในช่วง พศ. ๒๕๐๐ ในยุคนั้น ทีวี จะส่งสัญญาณเป็นสี ขาว ดำ เท่านั้น ต่อมา พศ. ๒๕๑๐ จึงเปลี่ยนเป็นระบบสีจนถึงปัจจุบัน
ภายใต้ของความเป็นมา นั้น ทีวีมีบทบาทมากมายเช่น เป็นเครื่องมือทางการเมือง, ช่องทางการตลาดทางธุรกิจรวมทั้งเป็นแหล่งเผยแพร่ด้านวิชาการ เป็นต้น ดังนั้นในระบบของโลกบ้านเราสามารถเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทันต่อ สถานการณ์ของโลก ทีวีจึงเปรียบเสมือนหน้าต่างบานใหญ่ที่สำคัญสำหรับทุกคนที่สามารถมีทีวีไว้ ในบ้านของตน
จอแก้ว,ทีวีหรือโทรทัศน์ เป็นสื่อเชิงรับในบ้านซึ่งเราเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เมื่อเปิดชมรายการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหาความบันเทิงหรือการหาความรู้ต่าง ๆ เราเลือกตามใจชอบไม่ได้ทั้งหมด การทำธุรกิจทางการตลาดจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งในยุคแรกของการขายสินค้าทางทีวีนั้น ได้แก่เครื่องยนต์เรือ , เครื่องปั่นวิตามิน, เครื่องครัว, เครื่องใช้ในบ้าน เป็นต้น ในยุคนั้นรัฐบาลสหรัฐมองเห็นความสำคัญของธุรกิจบนจอแก้วได้ตั้งคณะกรรมการ FCC (FEDERAL COMMERCIAL COMMITTEE) มากำกับดูแลการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นกฎบังคับใช้และเริ่มมีการให้นิยามคำว่า รายการ (PROGRAM) คืออะไร ทำอะไร ทำอะไรไม่ได้ ไม่เป็นการเอาเปรียบผู้ชมจนเกินไปมีการกำหนดเวลารายการและเวลาโฆษณา ดังนั้นรายการนำเสนอขายสินค้าทางจอแก้วก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยรายการที่ได้รับ ความนิยมมากขึ้น เช่น ภาพยนตร์, ละคร ,รายการ GAME SHOW และอื่นๆ อีกมากมาย ทีวีจึงเกิดขึ้นมาเพื่อการค้าเป็นหลัก เพราะเป็นการตอบสนองความต้องการให้แก่เจ้าของสินค้าที่มีกำลังทรัพย์ในการ สนับสนุนสถานีโทรทัศน์ได้ ปัจจุบันในบ้านเราก็ยังเป็นรูปแบบที่ผู้ชมต้องใช้วิจารณญาณกันตามศักยภาพ ในครอบครัวที่มีเด็กเล็กไปจนถึงวัยรุ่นนั้นยังมีความจำเป็นที่ผู้ใหญ่ต้อง เลือกรายการอย่างเหมาะสม
* พยาบาลวิชาชีพประจำสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์
เกิดอะไรขึ้นกับการเรียนรู้ของเด็ก?
จากที่มาดังกล่าว ทีวีจะมีการพัฒนาระบบให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ นี้ ทีวีที่เป็นระบบออกอากาศจะเปลี่ยนไปเป็นระบบดิจิตอล แบบ DVBT DVBH ซึ่งจะถูกและดีกว่าที่เป็นอยู่ กล่าวคือสัญญาณช่องออกอากาศที่เคยมีอยู่แค่ 6 ช่องสัญญาณก็จะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมายจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมี เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ดังนั้นทีวีออนเน็ตอาจไม่มีข้อจำกัดเรื่องช่องและเวลาแพร่ภาพในขณะที่ผู้คน สามารถใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงกันมากขึ้น ดังนั้นสื่อต่าง ๆที่เคยมีระบบการตรวจสอบก่อนจำเป็นต้องมีการพูดคุยกันถึงในระดับชาติต่อไป อย่างไรก็ตามเราสามารถมองเห็นผลลัพธ์ของทีวีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นด้านบวก หรือลบ นักวิชาการให้ความสำคัญกับผลที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ของเด็ก มีหลายสำนักการศึกษาและสถาบันต่าง ๆ ได้สำรวจสถานการณ์ผลกระทบเพื่อร่วมกันหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้กับ ครอบครัวกันอย่างต่อเนื่อง
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมกับมูลนิธิเครื่อข่ายครอบครัว มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปี ๒๕๔๖ ได้ทำการสำรวจอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีผลต่อพฤติกรรมเด็ก พบพฤติกรมการดูทีวีของเด็กอายุ ๓ ๑๒ ปี ตามทัศนะของพ่อแม่ / ผู้ปกครองในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑,๔๗๗ ตัวอย่าง พบจำนวนชั่วโมงการดูทีวีต่อวันในวันจันทร์-ศุกร์ และ วันเสาร์-อาทิตย์ จำนวนชั่วโมงดูทีวี เฉลี่ย ๓ ๕ ชม. / วัน ช่วงเวลาที่ดูมากที่สุดคือ จันทร์ ศุกร์ ช่วง๔โมงเย็น ๒ ทุ่ม ในวันเสาร์และอาทิตย์ ช่วง ๘ โมงเช้า ถึงเที่ยงเด็กนิยมดูทีวีมากที่สุด พ่อแม่ / ผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความคิดว่าสื่อมีผลต่อพฤติกรรมลูกหลาน ด้านต่าง ๆ และมีผลเสียต่อเด็กอยู่ในระดับปานกลาง เช่นเดียวกับการทำงานด้านการกลั่นกรองสื่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึง ตัวพ่อแม่ที่ทำหน้าที่กลั่นกรองสื่อให้ลูกอยู่ในระดับปานกลางอีกด้วย ส่วนการจัดประเภทของรายการในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเด็กส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะสมดีแล้ว
มูลนิธิรักษ์เด็กกล่าวถึง เรื่อง โทรทัศน์กับเด็ก ในโครงการยุทธศาสตร์สื่อเด็กมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก(มพด.) ได้กล่าวถึงเรื่องการใช้เวลาของเด็กส่วนใหญ่อยู่กับทีวีมากกว่าการเรียน หนังสือในห้องเรียนตลอดทั้งปีเด็กและเยาวชนอายุ ๖ ๒๔ ปีใช้เวลาถึง ๒,๒๓๖ ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่มีเวลาในห้องเรียนเพียง ๑,๖๐๐ ชั่วโมง ใน หนึ่งวันโดยเฉลี่ยเด็กดูทีวีประมาณ ๕ ชั่วโมง เด็กถูกหล่อหลอมด้วยความรุนแรง, เซ็กส์, สิ่งเสพติด และโฆษณา ทั้งนี้ยังกล่าวถึงสิ่งดี ๆ ที่อยู่ในทีวีอีกมากมาย อาทิ เช่น แนะนำให้พ่อแม่ใช้เวลาร่วมกันกับลูกหลานเลือกรายการโทรทัศน์กระตุ้นให้เด็ก ฝึกหัดอ่าน ,เลือกรายการที่มีบทเรียนชีวิต,นำเรื่องราวที่มีข้อขัดแย้งมาอภิปรายกันใน ครอบครัว, สื่อที่เกี่ยวกับวิชาการการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมสังคม , รายการข่าว,ความรู้ประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ดี ๆที่ได้รับรางวัลรวมทั้งส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้านดนตรีศิลปะ เป็นต้น
เราเปลี่ยน วิกฤติเป็นโอกาสได้จริงหรือ
มีงานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กในวัย ๐ ๖ ขวบกล่าวถึงการเจริญเติบโตของเซลล์สมองในเด็กแรกเกิดจะมีการเชื่อมต่อของใย ประสาทอยู่ตลอดเวลาที่เด็กได้รับการกระตุ้นโดยเฉพาะด้านภาษางานวิจัยสนับ สนุนความจริงว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า ๒ ปี ดูแต่ทีวีซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียวเป็นเวลานาน ตลอด ๖ ๘ ชั่วโมงต่อวันเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางภาษาจะขาดการกระตุ้นใน ขณะนั้นเนื่องจากเด็กขาดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่เด็กจึงไม่ได้เรียนรู้ที่จะ สื่อให้ผู้อื่นเข้าใจตนเองได้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาพเคลื่อนไหวในทีวีทำให้เด็กขาดสมาธิในการเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ได้ งานวิจัยประเทศสหรัฐอเมริกาที่มหาวิทยาลัย คอร์เนลล์ ,มหาวิทยาลัยอินเดียน่า และมหาวิทยาลัยเพอร์เดอร์ (Purdue University) ได้ศึกษาความเชื่อมโยงจากการดูทีวีของเด็กอเมริกันว่าเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคออติซึมได้
ดร. แอริค ซิกมัน ( Dr. Aric Sigman ) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการศึกษาแห่งสหราชอาณาจักร( Associate Fellow of the British Psychological) ได้ศึกษาผลของทีวีต่อสุขภาพและได้แถลงต่อคณะสมาชิกวุฒิสภาประเทสอังกฤษจัด โดยองค์กรด้านสื่อสารมวลชน Mediawatch UK มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการดูทีวีเป็นเวลานานมีผลต่อรูปแบบการนอนที่ผิด ปกติและลดอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายจนเกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้น ดร. แอริค ซิกมัน ( Dr. Aric Sigman )ให้ข้อแนะนำ ดังนี้
๑. เด็กเล็กอายุ ต่ำกว่า ๓ ปี ไม่ควรดูทีวี
๒. เด็กอายุ ๓ -๗ ปี ควรอนุญาตให้ดูทีวีได้ไม่เกิน ๓๐ ๖๐ นาทีต่อวัน
๓. เด็กอายุ ๗ ๑๒ ปี ควรอนุญาตให้ดูทีวีได้ไม่เกิน ๑ ชั่วโมงต่อวัน
๔. เด็กอายุ ๑๒ ๑๕ ปี อนุญาตให้ดูทีวีได้ไม่เกิน ๑.๕ ชั่วโมงต่อวัน
๕. เด็กอายุ ๑๖ ปีขึ้นไป ควรดุทีวีไม่เกินวันละ ๒ ชั่วโมง
ข้อแนะนำนี้น่าสนใจหากพ่อแม่ / ผู้ปกครองปฎิบัติได้ก็จะเกิดผลดีต่อเด็กอย่างมหาศาล
นอกจากนี้ รศ.พญ. จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้คำแนะนำที่น่าสนใจสำหรับพ่อแม่ / ผู้ปกครองว่าพ่อแม่ต้องมีบทบาทในการดูโทรทัศน์ของเด็กคือ
๏ ต้องเข้าใจในบทบาทและผลกระทบของสื่อทั้งด้านบวกและด้านลบเพื่อคัดเลือกสื่อสำหรับเด็กได้ถูกต้อง
๏ จัดสรรกิจกรรมที่สร้างสรรค์กับลูกมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเช่น การพูดคุย, การร้องเพลง, การเล่านิทาน เป็นต้น
๏ พ่อแม่ / ผู้ปกครองควรสร้างกฎระเบียบเช่น การตั้งกติกาในการดูทีวีกับลูกอย่างเคร่งครัด,หลีกเลี่ยงรายการที่ไม่เหมาะ สม, จัดบรรยากาศการดูทีวีให้เป็นโลกแห่งการเรียนรู้ของลูก, กำหนดเวลาชัดเจน หลีกเลี่ยงการมีเครื่องรับโทรทัศน์ในห้องนอนของลูก เป็นต้น
นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวสาธารณสุข กล่าวในเวทีเสวนาเรื่อง สื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กเยาวชนและครอบครัว ว่าเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่กำลังได้รับผลกระทบ ๓ ประเด็น หลัก คือ เซ็กส์ , ความรุนแรง และบริโภคนิยม ซึ่งเด็กและเยาวชนจะมีปฏิกิริยาต่อสื่อโทรทัศน์ด้วย พฤติกรรมเลียนแบบ , มีความชาชินต่อสื่อหลังจากหมกมุ่นกับสื่อเป็นเวลานานและพฤติกรรมยับยั้งชั่งใจต่อเรื่องที่ไม่ดีต่างๆ ลดลง
นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ จึงได้ให้คำแนะนำแก่ทุกครอบครัวด้วย มาตรการ ๓ ต้อง ๒ ไม่ ดังนี้
มาตรการ ๓ ต้อง ได้แก่
๑. ต้องจัดเวลาให้ลูกในการดูทีวี หรือมีส่วนร่วมในการจัดเวลาดูทีวี
๒. พ่อแม่ ต้องเป็นเพื่อนลูกในการดูทีวี หรือดูทีวีไปพร้อม ๆ กับลูก
๓. พ่อแม่ ต้องเลือกรายการให้ลูกดู
มาตรการ ๒ ไม่ ได้แก่
๑. ไม่จัดทีวีหรือคอมพิวเตอร์ในห้องนอนลูก
๒. ไม่มีสื่อลามกในบ้าน
โครงสร้างของระบบจะเป็นอย่างไร ?
ในเชิงระบบของบ้านเราภาครัฐไม่นิ่งนอนใจเกิดการผลักดันจากหลายฝ่ายได้มองเห็นความสำคัญ ของการส่งเสริมให้เกิดมาตรการและผลักดันให้เกิดวาระแห่งชาติดังนี้
๑. มาตรการการจัดความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์ (Rating)
๒. การผลักดันร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสื่อทั้งร่างพระราชบัญญัติ องค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย,ร่างพระราชบัญญัติแพร่ภาพ และกระจายเสียงสาธรณะ,ร่างพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการ โทรทัศน์,ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุ กระจายเสียงโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม,ร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีเพื่อการ ศึกษา
๓. ผลักดันให้เกิดกองทุนสื่อ
๔. การสร้างหลักสูตร สื่อมวลชนศึกษา ให้เกิดขึ้นทั้งในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษา
ที่มา https://vcharkarn.com/varticle/40543